บทที่ 116
รออยู่เงียบๆ
“หยุด เสี่ยวเสวี่ยไม่ใช่คนแบบนั้น…” ในน้ำเสียงเขามีความไม่แน่ใจที่เขาอธิบายไม่ได้
ไป๋เสวี่ยหลี่เผยรอยยิ้มขมขื่น “พี่โม่ ถ้าพี่ไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้ ถ้ามันจะทำให้พี่รู้สึกดีขึ้นงั้นก็เป็นฉันเองแหละที่โกหก…ตราบใดที่พี่มีความสุข ฉันก็จะไม่ขออะไรอีก…” ไป๋เสวี่ยหลี่หลับตาลงและพวกเขาก็ไม่อยากจะพูดอะไรอีก
อย่างไรก็ตามจากท่าทางของเธอทำให้ชางกวนโม่เชื่อเธอขึ้นมานิดหน่อย ถ้าเธอยังยืนยันว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นคนทำ เขาก็คงจะสงสัยว่าไป๋เสวี่ยหลี่โกหกเพราะความหึง
มู่หรงเสวี่ยกลับไปที่วิลล่าและเข้าไปในมิติลับ มิติลับเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเยียวยาใจของเธอ เธอไม่อยากที่จะสงสัยความรักของชางกวนโม่ ความรู้สึกนี้ทันเหนื่อยเกินไป
ในที่สุดเมื่อไป๋เสวี่ยหลี่หลับไป ชางกวนโม่ก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามู่หรงเสวี่ยทันที ตั้งแต่ที่มูหรงเสวี่ยออกไปเขาก็รู้สึกว้าวุ่นใจและรู้สึกไม่ดีตลอด ยังไงซะเมื่อฟังจากคำพูดของไป๋เสวี่ยหลี่ ถึงแม้เสี่ยวเสวี่ยจะทำจริงๆ เธอก็คงต้องมีเหตุผล
อย่างไรก็ตามที่ปลายสายเบอร์โทรไม่อยู่ในพื้นที่บริการ
ชางกวนโม่รีบโทรหาเย่เฟิงให้หาคนมาเฝ้าไป๋เสวี่ยหลี่แล้วจึงรีบขับรถไปวิลล่าของมู่หรงเสวี่ย นี่เป็นเวลาตีสองแล้ว วิลล่าปิดไฟมืดและเหมือนจะไม่มีใครอยู่ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยและกดกริ่งประตูแต่หลังจากที่กดอยู่นานก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เสี่ยวเสวี่ยไม่อยู่งั้นเหรอ?!
หลังจากที่รออยู่ครึ่งชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ชางกวนโม่จึงทำได้เพียงเดินกลับไปที่รถและจอดพักอยู่ในที่จอดรถ
จนกระทั่งรุ่งสาง มู่หรงเสวี่ยก็เดินออกมาจากวิลล่า และได้เห็นว่าชางกวนโม่อยู่ข้างนอกวิลล่าของเธอ เขาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้วนะ?! เธอเดินออกไปนอกประตูมองเขาที่กำลังหลับอยู่ในรถ ช่างดูน่าหลงใหลจริงๆ
บางทีสายตาของมู่หรงเสวี่ยอาจจะอบอุ่นเกินไป ชางกวนโม่ขยับเล็กน้อยแล้วจึงลืมตาขึ้น เขาสังเกตเห็นทันทีว่ามีคนอยู่ด้านนอกหน้าต่าง ปกติเขาจะมีการ์ดอยู่ด้วยซะส่วนใหญ่แต่หลังจากที่มองใกล้ๆ เขาก็เห็นว่าเป็นมู่หรงเสวี่ย เขาเปิดประตูและเดินออกมา
“เมื่อคืนเธอหายไปไหน?” เขาถามเสียงห้าว
มู่หรงเสวี่ยจ้องตรงไปที่เขา เพราะว่าเพิ่งตื่นตาของเขาก็เลยยังแดงก่ำอยู่หน่อยๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาแต่ซ่อนความเหนื่อยล้าไว้ไม่ได้เลย เธอรู้สึกปวดใจเล็กน้อยและเธอต้องลำบาก เมื่อคืนเธอยังโกรธเขาอยู่นิดหน่อยเพราะไม่เชื่อใจเธอ แต่ในตอนนี้เธอสงบแล้วแม้จะทนไม่ได้กับความทุกข์ทรมานมากมายก็ตาม
“คุณรออยู่ข้างนอกทั้งคืนเลยเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“เมื่อคืนฉันโทรหาเธอไม่ติดเลย ไม่มีใครมาเปิดประตูด้วย เธออยู่ในวิลล่าหรือเปล่า? เธอไปไหนมา?” เมื่อคืนเขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน หลังจากที่รออยู่นาน เขาคงจะเหนื่อยมากเกินไปจนเผลอหลับไปในรถ
ในหัวใจของมู่หรงเสวี่ยมีความรู้สึกมากมาย สุดท้ายเธอก็อดไม่ได้ที่จะเดินตรงเข้าไปกอดชางกวนโม่ไว้แน่น “พี่โม่…”
ชางกวนโม่รู้สึกตกใจแล้วเขาก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน นี่เป็นช่วงเวลาที่หายากที่เธอจะเข้ามากอดเขาแบบนี้ นี่หมายความว่าเธอก้าวไปข้างหน้าแล้วใช่ไหม เขากอดเธอกลับและไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกันมาก ตราบใดที่ทั้งสองมีใจดวงเดียวกันก็ไม่มีอะไรที่สำคัญกว่านี้แล้ว
สักพักมู่หรงเสวี่ยก็ปล่อยเขาและพูดออกมา “คุณยังไม่ได้กินอาหารเช้า เข้ามาข้างในก่อนเถอะค่ะ ฉันจะทำอาหารเช้าให้!”
หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยปล่อยเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่างเปล่า อยากที่จะกอดเธอไว้แน่นๆไปตลอดชีวิตโดยไม่แยกไปไหนเลย “ดีเลย!”
มองมู่หรงเสวี่ยที่กำลังยุ่งเตรียมอาหารให้เขา หัวใจของชางกวนโม่อ่อนยวบ สิ่งที่เขาต้องการก็คือชีวิตที่เรียบง่าย เขามีเธออยู่ที่บ้าน พวกเขากินอาหารเช้าด้วยกัน เข้านอนด้วยกันจนกระทั่งพวกเขาแก่เฒ่า เมื่อวานเขาเองอยากจะถามเธอเรื่อง ไป๋เสวี่ยหลี่ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากที่จะถามอะไรเธอแล้ว ตราบใดที่เป็นมู่หรงเสวี่ย เขาก็รักเธอไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง
มู่หรงเสวี่ยรีบเตรียมอาหารเช้าง่ายๆแต่เมื่อเธอเดินออกมาพร้อมอาหารเช้า ก็เจอว่าสายตาของชางกวนโม่กำลังจ้องตรงมาที่เธอ หน้าเธอแดงระเรื่อ รู้สึกเขินเล็กน้อยจึงถามออกไปด้วยความสงสัย “คุณจ้องอะไรฉันคะ?”
“เธอเป็นภรรยาของฉัน ถ้าไม่ให้จ้องเธอจะให้ไปจ้องใครล่ะ?! แล้วเธอจะรู้ได้ยังไงว่าฉันมองอยู่ถ้าเธอไม่ได้มองฉันเหมือนกัน!” ชางกวนโม่อารมณ์ดีจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ใครเป็นภรรยาคุณกัน? เรายังไม่ได้แต่งงานกันซะหน่อย…”
“ถ้าเธอรอจนเราแต่งงานกันไม่ไหวงั้นฉันว่าเราไปกันเลยหลังจากกินข้าวเสร็จก็ได้…”
มู่หรงเสวี่ยจ้องไปที่เขาด้วยความเขินเวลาที่เขาพูดตลก “กินข้าวเช้าก่อนเถอะค่ะ”
“ครับ คุณภรรยา!” ชางกวนโม่ยังยิ้มระรื่น
พวกเขากำลังจะกินอาหารเช้าตอนที่กริ่งหน้าบ้านดังขึ้น มู่หรงเสวี่ยถามแล้วลุกขึ้นเพื่อจะไปเปิด “ฉันไปดูเองว่าใครมากัน?”
ชางกวนโม่ยังนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าที่มองไม่ชัดเท่าไร
มู่หรงเสวี่ยเดินไปดูที่วิดีโอหน้าบ้าน แล้วก็เห็นว่าเป็นพี่ชู จึงรีบเปิดประตูทันที ไม่ช้าชูอี้เสิ่นก็เดินเข้ามาและเห็นรอยยิ้มบนหน้าเธอตอนที่เขาเห็นชางกวนโม่
“พี่ชู มาที่นี่ได้ยังไงคะเนี่ย?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย
“มาหาเธอไง ฉันมารบกวนหรือเปล่า? ฉันไม่คิดว่าเธอจะมีแขกอยู่ด้วย…” ชูอี้เสิ่นพูดขึ้นมาด้วยความสงสัยเล็กน้อย สองคนนี้ไม่ควรที่จะกลับมาคืนดีกัน เขาประเมินลมปากชางกวนโม่ต่ำไปจริงๆ ถึงขนาดหลอกให้เสี่ยวเสวี่ยยอมยกโทษให้จนได้
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างเขินและพูดออกมา “พี่ชู กินข้าวเช้ามาหรือยัง? เรากำลังจะกินเลย มากินด้วยกันสิคะ” มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปหยิบถ้วยและตะเกียบในครัว
“ฉันกำลังหิวเลย” ชูอี้เสิ่นเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารตรงข้ามกับชางกวนโม่พอดี ดวงตาเย็นชาจ้องตรงไปที่ชางกวนโม่
ดวงตาของชางกวนโม่ก็แวบประกายอาฆาต อย่าคิดว่าเขาไม่รู้นะว่าชูอี้เสิ่นคิดอะไรอยู่ ไอ้บ้านี่น่ารำคาญจริงๆ ทำตัวอย่างกับแมลงที่คอยตอมมู่หรงเสวี่ยอยู่ได้
“คุณชูนี่ว่างมากหรือไง?”
“คงไม่ว่างเท่าคุณชายหรอกมั้ง!
มีแค่มู่หรงเสวี่ยเท่านั้นแหละที่คุณจะหลอกได้ง่ายๆ” ช่วงสองวันที่ผ่านมาเขาไปสืบเรื่องของไป๋เสวี่ยหลี่กับชางกวนโม่และเจออะไรมากมาย
ไป๋เสวี่ยหลี่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาอย่างที่เห็น
“หลอกงั้นเหรอ?! ฉันไปหลอกเสี่ยวเสวี่ยตั้งแต่เมื่อไร?”
ชางกวนโม่ถามออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
“มีอะไรกันเหรอคะ? สองคนกำลังคุยอะไรกันอยู่คะ?”
ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะเดินเข้ามาและขัดการสนทนาของคนทั้งสอง
ชูอี้เสิ่นยิ้ม “กำลังพูดเรื่องฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมของเสี่ยวเสวี่ยอยู่น่ะ!พอท้องฉันได้กินอาหารของเธอ ฉันก็ไปกินข้างนอกไม่ได้อีกเลย!”
“ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ กินเถอะ!”
เธอตักโจ๊กให้ชูอี้เสิ่น
“อะแฮม!” ชางกวนโม่อดไม่ได้ที่จะขัดขึ้นมา
วิธีที่พวกเขามองกัน รอยยิ้มที่พวกเขายิ้มให้กันมันขัดลูกตาเขาจริงๆ
ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงโมโหไปแล้วแต่ตั้งแต่ที่ได้รู้จัก เสี่ยวเสวี่ย
อารมณ์ของเขาก็เย็นลงไปมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาไม่อยากเห็นสายตาที่เจ็บปวดของเสี่ยวเสวี่ยอีก
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? เมื่อคืนตากลมเย็นๆมากไปหรือเปล่า?”
มู่หรงเสวี่ยเป็นห่วงจึงเอามือมาแนบที่หน้าผากเขาเพื่อวัดอุณหภูมิ
ท่าทางของมู่หรงเสวี่ยในตอนนี้ทำให้เขาพอใจอย่างมากจนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ชูอี้เสิ่น
ชูอี้เสิ่นกลอกตา โรคจิตชัดๆ! แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น…มองไปที่ภาพอันโหดร้าย
ชัดเจนว่าสองคนนี้คืนดีกันแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลย…หัวใจที่เจ็บปวดของเขาแต่พูดออกมาไม่ได้
เขาเป็นห่วงว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องเจ็บปวดอีกและเขาก็กังวลเรื่องปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ของไป๋เสวี่ยหลี่ด้วย
ท่าทางเป็นห่วงของชูอี้เสิ่นกระตุ้นชางกวนโม่ หมายความว่าไง
เสี่ยวเสวี่ยมีเรื่องอะไรให้เขาต้องเป็นห่วง? เขาจะดูแลเสี่ยวเสวี่ยอย่างดี
ถ้าแต่ก่อนเขาเคยทำไม่ดีไว้ เขาก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เขาจะรักเธอมากขึ้นๆทุกวันจนกระทั่งไม่มีใครมาแย่งเธอไปได้
มู่หรงเสวี่ยดึงมือกลับ “ดูเหมือนว่าจะไม่มีไข้นะคะพี่โม่รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ชางกวนโม่จับมือซ้ายของเธอไว้
ความรู้สึกนุ่มและอ่อนโยนทำให้เขาหลงใหล
เขามองไปที่สายตาเป็นห่วงของเธอและหัวใจเขาก็วุ่นวาย
สิ่งที่คนอื่นคิดไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ตราบใดที่เสี่ยวเสวี่ยอยู่ข้างๆเขาแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ กินข้าวเถอะ
เดี๋ยวจะเย็นหมด…” เขาจูบเธอที่ริมฝีปากเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยมองให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็นอะไรจริงๆแล้วจึงนั่งลง
แต่ชูอี้เสิ่นที่มองท่าทางของพวกเขาอยู่
และรู้ว่าเพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่นชางกวนโม่ถึงได้เดินหน้าแบบนั้น
ชางกวนโม่ไอ้งี่เง่า!
ใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยแดงระเรื่อ
แล้วมองอย่างขอโทษไปที่ชูอี้เสิ่นอีกครั้ง เขาก้มหัวเล็กน้อยและกินข้าวต่อ
ชูอี้เสิ่นไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่ได้อ้าปากพูดอะไรอีก
ชางกวนโม่ไม่อยากจะสนใจศัตรูที่เขาเกลียด เขาเพียงแค่ตักผักให้เสี่ยวเสวี่ยบ้างเป็นบางครั้ง
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ
มู่หรงเสวี่ยกำลังจะเก็บถ้วยและตะเกียบแต่พร้อมกันนั้นมือทั้งสองก็ยื่นออกมาพร้อมกัน “ฉันช่วยเธอเก็บเอง!” ชางกวนโม่และชูอี้เสิ่นพูดออกมาพร้อมกัน
“ไม่ต้องค่ะ ฉันทำเองได้” มู่หรงเสวี่ยมองอย่างประหลาดใจและตอบออกไปเบาๆ
แค่ถ้วยกับตะเกียบไม่กี่อัน ทำไมต้องมาช่วยเธอด้วยล่ะ? ในชีวิตที่แล้วหลังจากที่เธอออกมาจากตระกูลมู่หรง
เธอต้องอยู่อย่างยากลำบาก ตอนนี้เธอจะไม่หยิ่งยโสเหมือนในชีวิตที่แล้ว
มันเป็นบทเรียน
“ใช่แล้ว ฉันไม่อยากรบกวนนายที่เป็น”แขก” หรอกนะ” ชางกวนโม่พูดเน้นคำว่าแขก
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกเสี่ยวเสวี่ยก็เหมือนครอบครัวฉัน ฉันมากินฝีมือเสี่ยวเสวี่ยบ่อยๆ ฉันยินดีช่วย”
ชูอี้เสิ่นพูดอวดกลับ
ชางกวนโม่พยายามที่จะปฏิเสธแต่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมาก่อน
เมื่อเขาเห็นชื่อที่หน้าจอ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“เสวี่ยหลี่ มีอะไร?”
มือของมู่หรงเสวี่ยที่กำลังล้างจานหยุดนิ่งและหัวใจเธอก็เกิดรู้สึกขมขื่นเล็กๆ
ตอนนี้ชื่อของไป๋เสวี่ยหลี่ราวกับเหมือนคำสาป
เสียงมีเสน่ห์ของไป๋เสวี่ยหลี่ดังออกมาจากโทรศัพท์ “พี่โม่ พี่หายไปไหน?! ฉันกลัวมากเลยพี่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนฉันทีได้ไหม…”
“พี่…ตอนนี้พี่อยู่ข้างนอกเดี๋ยวพี่จะกลับไปทีหลัง…” เขาอยากที่จะพูดว่าอยู่กับเสี่ยวเสวี่ย
ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าไป๋เสวี่ยหลี่มีท่าทางหวาดกลัว มู่หรงเสวี่ยจึงเปลี่ยนคำพูด
อย่างไรก็ตาม มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเจ็บเพราะการตอบของเขา
เธอเก็บเงียบและล้างจานต่อไป ในระหว่างที่ชูอี้เสิ่นก็ช่วยด้วย
ชางกวนโม่พูดขอโทษกับมู่หรงเสวี่ย
“เสี่ยวเสวี่ย…ฉันต้องกลับไปที่โรงพยาบาล…เธออยากจะไปกับฉันด้วยไหม?”
เมื่อเห็นท่าทางไม่สบายใจของเขา มู่หรงเสวี่ยเองก็ฝืนยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ คุณไปเถอะ ฉันไม่ไปหรอก เดาว่าเสวี่ยหลี่คงไม่อยากที่จะเห็นหน้าฉันเท่าไร…”
“เดี๋ยวฉันโทรหานะ!” แล้วเขาก็ออกไป
หลังจากที่ชางกวนโม่ไป มู่หรงเสวี่ยก็วางถ้วยและตะเกียบที่อยู่ในมือ
เธอเอนพิงไปที่เก้าอี้โดยไม่สนใจว่าชูอี้เสิ่นก็อยู่ด้วย ในอนาคตไป๋เสวี่ยหลี่ก็จะคอยโผล่มาในชีวิตของเธอกับชางกวนโม่เรื่อยๆ ถ้าเธอเลือกที่จะอยู่กับพี่โม่
ในอนาคตเหตุการณ์แบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก…ถึงแม้ตอนนี้พี่โม่จะไม่ได้คิดอะไรกับไป๋เสวี่ยหลี่
แต่เธอก็อดกังวลไม่ได้ว่าในชีวิตที่แล้วพวกเขาได้เป็นสามีภรรยากันและในชีวิตนี้พวกเขาก็มีความสัมพันธ์กัน
ความอิจฉาในใจเธอกำลังจะกลืนกินความสงบของเธอ
เธอสงบใจไม่ได้ถึงแม้เรื่องของพวกเขามันจะแค่เรื่องเข้าใจผิด แต่จะทำยังไง? ถ้าปล่อยเขาไป หัวใจเธอก็จะต้องเจ็บปวด
ชูอี้เสิ่นมองใบหน้าที่ซีดเผือดของมู่หรงเสวี่ยด้วยความปวดใจขนาดเขาที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าไป๋เสวี่ยหลี่พยายามที่จะแย่งชางกวนโม่ไป
นี่ไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกลึกๆของมู่หรงเสวี่ยเลย
แต่ชางกวนโม่ก็ยังออกไปแบบนี้โดยไม่มีแม้คำอธิบายใดๆ
เขารู้ว่าไป๋เสวี่ยหลี่รักเขาและเขาจะออกไปเจอ ไป๋เสวี่ย หลี่ด้วยความรู้สึกแบบไหน นี่เขาทำให้เสี่ยวเสวี่ยต้องอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกันพูดกันง่ายก็คือ ในสายตาเขาชางกวนโม่เป็นไอ้ทุเรศ
ชูอี้เสิ่นปฏิเสธความรู้สึกที่อยากจะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนและหันมาล้างจานต่อจนเสร็จ
มู่หรงเสวี่ยยังนิ่งอยู่ท่าเดิม เธอไม่ได้ร้องไห้แต่เขารู้สึกว่าหัวใจของมู่หรงเสวี่ยขมขื่นมากจนเกินที่เธอจะร้องไห้ได้
เขาเดินเข้ามาหาเธอและพูดอย่างเป็นห่วง “เสี่ยวเสวี่ยไปพักเถอะ…”
มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นและได้สติ เธอหัวเราะอย่างฝืนๆ “พี่ชู ขอโทษนะคะ…”
“ถ้าไม่อยากหัวเราะก็ไม่ต้องฝืนหรอก ถ้ารู้สึกปวดใจ…ร้องออกมาเถอะ…คิดซะว่าฉันเป็นหมอนก็ได้…” ชูอี้เสิ่นอดไม่ได้ที่จะจับไหลเธอและดึงหัวเธอเข้ามาที่หน้าอกเขา
เขาหวังว่าเสี่ยวเสวี่ยจะรักเขา เขาจะไม่มีวันทำให้เธอต้องเสียน้ำตา
ในตอนนี้
อ้อมกอดที่อบอุ่นทำให้อารมณ์ที่เก็บกดไว้ของมู่หรงเสวี่ยระเบิดออกมาและน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ท่วมออกมา
เธอร้องไห้อย่างเงียบๆแต่หยดน้ำตาอุ่นๆที่หน้าอกเขาแผดเผาเข้าไปถึงหัวใจเขาจนทำให้เขาปวดใจ
อย่างไรก็ตามเขาทำอะไรไม่ได้
ถ้าเขาพูดออกไปตอนนี้ก็กลัวว่าจะยิ่งทำให้เสี่ยวเสวี่ยลำบากใจและมันก็ไม่ช่วยอะไรด้วย
เขาทำได้เพียงเป็นกำลังใจและคอยช่วยเธออยู่เงียบๆ
หวังว่าสักวันเมื่อเธอหันกลับมาเธอจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
อย่างน้อยก็มีเขาอยู่เป็นเพื่อน