บทที่ 1 ความจริงที่น่าเศร้า
ในค่ำคืนที่มืดมิด ไม่มีแม้แต่เงาของก้อนเมฆ อากาศที่ใช้ในการหายใจเหลือน้อยเต็มที
ที่โกดังใต้ดินในคฤหาสน์ฟางหลังใหญ่ ร่างเล็กร่างหนึ่งกำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น เสื้อผ้าที่ดูสกปรก โซ่เหล็กที่มีน้ำหนักกำลังล่ามแขนและขาของร่างนั้น กุญแจล็อกที่ขึ้นสนิมบ่งบอกให้รู้ว่ามันไม่ได้ถูกใช้งานมานานมากแล้ว
แสงไฟสลัวๆที่สาดส่องลงมาบนร่างเล็กที่อยู่ในห้อง ปรากฏใบหน้าที่ซีดและซูบผอม ดวงตาสีดำคู่หนึ่งบนใบหน้านั้นดูว่างเปล่าและไม่มีชีวิตชีวา รอยแผลเป็นที่ลากยาวตั้งแต่หน้าผากไปจนถึงกระดูกไหปลาร้าช่างดูน่าเกลียดน่ากลัว มันได้ทำลายใบหน้าที่ดูบอบบางของหญิงสาวไปจนหมด
ไม่มีใครได้ติดต่อกับหญิงสาวที่หมดสภาพและใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น มานานแล้ว เนื่องจากความผิดพลาดครั้งใหญ่ของตระกูลมู่หรง มู่หรงเสวี่ยถูกขังอยู่ในโกดังใต้ดินแห่งนี้มาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว
ความจริงแล้วเธอเป็นคนรักที่ดี เธอยินดีทิ้งครอบครัวตัวเอง ยอมหันหลังให้กับพ่อแม่ และยอมตายตามเขาไป ฟางฉีฮัวปฏิบัติกับเธอดั่งคนรัก พวกเขาปฏิบัติต่อกันจากใจจริง ยอมแม้กระทั่งต้องสละชีวิตของตัวเองเพื่อปกป้องอีกฝ่าย
ในเวลานี้ ด้านนอกประตู มีเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นดังขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงฝีเท้านั้นเป็นของใคร คนคนนั้นเป็นญาติห่างๆที่อาศัยอยู่ในบ้านมู่หรง เสี่ยวเข่อลี่
เธอเป็นเพื่อนสนิทที่มู่หรงเสวี่ยรักเหมือนน้องสาวตัวเองมาตลอด เธอดูเป็นผู้หญิงที่บอบบางและอ่อนแอ แต่จิตใจกลับโหดเหี้ยมและอำมหิต น่าเสียดายที่หลายปีที่ผ่านมานี้ เธอไม่เคยรู้ธาตุแท้ของอีกฝ่ายเลย
“เร็วสิ! รีบเปิดประตูเร็วๆเข้า ฉันจะได้บอกข่าวดีกับพี่สาวฉันเร็วๆ” ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเสี่ยวเข่อลี่ทั้งตื่นเต้นและดีใจมาก ไม่เหมือนอย่างก่อนหน้านี้
“ว่าไงจ๊ะ พี่สาวสุดที่รัก ฉันมีข่าวดีที่น่าดีใจมากมาบอกด้วยนะ!” เสี่ยวเข่อลี่ที่สวมกระโปรงสีเขียวรีบนั่งลงที่พื้น ผมสีดำของเธอถูกมัดหลวมๆไว้ข้างหลัง ผิวขาวดุจหิมะและใบหน้าที่ดูเบิกบานราวกับดอกท้อ ช่างเป็นใบหน้าที่น่ารักและน่าทะนุถนอมมาก แต่มันกลับทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกแย่และรังเกียจขึ้นมาได้
มู่หรงเสวี่ยยังคงรักษาท่าทางเอาไว้เหมือนเดิม ไม่มีการเคลื่อนไหวเหมือนกับว่าเธอไม่รู้ถึงการมาถึงของเสี่ยวเข่อลี่เลยแม้แต่น้อย แต่เธอจะทำแบบนั้นได้จริงๆเหรอ? เรื่องนี้คงมีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยเกลียดคนที่หน้าไหว้หลังหลอกมากแค่ไหน
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเข่อลี่ก็คุ้นเคยกับความเงียบของ มู่หรงเสวี่ยเช่นกัน แต่เธอเชื่อว่าข่าวที่เธอจะบอกต้องทำให้ มู่หรงเสวี่ยเงียบไม่ลง เธอจะได้เห็นอีกฝ่ายร้องไห้ฟูมฟายออกมา แล้วนอนกลิ้งอยู่ที่พื้นสกปรก มาดูกันว่า อีกฝ่ายจะทำตัวจองหองได้อีกสักกี่น้ำ
“มู่หรงเสวี่ย อะไรคือสิ่งที่เธอภูมิใจนักภูมิใจหนาล่ะ? ตระกูลขุนนางมู่หรงที่เธอภูมิใจหนักหนา อีกไม่นานมันจะต้องสิ้นชื่อแล้ว นี่ เธอรู้หรือเปล่า? ลุงกับป้าของฉันรักเธอมากจริงๆ แต่พวกท่านเพิ่งจะได้รับข่าวปลอมๆมาว่าบุตรสาวผู้เป็นที่รักของพวกท่านเพิ่งจะไปลงนรก (นรกที่สวยงามที่สุด) และพวกท่านก็ได้ฆ่าตัวตายตามไปด้วย ตอนนี้ทั้งคู่ก็ต้องมาตายอย่างน่าอนาถ…”
มู่หรงเสวี่ย ‘รีบ’ ลุกขึ้นยืนในทันที ร่างกายที่ขาดสารอาหารมานานสั่นจนดูน่ากลัว “ไม่จริง! เธอโกหก!” น้ำเสียงที่แหบแห้งและลมหายใจที่ไม่มั่นคงเผยความตึงเครียดของมู่หรงเสวี่ยออกมาทั้งหมด
“เหอะ ถ้าไม่เชื่อ ก็ดูเอาสิว่าความจริงเป็นยังไง!” เสี่ยวเข่อลี่เห็นว่ามู่หรงเสวี่ยไม่เชื่อ จึงหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า มันคือกำไลข้อมือที่แม่เธอไม่เคยถอดเลย!!!
อาการหน้ามืดเข้าโจมตีในทันที มู่หรงเสวี่ยเกือบจะเป็นลมล้มพับไปแล้ว
“ในที่สุดก็เชื่อได้แล้วสินะ พอได้เห็นหน้าซีดๆแบบนี้แล้วก็รู้สึกเวทนาจริงๆ อยากรู้จังว่าตอนนี้เธอจะไปยั่วใครได้อีก ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ในตอนนี้ เสี่ยวเข่อลี่มีความสุขมาก! มู่หรงเสวี่ยอยู่เหนือเธอมาตลอด ถึงอีกฝ่ายจะสงสารและคอยแบ่งของให้เธอเสมอก็ตาม ส่วนเหตุผลที่เธอทำแบบนี้คืออยากทำลายชื่อเสียงของ มู่หรงเสวี่ยและทำให้เธอจบไม่สวยก็แค่นั้นเอง แค่ได้เห็น มู่หรงเสวี่ยหายตัวไปก็ทำให้ความเกลียดชังของเธอจางหายไปได้แล้ว
“เป็นฝีมือของเธอนี่เอง! เธอเป็นคนสร้างเรื่องทั้งหมดนี้งั้นเหรอ?! เธอจะต้องไม่ตายดีแน่ ฟางฉีฮัวเป็นคนฉลาด เขาจะต้องคิดเรื่องทั้งหมดได้”
“โอ้ะ! นี่เธออย่างี่เง่าไปหน่อยเลย เธอคิดว่าฟางฉีฮัวเขารักเธอจริงๆเหรอ? เขาวางแผนเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว และอีกอย่างคือ เขารักฉันย่ะ!”
ความเจ็บปวดได้ทิ่มแทงหัวใจ จนทำให้ร่างของ มู่หรงเสวี่ยไม่สามารถทรงตัวได้อีก
“เขาเห็นแก่ตระกูลขุนนางอย่างตระกูลมู่หรงต่างหากล่ะ ฟางฉีฮัวถึงพยายามทำดีกับเธอ ปกป้องเธอด้วยชีวิตและมอบความรักให้เธอ แต่ก็นะ เธอคิดว่าเขารักเธอจริงงั้นเหรอ? เขาก็แค่แกล้งทำไปงั้นแหละ เธอจะได้หลงเชื่อ แล้วก็คิดว่าเขารักเธอไง ก็ที่เธอยอมตัดขาดกับครอบครัวเพื่อเขาน่ะ เขามีแต่จะเกลียดเธอมากขึ้นน่ะสิ”
เมื่อได้ยินคำพูดแรงๆเหล่านี้ มู่หรงเสวี่ยได้รำลึกถึงความอ่อนโยนของฟางฉีฮัวและความรู้สึกต่างๆที่เขามีต่อเธอ ตอนที่เธอถูกลักพาตัวไป เธอตกอยู่ในอันตราย กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างถูกคิดเอาไว้หมดแล้ว ช่างน่าขำสิ้นดี
“เสี่ยวเข่อลี่ ถ้าฟางฉีฮัวรวมหัวกับเธอหลอกฉันเพื่ออำนาจ แล้วเธอล่ะ เพื่ออะไร? ฉันคิดว่าตัวเองจริงใจกับเธอ ถึงขนาดยอมมอบชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเธอ ฉันรักเธอเหมือนน้องสาวตัวเอง ตระกูลมู่หรงไม่เคยทำไม่ดีกับเธอเลย เธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร…”
“อย่ามาทำตัวสูงส่งไปหน่อยเลย เธอมันก็แค่คุณหนู มู่หรงที่น่าสงสาร เธอนี่มันโง่จริงๆ คนอย่างเธอมีอะไรมาเทียบกับคนอย่างฉันได้? ฉันก็แค่ไม่อยากให้เธอมีชีวิตดีๆ อ้อ เธอรู้ไหม เธอเคยช่วยฉันไว้ครั้งใหญ่เลยละ จำสร้อยข้อมือที่เธอเคยให้ฉันได้ไหม?! สร้อยข้อมืออันนั้นเป็นของดีมากจริงๆ เธอนี่มันโง่จริงๆที่ยกให้คนอื่น ในสร้อยข้อมือมีพื้นที่มิติของตัวเองและมีบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณอยู่ในนั้นด้วย เธอไม่คิดว่าฉันดูสวยขึ้นบ้างเหรอ? นี่เป็นผลมาจากบ่อน้ำพุแห่งจิตวิญญาณแถมยังช่วยต่อชีวิตให้ฉันด้วย รู้ไหมว่าเป็นของที่หายากมากขนาดไหน อีกอย่างนะ มันช่วยปูทางชีวิตรักของฉันให้ราบรื่นสุดๆไปเลยล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
ทันใดนั้นสร้อยข้อมือที่งดงามบนข้อมือของเสี่ยวเข่อลี่ก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้ามู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยจำสร้อยข้อมือเส้นนี้ได้ดีเพราะคุณย่ามู่หรงเป็นคนมอบให้เธอเอง ตอนที่อีกฝ่ายบังเอิญได้เห็นมัน เธอก็พร่ำบอกว่าชอบมันอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำ อีกฝ่ายยังขอสร้อยเส้นนี้จากเธอนับครั้งไม่ถ้วน มู่หรงเสวี่ยไม่รู้จะพูดยังไงจึงยอมให้เธอยืมไปใส่ แต่ในตอนที่เธอขอมันคืนมา เสี่ยวเข่อลี่กลับทำหน้ารู้สึกผิดแล้วบอกว่าสร้อยข้อมือหายไปแล้วซึ่งน่าจะถูกขโมยไป ถึงแม้ มู่หรงเสวี่ยจะใจสลาย แต่เธอก็ไม่ได้กล่าวโทษอีกฝ่ายเลย ในตอนนี้หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเหมือนกับถูกมีดคมๆกรีดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า น่าเจ็บใจจริงๆ
“ฉันเกลียด… ฉันเกลียดที่ชีวิตนี้เป็นฉันเองที่ตาบอด ถ้าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง เธอจะต้องมีชีวิตเหมือนคนตายทั้งเป็น และจะต้องทุกข์ทรมานเหมือนกับตกนรกไปตลอดกาล!!” มู่หรงเสวี่ยที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด ล้มลงไปนอนที่พื้น กระอักกองเลือดสีสดออกมาทางปาก ตรอมใจตายทั้งๆที่ดวงตายังเปิดค้างอยู่อย่างนั้น!!!!