รถตู้สีดำจอดที่หน้าโรงพยาบาล ไม่นานประตู้รถตู้ก็เปิดออกศิษย์ทั้งสองของเจ้าอาวาสหงหมิงก็ก้าวขึ้นมาบนรถตู้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นคนบนรถตู้ ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งการรู้แจ้งในการบ่มเพาะพลัง พวกเขาก็ตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่คิดว่าจะมีใครรู้แจ้งในระหว่างนั่งรถ
ต้องรู้ก่อนว่าการรู้แจ้ง ทำให้พวกเขาอยู่ในสภาวะไร้สติ ทำให้ยากที่จะป้องกันอันตรายที่จะเข้ามา
ทำให้ผู้บ่มเพาะพลังส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ในถ้ำที่ปิดสนิท เพราะเมื่อปิดถ้ำ นอกจากจะเงียบสงบแล้วยังยากที่จะมีใครลอบเข้ามาได้
ถ้าบ่มเพาะในอาคารบ้านเรือน จะต้องมีการรักษาความปลอดภัยคอยเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด เพื่อที่จะได้สามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างสบายใจ
หงหยุนและหงเฟยมองหน้ากัน ก่อนที่จะพยายามเคลื่อนไหวให้เงียบที่สุด พวกเขานั่งห่างๆไม่รบกวนทั้งสามคน
รถตู้สีดำค่อยๆขับออกจากโรงพยาบาล ไปยังเขตนอกเมือง
ภายในทะเลสติร่างเสมือนค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ทะเลปราณที่มีระลอกคลื่นพลันสงบนิ่ง เหมือนก่อนที่เขาจะใช้วิชาต้องห้าม เพราะการตระหนักรู้แจ้งอย่างฉับพลัน ผลกระทบจากวิชาต้องห้ามที่ทำให้รากฐานการบ่มเพาะพลังไม่มั่นคงหมดไป
จิวโมไป๋สูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะมองไปยังผลึกกรรมชั่ว จิตใจของเขาสงบลงไม่ตกอยู่ในผลกระทบของผลึกกรรมชั่วอีก
แม้ว่าความความแข็งแกร่งจะไม่เพิ่มขึ้น แต่สภาวะจิตใจของเขาพัฒนาขึ้นหนึ่งขั้น
เมื่อตั้งสติได้ เขาก็ค้นพบความผิดปกติบางอย่าง คิ้วของเขาขมวดแน่น
“ถ้าผลบุญมหาศาล ทำให้เกิดผลึกกรรมชั่ว แล้วกรรมชั่วที่ได้จากการฆ่าผู้ต้องสาปหายไปไหน?”
หรือว่าผลึกกรรมชั่วจะทำลายกรรมชั่ว?
มันอาจเป็นไปได้ เพราะผลึกกรรมชั่ว สามารถกำจัดจิตมารได้ ไม่แปลกที่มันจะกำจัดกรรมชั่ว
ถ้าอย่างนั้นเขาจะรวบรวมกรรมชั่ว แล้วใช้ประโยชน์จากมันในการทะลวงขั้นสูงสุดได้ยังไง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
“ผลึกกรรมชั่วสามารถนำออกไปข้างนอกได้หรือไม่?”
ถ้าไม่สามารถนำออกไปได้ ทุกอย่างก็เป็นการสูญเปล่า และถ้าผลึกกรรมชั่วทำลายกรรมชั่วจริงๆ ถ้าเขาไม่สามารถนำผลึกกรรมชั่วออกไปได้ เขาก็จะไม่สามารถสะสมกรรมชั่วได้อีก
เมื่อค้นพบปัญหามากมาย จิวโมไป๋ก็ไม่ได้ทุกข์ใจหรือเสียใจ เขาครุ่นคิดอย่างใจเย็น
รอปลอดคนเมื่อไหร่ ค่อยทดลองดูว่าผลึกกรรมชั่วสามารถนำออกไปได้หรือไม่ ถ้าสามารถนำออกไปได้ ปัญหาทุกอย่างจะหมดไป
เขาตรวจสอบทะเลสติครู่หนึ่ง ก็ถอดร่างเสมือนออก กระบี่เลือนเร้นที่พันแขนเขาอยู่ส่งเสียงกังวานออกมา
แม้จะไม่สามารถสื่อสารกันได้ แต่เขาพอจะเข้าใจว่ากระบี่เลือนเร้นต้องการจะสื่ออะไร เขาลูบมันเบาๆก่อนจะส่งความคิดเข้าไป
ไม่ต้องกังวล ฉันจะไม่หายไปไหน
ใบกระบี่เลือนเร้นสั่นเบาๆ เป็นการตอบรับ
จิวโมไป๋ยิ้ม ก่อนจะออกจากทะเลสติ เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าในรถเงียบมาก เขามองไปรอบๆก็พบว่าเจ้าอาวาสหงหมิงและพันเอกนาคามูระกำลังตระหนักรู้ในการบ่มเพาะพลัง เขาประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ส่งเสียงหันไปเห็นหงหยุนและหงเฟย
ทั้งสองรู้ว่าจิวโมไป๋มองมา พวกเขาก้มหัวเล็กน้อยเพื่อขอโทษ ดวงตาฉายแววเสียใจออกมา
จิวโมไป๋พยักหน้าไม่โกรธ เขาไม่ติดใจที่หงเฟยพาหงหยุนที่หมดสติหนีไป ถ้าเป็นเขาเอง ไม่แน่เขาก็จะทำ
เห็นว่าจิวโมไป๋ไม่ติดใจ ทั้งสองก็รู้สึกละอายใจ เมื่อเห็นความใจกว้างของจิวโมไป๋
รถตู้สีดำค่อยๆขับออกไปเขตนอกเมืองไปถึงสถานีอากาศยานขนาดเล็ก
เมื่อรถจอด เจ้าอาวาสหงหมิง เป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นดวงตาของเขาสาดประกายเจิดจ้าวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นดวงตาอ่อนโยนเมตตา เจ้าอาวาสหันมามองจิวโมไป๋ เขาอยากจะชักชวนให้จิวโมไป๋ออกบวชอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าพันเอกนาคามูระกำลังตระหนักรู้แจ้งอยู่ เขาจึงเงียบ
พวกเขาไม่ลงจากรถ รอพันเอกนาคามูระ ไม่นานพันเอกนาคามูระก็ลืมตาขึ้น ดวงตาคมกริบดุจคมดาบเป็นประกายวูบหนึ่งก่อนจะหายไป
พันเอกนาคามูระเห็นว่าถึงที่หมายแล้ว เขาก็ก้มหน้าด้วยความละอายใจ ที่ทำให้ทุกคนต้องรอ ก่อนจะมองจิวโมไป๋ สายตาที่มองจิวโมไป๋เปลี่ยนไปเล็กน้อยแฝงไปด้วยความชื่นชมจางๆ
จิวโมไป๋แปลกใจที่อยู่ๆพันเอกนาคามูระก็ชื่นชมตัวเอง
พวกเขาลงจากรถตู้สีดำ ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบินเล็กที่มีที่นั่ง 5 ที่พอดี
ไม่นานเครื่องบินเล็กก็บินขึ้นก่อนจะเปิดโหมดล่องหน และพุ่งทะยานออกจากเกาะ R ไปยังเมืองหลวงของประเทศเกาะ
ด้วยความเร็วของเครื่องบินเล็กไม่นานก็เขาสู้พื้นที่เมืองหลวง เครื่องบินเล็กบินไปอีกด้าน ซึ่งเป็นเขตป่าชุกชุมมีภูเขาสูงใหญ่นับไม่ถ้วน ห่างจากเมืองหลวงเกือบร้อยกิโลเมตร ก็พบกับภูเขาใหญ่ที่ปลายยอดภูเขาทื่อเรียบเหมือนถูกตัดด้วยดาบ
พันเอกนาคามูระเห็นว่าจิวโมไป๋มองไปที่ยอดเขานาน เขาก็เล่าให้ฟังว่า ยอดเขาแห่งนี้ถูกเจ้าสำนักรุ่นที่ 15 ตัดในดาบเดียว
จิวโมไป๋ที่ได้ยินก็พยักหน้า เขาไม่ถามว่าเจ้าสำนักปัจจุบันรุ่นที่เท่าไหร่ เขามองที่ยอดเขาที่ตอนนี้มีต้นไม้สูง เขาก็คาดเดาระยะเวลาได้หลายพันปี
เครื่องบินเล็กบินลงไปจอดที่ด้านล่างของภูเขา พวกเขาก็เห็นเมืองเล็กๆ ที่มีตึกสูงหลายร้อยหลัง เมืองแห่งนี้มีประชากรกว่าแสนคน
“นี่คือเมืองนาคามูระ ชื่อของเมืองตั้งขึ้นตามชื่อกระกูลของผู้ก่อตั้งเมือง ซึ่งเป็นเขาเป็นผู้บรรพบุรุตของฉัน”พันเอกพูดขึ้น
ทั้ง 5 ลงจากเครื่องบินก็มีรถตู้สีดำรุ่นเดิมจอดรอรับพวกเขา
เมื่อขึ้นรถตู้ก็ขับไปที่ทางขึ้นภูเขาทื่อ รถค่อยๆขับผ่านตึกสูง เห็นผู้คนเดินจับจ่ายซื้อของอย่างคับคั่ง ในหมู่กลุ่มคนที่เดินขวักไขว่ สามารถมองเห็นคนในชุดยูกาตะสีดำปักลายสีม่วง เมื่อคนในชุดคลุมเดินผ่าน จะได้รับความเคารพอย่างมากจากผู้คน
จิวโมไป๋มองไปที่ด้านหลังก็สังเกตเห็นชื่อสำนักปักด้วยด้ายสีม่วงงดงาม
สำนักดาบสายฟ้าคำรณ!
ดวงตาจิวโมไป๋สว่างวูบหนึ่งก่อนจะหายไปโดยที่ไม่มีใครพบเห็น เขาเคยคิดจะศึกษาวิชาดาบของนาคามูระ อิโทซะมาก่อน ไม่คิดเลยว่าจะได้พบโอกาสเร็วอย่างนี้
รถตู้สีดำขับไปใกล้จะถึงลานกว้างที่ปูด้วยหินแกรนิต
ด้านนอกก็เกิดความผิดปกติขึ้น ผู้คนเข้าไปมุ่งดูอะไรบางอย่าง จำนวนคนที่ไปมุ่งดูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะรถยังไม่จอดพวกเขาจึงยังไม่ได้ลงจากรถ จิวโมไป๋ใช้จิตสัมผัสออกไป เขาก็พบชายในชุดคลุมสำนักดาบสายฟ้าคำรณ กำลังจับแขนของหญิงสาววัยรุ่นที่มีสีหน้าตื่นตะหนก ดวงตาเย่อหยิ่งจ้องมองไปยังฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี กำหมัดแน่น ดวงตามืดมัวมองไปยังชายในชุดคลุมสำนัก
—
เปิดตัวร้าย?