คลื่นพลังดาบเพลิงกวาดออกโดยรอบ แม้แต่เมืองนาคามูระ ฝั่งตรงข้ามกับการโจมตีและห่างไปกว่า 7 กิโลเมตร ก็ไม่สามารถหลบรอดจากคลื่นพลังอันร้อนแรง อาคารตึกสูง ไม่สามารถทนได้ พวกมันพังทลายลงมา
โชคดีที่ผู้คนต่างหลบหนีออกไปตั้งแต่เห็นฮิโรกิและอายาเสะเริ่มใช้พลังทั้งหมดต่อสู้กัน ไม่ถูกตึกถล่มทับ
แต่คลื่นพลังก็ยังกวาดเข้าใส่ผู้คนที่กำลังหลบหนี ทำให้ผู้คนบาดเจ็บจำนวนมาก คนที่โชคร้ายถูกแผ่นกระจก ที่แตกจากคลื่นพลัง ตกใส่ ทำให้บาดเจ็บสาหัส แต่ก็ได้รับการช่วยเหลือได้ทัน โชคดีไม่มีใครเสีย
บนภูเขาหัก คลื่นพลังความร้อนกวาดมาถึงพวกเขา ทำให้ทุกคนถูกคลื่นพลังกระแทกจนล้มระเนระนาด มีเพียงไม่กี่คนที่ยืนอยู่ได้
จิวโมไป๋ยืนมองไปยังทิศทางที่เกิดการโจมตี ด้วยอารมณ์แปรปรวน
เป็นเพลิงผลาญธุลีจริงๆ!
เพลิงผลาญธุลี สมบัติปฐพีระดับ 6 เปลวเพลิงที่สามารถเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นเถ้าธุลี
เพลิงผลาญธุลีมีอุณหภูมิเริ่มต้น 2,000 องศาเซลเซียส และสามารถพัฒนาความร้อนไปจนถึง 24,000 องศาเซลเซียส! ร้อนกว่าความร้อนของผิวดวงอาทิตย์ถึง 4 เท่า!
เปลวเพลิงเริ่มต้น สามารถละลายเหล็กกล้า ให้กลายเป็นของเหลวภายในไม่กี่วินาที!
เพลิงผลาญธุลีไม่มีคุณสมบัติพิเศษเหมือนเปลวเพลิงอื่นๆ มีแต่ความร้อนอันมหาศาลที่สามารถเผาไหม้ทุกสิ่งด้วยอุณหภูมิอันร้อนแรง ความร้อนของมัน แม้แต่เปลวเพลิง ระดับสวรรค์ ก็มีน้อยที่จะมีความร้อนแรงเทียบเท่า
เพราะเพลิงผลาญธุลี ไม่มีคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ นอกจากอุณหภูมิที่สูงกว่าเปลวเพลิงอื่นๆ ทำให้มันถูกจัดอยู่แค่ระดับที่ 6 ปฐพี
แต่ถึงแม้จะไม่มีคุณสมบัติพิเศษและอยู่แค่ระดับปัฐพี แต่เพลิงผลาญธุลีก็ถูกจัดอันดับต้นๆ ของเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดอันดับต้นๆ และไม่แปลกเลยที่ มันจะถูกจัดให้เป็นเปลวเพลิงที่มีพลังทำลายล้างมากที่สุดในระดับสมบัติปฐพี!
ในอดีตเขาโชคดีได้รับเพลิงผลาญธุลี ในมิติรกร้างที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นทะเลทราย สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ก็เพราะเพลิงผลาญธุลีพัฒนาจนอยู่ในระดับสูงสุด มีอุณหภูมิ 24,000 องศาเซลเซียส ร้อนกว่าความร้อนของผิวดวงอาทิตย์ 4 เท่า ทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆสามารถอาศัยอยู่ในมิตินั้นได้!
เขาบังเอิญได้รับเพลิงผลาญธุลีมา ทำให้เขารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของมัน แม้จะไม่มีความสามารถพิเศษ แต่อาศัยแค่ความร้อนของมันก็แข็งแกร่งมากแล้ว
หลังจากที่เขาได้รับเพลิงผลาญธุลี ความสามารถในการลอบสังหารของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถขวางการโจมตีของเขาได้ ความร้อนของเพลิงผลาญธุลีจะทำลายอาวุธ หรืออุปกรณ์ป้องกันทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ สมบัติที่มีคุณสมบัติป้องกันกฎแห่งธาตุไฟโดยเฉพาะ ยากที่จะสามารถป้องกันได้ ไม่ต้องพูดถึงเมื่อถูกลอบสังหาร ไม่มีใครที่เตรียมพร้มอยู่แล้ว ทำให้การลอบสังหารของเขามีโอกาสสำเร็จสูงมาก
ชื่อเสียงในการลอบสังหารของเขา จึงถูกเลื่องลือไปทั่วในโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ใบหน้าของจิวโมไป๋ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เพราะเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเพลิงผลาญธุลีเป็นอย่างดี การที่มันอยู่กับฝ่ายตรงข้าม มันไม่ใช้เรื่องดีกับฝ่ายของเขาอย่างแน่นอน
จิวโมไป๋สูดลมหายใจลึกๆ สะกดอารมณ์พลุ่งพล่าน ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาหยิบกิ่งไม้และเถาวัลย์ออกจากแหวนมิติเก็บของ กฎแห่งธาตุไม้สีเขียวเข้มระเบิดออกที่ฝ่ามืออย่างรุนแรง กิ่งไม้ขยายใหญ่เหยียดยาวเหมือนไม้พลอง เถาวัลย์เส้นเล็กๆหลายสิบเส้นเรียงร้อยพันพลองไม้ทำให้มันหนาขึ้น
จิวโมไป๋ควงพลองไม้ น้ำหนักของมันเบามากจนแทบจะไม่รู้สึกถึงความหนัก แตกต่างจากพลองเหล็กที่เขาเคยใช้มาก่อน แต่พลองไม้ให้ความรู้สึกคล่องแคลว ยืดหยุนเข้ามาแทน ซึ่งมันเหมาะกับวิชาพลองที่เขาพัฒนาขึ้นมาใหม่
ไม่รอช้าเขากระโจนเข้าไปกลางวงกลุ่มคนในชุดสีแดง ที่กำลังเหม่อมองไปทางการต่อสู้ของสองบรรพบุรุษ
พลองไม้แยกออกกลายเป็นเงาไม้นับไม่ถ้วน กระหน่ำโจมตีทุกทิศทาง พริบตาเดียวมันก็ฟาดใส่ร่างของทุกคนที่ขวางทาง
ตูม ตูม ตูม ร่างของคนโชคร้ายที่ถูกพลองไม้โจมตีกระเด็นออกไปราวว่าวขาดป่าน
คนอื่นๆที่มัวแต่เงยหน้ามองการต่อสู้ของบรรพบุรุษทั้งสองสำนักกำลังต่อสู้กันก็รู้สึกตัว พวกเขาหันมาก็เห็นจิวโมไป๋ กำลังลอบโจมตีศิษย์ของสำนักดาบเพลิงทลายฟ้าที่กำลังเผลอพอดี
จิวโมไป๋เร่งความเร็วพลองไม้หมุนควงราวพายุ โจมตีรอบด้านจัดการคนที่เหลือจนหมดสิ้น
เหลือเพียงเอนโจ เคนซูกุ และผู้พิทักเพลิงทมิฬ พวกเขาทั้งสองไม่สนใจแม้แต่น้อยที่จิวโมไป๋สามารถจัดการคนของพวกเขาจนหมด
เพราะพวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างมาก
เคนซูกุมองจิวโมไป๋ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองคนอื่นๆที่ตั้งท่าพร้อมต่อสู้อีกครั้ง เขายิ้มมุมปาก
“อย่าดิ้นรนอีกเลย ท่านบรพบุรุษใช้เปลวเพลิงทลายฟ้า(เพลิงผลาญธุลี) สมบัติสูงสุดของสำนักแล้ว ไม่มีใครสามารถรอดจากการโจมตีของท่านได้ สำนักดาบสายฟ้าคำรณจบสิ้นแล้ว พวกนายยอมจำนนซะเถอะ อย่างน้อยพวกนายก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ถ้าพวกนายยังดื้อดึง ชีวิตของพวกนายอาจรักษาไว้ไม่ได้”เคนซูกุกล่าวอย่างช้าๆน้ำเสียงเย่อหยิ่งแฝงไปด้วยความดูแคลน ราวกับว่าเขาสามารถกำหนดชะตาชีวิตของทุกคนไว้ได้