บทที่ 121
เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ-ปวดใจ
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย มู่หรงเสวี่ยที่กำลังอารมณ์ดีก็ขับรถตรงไปที่จินเสี่ยวหยวน ระหว่างทางเธอหันไปมองร้านอาหารคู่รักที่เพิ่งเห็นวันนี้แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้หัวใจของเธอเย็นวาบ
ที่ประตูของร้านอาหารคู่รัก ไป่เสวี่ยหลี่ที่กำลังกอดแขนชางกวนโม่และคุยหัวเราะกันอยู่ ทันใดนั้นไป่เสวี่ยหลี่ก็จูบที่แก้มของเขาอย่างมีความสุข หน้าของมู่หรงเสวี่ยขาวซีดและมือที่กำลังขับรถก็สั่นเล็กน้อย เธอหวังว่าตัวเองจะมองพลาดไปเองแต่เธอจะมองใบหน้าที่หล่อเหลาของชางกวนโม่และไป๋เสวี่ยหลี่ผิดไปได้ยังไง
ชางกวนโม่เพิ่งจะโทรหาเธอเมื่อกี้นี้เองบอกว่ายุ่งเรื่องงานอยู่ แต่งานของเขาคือการมาอยู่กับไป๋เสวี่ยหลี่งั้นเหรอ?!
มู่หรงเสวี่ยกัดปากแน่นและพยายามที่จะสงบอารมณ์ ตอนนี้จิตใจของเธอวุ่นวายไปหมด เธอไม่เคยคิดว่าชางกวนโม่จะทรยศเธอ ขนาดครั้งสุดท้ายที่พวกเขากอดกัน เธอก็ยังเชื่อทุกอย่างที่ชางกวนโม่พูดมา
รถของเธอขับเลยร้านอาหารคู่รักมานานแล้วแต่อารมณ์ของเธอก็ยังขึ้นๆลงๆ มือของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่กดโทรศัพท์หาชางกวนโม่ จนต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่เธอจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาได้ “ฮัลโหล มู่หรงเสวี่ย” ชางกวนโม่หันไปอีกข้างของเสวี่ยหลี่ ระหว่างที่รับโทรศัพท์
“พี่โม่ กินข้าวหรือยังคะ? ตอนนี้พี่อยู่ที่ไหน?” มู่หรงเสวี่ยพยายามที่จะทำเสียงให้เป็นปกติ แต่หัวใจของเธอกลับอ้อนวอนออกมา ตราบใดที่เขาพูดความจริง ตราบใดที่เขาบอกว่าอยู่กับ ไป๋เสวี่ยหลี่ เธอก็จะเชื่อเขา
บางทีเขาอาจจะบังเอิญถูกเสวี่ยหลี่ลากออกมา บางทีอาจจะเป็นเพราะเขากำลังจะออกมาหาอะไรกินแล้วเธอก็ตามมาเจอเขาก็ได้ ถึงมันจะเป็นร้านอาหารคู่รักแต่บางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้
“ฉันยุ่งอยู่ที่บริษัท มีเรื่องอะไรเหรอ?” ชางกวนโม่ตอบกลับมาเสียงเบา
ที่บริษัทงั้นเหรอ?! แล้วที่เธอเห็นเมื่อกี้มันอะไร?! เขาโกหกเธอ ทำไม ทำไมล่ะ?
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา เธอกดวางสายทันทีเพื่อไม่ให้เขาได้ยิน เธอไม่อยากให้เขาได้ยินเสียงเธอกำลังร้องไห้ ก่อนที่เธอจะไปถึงจินเสี่ยวหยวน มู่หรงเสวี่ยร้องไห้อย่างหนักมาแล้ว ในสภาพตอนนี้เธอไม่สามารถที่จะโทรหาใครได้ทั้งนั้น
เธอหยุดรถในที่จอดรถ ใช้เวลานานกว่าที่จะสงบใจได้ลง เธอกดโทรหาคุณปู่โม่
“หนูมู่หรง ทำไมยังมาไม่ถึงอีกล่ะ?”
“คุณปู่โม่ หนูขอโทษนะคะ…วันนี้หนูคงไปไม่ได้แล้ว…หนูจะแวะไปเยี่ยมใหม่วันหลังนะคะ…”
สีหน้าของโม่ฉางเฟิงจริงจังขึ้นมาทันที “หนูมู่หรงใครรังแกหนูหรือเปล่า บอกปู่มาได้เลยนะ เดี๋ยวปู่จะช่วยจัดการให้เอง…” เสียงแหบจากการร้องไห้ของมู่หรงเสวี่ยทำให้โม่ฉางเฟิงรู้ได้ทันที
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณปู่โม่ หนูขอโทษนะคะ…หื้อหื้อ…” มู่หรงเสวี่ยห้ามน้ำตาตัวเองไว้ไม่ได้จึงสะอื้นออกมา
“ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นหนูก็พักผ่อนเถอะนะ ถ้ามีอะไรให้ปู่ช่วยก็บอกมาได้เลยนะ…”
“สวัสดี…นะคะ…” หลังจากที่วางสายไปมู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้กับพวงมาลัย
โม่ฉางเฟิงแสดงสีหน้าเล็กน้อยและใช้ประโยชน์ตรงที่โม่หลิวเฟิงนั่งอยู่ข้างๆโดยการพูดออกไปว่า “หนูมู่หรงน่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง?! ถ้ามีเวลาก็แวะไปดูหน่อยนะ”
ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรมากและตอบเพียงเบาๆไปว่า “ทราบแล้วครับ!” แต่ความคิดกลับลอยไปหามู่หรงเสวี่ยแล้ว
เขาเห็นความคิดของหลานชายตัวเองอย่างชัดเจน วันนี้ที่เรียกเสี่ยวเสวี่ยมาก็เพราะอยากที่จะจับคู่ เป็นเพราะว่าหลานชายของเขาฉลาดในทุกๆเรื่องของชีวิต แต่ทำไมถึงได้ชักช้าในเรื่องความรู้สึกของตัวเองอย่างนี้นะ? เขาไม่ยอมเริ่มต้นซะที เสี่ยวเสวี่ยเป็นเด็กดี ถ้าเขาไม่เริ่มอีกไม่นานจะต้องโดนคนอื่นแย่งไปก่อนแน่ๆ ไม่บ่อยนักที่เขาจะเจอเด็กสาวที่เขาทั้งคู่พอใจตรงกัน แต่เขาก็ไม่เห็นการพัฒนาขึ้นเลย แบบนั้นตาแก่อย่างเขาคงจะตายเพราะความกังวลไปซะก่อน
ชางกวนโม่นึกถึงวินาทีที่มู่หรงเสวี่ยตัดสายไปอย่างกังวลแล้วเขาก็พยายามโทรกลับไปแต่เธอไม่รับสาย จนสุดท้ายก็ปิดเครื่องไปดื้อๆ ทันใดนั้นชางกวนโม่ก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที สีหน้าเปลี่ยน “เธอกินคนเดียวไปก่อนนะ พี่มีอย่างอื่นที่จะต้องทำ” เขาบอกออกไปว่าอยากที่จะกลับแล้ว
ไป่เสวี่ยหลี่จับมือเขาไว้และพูดออกมาว่า “พี่โม่ ลืมที่สัญญากับฉันไว้แล้วเหรอ?” พร้อมกับเอามือลูบที่ท้อง
ช่วงเวลานั้นสีหน้าของชางกวนโม่ก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงและค่อยๆทรุดตัวนั่งลง เขามองไปที่ไป๋เสวี่ยหลี่ด้วยสายตาซับซ้อน
ไป่เสวี่ยหลี่เอียงคอและพูดออกมาว่า “พี่โม่ อย่ามองฉันแบบนั้นสิ นี่เป็นประสงค์ของพระเจ้านะ…” เธอเองก็รู้สึกแย่ ทุกครั้งที่เธอเห็นพี่โม่ทำตัวไม่เหมือนเดิมกับเธอก็เพราะมู่หรงเสวี่ยทำให้เธอรู้สึกเสียใจอย่างมาก เวลาที่เธอเห็นพี่โม่ทำท่ารังเกียจเธอ หัวใจเธอเหมือนจะแตกสลาย
แต่เธอจะทำยังไงได้? ถ้าไม่ทำแบบนี้เธอก็จะต้องเสียพี่โม่ไปตลอดกาล เธอยอมอยู่ทรมานด้วยกันดีกว่าให้พี่โม่ไปอยู่ข้างคนอื่น และแบบนั้นก็จะไม่มีที่สำหรับเธออีกต่อไป
มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะกลับไปที่วิลล่า เธอกลัวว่าจะเจอชางกวนโม่ที่ประตูวิลล่า ในเวลานี้เธอไม่อยากที่จะเจอเขา เพราะถ้าได้เจอเธอจะต้องแย่ลงไปซ้ำแล้วซ้าอีกแน่ๆ
เวลาผ่านไปนานจนเธอโทรหาพี่ชู
“ฮัลโหล พี่ชู…หื้อหื้อ…ฉันขอไปค้างด้วยได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยพูดออกไปพร้อมเสียงร้องไห้
สีหน้าของชูอี้เสิ่นเปลี่ยนไปทันที นึกถึงภาพของ ชางกวนโม่และไป่เสวี่ยหลี่ที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืน “มู่หรงเสวี่ย เธออยู่ที่ไหน? ฉันจะไปหาเธอ”
ดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาของมู่หรงเสวี่ยมองไปที่ภาพด้านนอกหน้าต่างรถ “ฉันอยู่ในที่จอดรถของสวนจิงเหอ…”
“อย่าไปไหนนะ ฉันจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้…”
ไม่นานหลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็ได้ยินเสียงเคาะที่หน้าต่างรถ มู่หรงเสวี่ยเปิดประตูและพุ่งเข้าหาชูอี้เสิ่น “พี่ชู…”
ชูอี้เสิ่นกอดเธอด้วยความรักแล้วจึงพามู่หรงขึ้นไปนั่งในรถของเขา ส่วนรถของมู่หรงเสวี่ยเขาโทรเรียกคนให้มาขับกลับไปแล้ว ชูอี้เสิ่นพามู่หรงเสวี่ยไปที่วิลล่าส่วนตัวของเขา ชูอี้เสิ่นไม่อยากที่จะกลับไปทำงานเพราะเธอผ่านไปที่ร้านอาหารมา ตอนนี้เสี่ยวเสวี่ยน่าจะรู้เรื่องแล้ว
เขาอยากที่จะค่อยเป็นค่อยไปแล้วค่อยบอกความจริงกับมู่หรงเสวี่ย เขาไม่คิดว่าเธอจะรู้เรื่องเร็วขนาดนี้ เขาเห็นเสี่ยวเสวี่ยที่ร้องไห้ราวกับเด็กที่อยู่ตรงหน้าเขาและหัวใจเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก เขาไม่ยอมปล่อยเธอเลยหลังจากที่อุ้มเธอเข้ามาในวิลล่า เขากอดเธอไว้แน่น
“เสี่ยวเสวี่ย อย่าร้องเลย…” ชูอี้เสิ่นจูบลงไปที่หัวเธอด้วยความรัก
“พี่ชู เขาโกหกฉัน…หื้อหื้อ…ความจริงพวกเขาไปอยู่ด้วยกันอีกแล้ว…” สมองของเธอฉายภาพที่เธอเห็นที่ร้านอาหารคู่รักซ้ำอย่างชัดเจน ไป๋เสวี่ยหลี่จูบเขาซึ่งเป็นการกระทำที่คู่รักควรจะทำกัน สิ่งที่ทำให้เธอเสียใจมากที่สุดคือชางกวนโม่ไม่ได้ผลักเธอออก
“เสี่ยวเสวี่ย อย่าร้องเลยนะ เขาไม่ต้องการเธอแต่พี่ชูต้องการเธอนะ…”
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ฟังสิ่งที่ชูอี้เสิ่นพูดแต่ร้องไห้ต่ออย่างหนัก ในหัวใจที่รู้สึกเจ็บปวดก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาด้วย ไม่รู้ว่าจะมองหน้ากันยังไง
เธอจะต้องทำยังไงถ้าเจอชางกวนโม่?! เธอควรจะถามเขาไหม?! แล้วถ้าเขาตอบเธอมาล่ะ?! ถ้าเขาสารภาพมาว่าอยู่กับเสวี่ยหลี่ เธอนึกภาพความรู้สึกที่จะต้องสูญเสียอีกแทบไม่ออก
ชางกวนโม่แทบจะเป็นบ้า เขาหาเสี่ยวเสวี่ยไม่เจอ เธอปิดโทรศัพท์และก็ไม่อยู่ที่วิลล่าด้วย วันนี้หลังจากที่ทนนั่งกินข้าวกับไป๋เสวี่ยหลี่จนเสร็จ แล้วเขาก็รีบตรงไปที่วิลล่าของมู่หรงเสวี่ยทันทีแต่ก็ไม่มีใครอยู่
มุ่หรงเสวี่ยอยู่ที่วิลล่าของชูอี้เสิ่นสองวัน ในสองวันที่ผ่านมาเธอไม่ได้ทำอะไรเลย เธอแทบจะไม่กินอะไรเลยด้วยซ้ำ พอกินเข้าไปเธอก็จะอ้วกออกมา
ชูอี้เสิ่นเป็นห่วงอย่างมาก สภาพของเสี่ยวเสวี่ยราวกับว่าเธอยอมแพ้กับตัวเองแล้ว แม้แต่หลังจากที่กินข้าวเข้าไปสองสามคำใหญ่อย่างที่เขาบอกแต่แล้วเธอก็ต้องอ้วกออกมา เธอหัวใจสลายและไม่อยากอาหารเลยสักนิด
ในตอนนี้ใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยซูบตอบลงมาก ดวงตาก็ว่างเปล่าและสีหน้าก็ซีดเผือด ถึงแม้เธอจะไม่ได้ร้องไห้แต่เขาก็กลัวว่าเธอจะเลือดตกอยู่ข้างในหัวใจ
หลายวันที่ผ่านมาเธอไม่ได้เปิดโทรศัพท์เลย อาจจะเป็นเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นยังไงจึงเลือกที่จะหนี
ชูอี้เสิ่นกลับมาเจอมู่หรงเสวี่ยกำลังนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียง เขาเดินเข้าไปและค่อยๆพยุงเธอขึ้นมา เขากลัวว่าถ้าทำแรงไปอาจจะทำให้เธอเจ็บได้ ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยผอมลงไปมากอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาพยุงเธอขึ้นมาโดยแทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรเลย
อ้อมกอดของเขาในตอนนี้ดูคลุมเครือ เขารู้สึกปวดใจและเพียงแค่อยากที่จะปลอบเธอ เขาคิดเรื่องนี้อยู่สักพักแล้วจึงเริ่มพูดถึงเรื่องวันนี้ “เสี่ยวเสวี่ย วันนี้ชางกวนโม่แวะมาหาฉันด้วยนะ…”
เมื่อได้ยินชื่อของชางกวนโม่ ร่างของมู่หรงเสวี่ยก็สั่นและสีหน้าก็กลายเป็นซีดเผือดกว่าเดิม
เวลาผ่านไปนานกว่าที่ชูอี้เสิ่นจะพูดต่อ “เขามาถามฉันเรื่องเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นกังวลมากเลย…” สภาพของ เสี่ยวเสวี่ยแย่มาก สภาพร่างกายก็แย่ดังนั้นเธอจึงหนีต่อไปไม่ได้แล้ว อาการทางหัวใจของเธอจำเป็นที่จะต้องได้รับยารักษา ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไงแต่เธอก็ต้องเผชิญกับมันอยู่ดี
มู่หรงเสวี่ยอ้าปากแต่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา
“เสี่ยวเสวี่ย ไปเจอเขาเถอะ ถ้าเธอกลัวจะให้ฉันไปเป็นเพื่อนด้วยไหม?”
มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปาก เธอรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะหนีแต่สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือการได้ยินความจริงที่เธอไม่อยากที่จะรู้ เธอก้มหัวและไม่พูดอะไร
ชูอี้เสิ่นถอนหายใจเบาๆ “ชางกวนโม่เป็นคนดีจริงๆงั้นเหรอ?” นี่เหมือนเป็นการถามมู่หรงเสวี่ยและถามตัวเขาเองด้วย
ชางกวนโม่อาจจะไม่ได้ดีที่สุดแต่ในตอนนี้เขาก็เป็นคนที่พิเศษที่สุดสำหรับหัวใจของเธอ ดูเหมือนว่าในหัวใจเธอมีเขาอยู่เต็มไปหมด การสูญเสียชางกวนโม่ก็เหมือนกับกระชากหัวใจเธอออกมา
“ฉันต้มโจ๊กไว้ ไม่ว่าเธอจะกินมากน้อยแค่ไหนแต่ถ้าเธอยังไม่กินอยู่แบบนี้ ฉันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกแม่เธอ…”
มู่หรงเสวี่ยตกใจ “อย่านะ อย่าบอกแม่ฉันนะ…”
ชูอี้เสิ่นยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เธอ “งั้นเธอก็ต้องดูแลตัวเองก่อน โอเคไหม?”