บทที่ 122
อะไรคือเหตุผลที่ไม่ยอมบอก
“ฉันจะกิน…อย่าบอกแม่ฉันนะ…” มู่หรงเสวี่ยรีบจับมือ ชูอี้เสิ่นอย่างอ้อนวอน เธอแค่ไม่อยากให้แม่เห็นเธอในสภาพนี้
ชูอี้เสิ่นยืดไหล่เธอขึ้น “เสี่ยวเสวี่ย เธอมองฉันนะ!”
มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าและมองไปที่ชูอี้เสิ่นเพียงเพื่อจะเจอว่าใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาซีดเซียดลงเล็กน้อยและที่คางก็มีรอยหนวดขึ้นเขียวๆดำๆ หัวใจของเธอถึงกับช็อก พี่ชู เขา…ช่วงสองวันที่ผ่านมาเธอมัวแต่จมอยู่กับความเศร้าของตัวเอง จนไม่ได้สนใจเขาเลย
“เสี่ยวเสวี่ย ชีวิตยังอีกยาวไกลและความรักก็ไม่สิ่งเดียว…อีกอย่างตอนนี้เธอก็ยังไม่แน่ใจ แล้วทำไมไม่ถามให้ชัดเจนไปเลยล่ะ…ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไง ฉันจะคอยอยู่ข้างๆเธอเอง…เธอได้ดูกระจกบ้างหรือเปล่าว่านี่ใช่มู่หรงเสวี่ยหรือเปล่า?” ชูอี้เสิ่นพาเธอเดินไปที่กระจก
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ร่างในกระจก ภาพในกระจกผมเผ้าเธอยุ่งเหยิง เธอกำลังอยู่ในชุดนอน สีหน้าก็ซีดเป็นกระดาษและดวงตาเธอก็ว่างเปล่า…นี่ราวกับว่าเธอกำลังซ้อนทับตัวเองกับตัวเธอในชีวิตที่แล้วเลย
เวลาผ่านไปนานกว่าที่เธอจะได้สติกลับคืนมาและมองไปที่สายตาเป็นกังวลของชูอี้เสิ่นในกระจก หัวใจของเธอสั่นอีกครั้ง นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? เธอจะได้อะไรจากการทรมานตัวเองแบบนี้ล่ะ?! ตรงกันข้ามคนที่เป็นห่วงเธอต่างก็ต้องมากังวลมากขึ้นว่าสีหน้าเธอในกระจกจะซีดเผือดมากแค่ไหน ตอนที่กลับมาเกิดใหม่ เธอคิดไว้กับตัวเองแล้วว่าจะไม่ซ้ำรอยเดิมในชีวิตที่แล้วอีก
“พี่ชู ขอบคุณนะคะ ฉันเข้าใจแล้ว” มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มให้ชูอี้เสิ่น ถึงแม้จะยังซีดๆแต่ในที่สุดก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย
ชูอี้เสิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอก เผยรอยยิ้มเช่นกันและแตะที่หัวเล็กๆของเธอ “ไปกันเถอะ ลงไปกินข้าวกัน…”
“ได้ค่ะ…”
ชูอี้เสิ่นดีใจที่ได้เห็นว่าเสี่ยวเสวี่ยกินข้าวไปตั้งสองถ้วย หลังจากนั้นเธอก็ยังอยากที่จะกินอีกแต่เขาไม่ยอมให้กิน ถ้าเธอไม่ได้กินอะไรเลยมาสองวัน ท้องของเธอคงยังไม่พร้อมที่จะรับอะไรเยอะๆ ตราบใดที่เธอสดใสขึ้น เธอก็จะสามารถรับเรื่องต่างๆได้ สองวันที่ผ่านมานี้ เขามองเธอที่ราวกับเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิตที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้ เขาเป็นห่วงจริงๆ ถึงขนาดไม่มีอารมณ์ไปทำงานเลยด้วยซ้ำ
ชางกวนโม่เองก็แวะมาหาเขาหลายครั้งแต่เขาไม่ได้สนใจ เขาจะยอมบอกเรื่องอาการของเสี่ยวเสวี่ยง่ายๆได้ยังไงล่ะ? อีกอย่างอาการของเสี่ยวเสวี่ยเองก็ไม่ค่อยดีด้วย แล้วมู่หรงเสวี่ยจะไปเจอหน้าเขาได้ยังไง…แต่เมื่อเขามองไปที่กวนโม่ก็รู้สึกว่าเขาเสียใจอย่างมาก ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมถึงทำกับเสี่ยวเสวี่ยแบบนี้ล่ะ? เขาคิดไม่ออกจริงๆ
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็กลับเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดในห้อง ชูอี้เสิ่นซื้อชุดนี้มาให้เธอ เธอมาที่นี่ตัวเปล่า หลังจากที่คิดเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่ชุดชั้นในพี่ชูก็ยังต้องเป็นคนไปซื้อมาให้เธอเลย เธอไม่กล้านึกภาพเลยว่าพี่ชูซื้อกลับมาได้ยังไง ทั้งหมดก็เป็นเพราะเธอไม่ดีเอง เธอตั้งใจสร้างปัญหามากมายให้คนอื่น อย่างไรก็ตามเธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกห่วงใยอย่างลึกซึ้งของพี่ชู เธอช่างโชคดีจริงๆที่มีเพื่อนอย่างพี่ชู
เธอทาปากด้วยลิปกรอสเล็กน้อยและตอนนี้เธอไม่ได้ดูซีดเหมือนเมื่อกี้แล้ว เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดเครื่อง และทันทีที่เปิดก็มีข้อความมากมายนับไม่ถ้วนเด้งขึ้นมา
“มู่หรงเสวี่ย เธออยู่ที่ไหน?”
“เสี่ยวเสวี่ย ทำไมเธอถึงปิดโทรศัพท์?”
“เสี่ยวเสวี่ย กลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันเป็นห่วงเธอนะ ถ้าเห็นข้อความแล้วช่วยตอบฉันด้วย…”
“…”
เขายังแคร์เธออยู่ ถ้าเขาไม่แคร์งั้นจะส่งข้อความเป็นร้อยมาหาเธอทำไม เธอกดเบอร์โทรที่คุ้นเคยและปลายสายก็รีบกดรับภายในเสี่ยววินาที
“ฮัลโหล เสี่ยวเสวี่ย เธออยู่ที่ไหน?” น้ำเสียงเป็นกังวลอย่างมากตอบกลับมา
“ไปเจอกันที่วิลล่าของฉัน ไปคุยกันที่นั่น ฉันมีเรื่องที่จะถามคุณ…” มู่หรงเสวี่ยพูดออกไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ถ้าเขาแคร์เธอเขาจะมาแต่ถ้าไม่ก็แปลว่าเขาไม่ใช่ของเธอ
“ได้…” ชางกวนโม่รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่ในใจ อันที่จริงตั้งแต่วันนั้นตอนที่เขาบอกเสี่ยวเสวี่ยว่าอยู่ที่บริษัท เขาก็รู้สึกไม่ดีอย่างมาก เสี่ยวเสวี่ยคงจะไม่รู้เรื่องนี้
ตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้นอนมาสองวันแล้วและเสี่ยวเสวี่ยก็ไม่ได้กลับมาที่วิลล่าเลย ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเธออยู่ที่บ้านของ ชูอี้เสิ่นเพราะให้คนมาเช็ก แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้ตระกูลชูจะเทียบอะไรไม่ได้กับตระกูลชางกวน แต่ก็ประมาทไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเสี่ยวเสวี่ยไปที่นั่นด้วยความสมัครใจเอง
เขานวดหน้าผากที่กำลังปวด หยิบกุญแจรถและรีบขับรถมาที่วิลล่าของมู่หรงเสวี่ย หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กดกริ่งที่หน้าประตู ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยกำลังรอเขาอยู่ในวิลล่า กริ่งดังขึ้นแต่เธอก็ยังคิดอยู่ หัวใจของเธอเริ่มที่จะเต้นรัวและมือก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความกังวล
เธอเดินไปเปิดประตูและไม่นานเธอก็เจอกับชางกวนโม่ พวกเขายืนจ้องหน้ากันและกันอยู่นาน
หลังจากหลายวันที่ไม่ได้เจอหน้ากัน มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าเขาผอมลงอีกแล้ว ใต้ตาก็มีรอยคล้ำ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ “เข้ามาก่อนสิ!”
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันที่โซฟา
“เธอ…”
“คุณ…”
“เธอพูดก่อน!”
“คุณพูดก่อน!”
พร้อมกันนั้นทั้งสองต่างก็มีความกังวลที่เหมือนๆกัน หลังจากที่เงียบกันไปสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็พูดออกมา “ทำไมคุณถึงนอกใจฉัน พี่โม่?” สายตาเธอจ้องตรงไปที่ชางกวนโม่ ไม่อยากที่จะพลาดอะไรเลยสักนิด
ชางกวนโม่ประหลาดใจและความตื่นตระหนกก็ปรากฏบนสีหน้า “มู่หรงเสวี่ย ฟังฉันอธิบายก่อนนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่รู้เลยว่าทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้…อย่าทิ้งฉันไปนะ โอเคไหม?” เขาเดินเข้ามาและกอดมู่หรงไว้แน่น
“ไม่ได้ตั้งใจอะไร?! วันนั้นฉันเห็นคุณที่นอกร้านอาหารคู่รักและเธอจูบคุณ…” มู่หรงเสวี่ยถาม
ชางกวนโม่ตกใจแล้วพูดออกไปด้วยความประหลาดใจ “เธอหมายถึงเรื่องนี้เอง!”
มู่หรงเสวี่ยตกใจ “คุณคิดว่าเรื่องอื่น…” แล้วเธอก็เห็นสีหน้ามีความสุขของเขาและสีหน้าเธอก็เปลี่ยนไป “พี่โม่ คุณคบกับไป๋เสวี่ยหลี่หรือเปล่า?! คุณอยากที่จะมีความสุขกับผู้หญิงพร้อมกันสองคนเลยงั้นเหรอ?” มันเจ็บปวดที่ต้องคิดเรื่องนี้และคิดว่าเขาอาจจะทำกับเธอเหมือนที่ทำกับไป๋เสวี่ยหลี่ น้ำตาเธออดไม่ได้ที่จะไหลลงมา
“อย่าร้องนะมู่หรงเสวี่ย เธอคิดแบบนั้นได้ยังไง ฉันมีเธอคนเดียวก็พอแล้ว…” เขาค่อยจูบลงที่น้ำตาที่หน้าของเธอ ลิ้มรสชาติแห่งความขมขื่น
“คุณหลอกฉัน เห็นๆอยู่ว่าคุณอยู่กับไป๋เสวี่ยหลี่แต่ยังมีหน้ามาบอกฉันว่ากำลังทำงานอยู่อีก…” มู่หรงเสวี่ยขัดขืนอยู่ในอ้อมแขนเขา เธอรู้สึกอึดอัด อ้อมกอดนี้ที่เธอหลงใหลเคยกอดผู้หญิงอื่นมาก่อน
“เสี่ยวเสวี่ย ฉันพูดจริงๆนะเธอไม่เชื่อฉันเหรอ?! ฉันรักเพียงแค่เธอ…” เขากอดเธอแน่นขึ้นโดยไม่สนใจการขัดขืนของเธอ เขาต้องการเพียงแค่เธอ…เขาจะทำยังไงถ้าไม่มีเธอ
“ความรักของคุณก็โอบกอดผู้หญิงคนอื่นด้วยเหมือนกันใช่ไหม?! คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง…ปล่อยฉันนะ”
“ไม่มีวัน ฉันไม่มีวันปล่อยเธอไปชั่วชีวิตฉัน…”
หลังจากที่พูดมาตั้งมากมาย เขาก็ยังไม่อธิบายว่าทำไมวันนั้นถึงอยู่กับไป๋เสวี่ยหลี่ เธอไม่ได้โง่ ถ้าเป็นแค่พี่น้องธรรมดากินข้าวกัน แล้วทำไมพวกเขาถึงสนิทสนมกันขนาดนั้นล่ะ? ถ้าพวกเขาแค่ไปกินข้าวด้วยกันธรรมดาแล้วทำไมเขาต้องโกหกเธอด้วยล่ะ
“งั้นฉันจะยอมให้คุณไปอยู่กับไป๋เสวี่ยหลี่ คุณจะชอบไหมล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยหยุดขัดขืนและถามออกมา
ชางกวนโม่หลบตาเธอ ก้มหัวเล็กน้อยอยู่เป็นเวลานาน
อีกครั้งที่น้ำตาของมู่หรงไหลออกมา “คุณไม่ต้องการงั้นเหรอ?! คุณไปเถอะ เราจบกัน…” เมื่อเธอพูดแบบนั้น เธอรู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังจะแตกสลาย
“เลิกกันงั้นเหรอ?! ทำไมเธอถึงอยากที่จะไปจากฉันตลอดเลย! ฉันไม่สำคัญกับหัวใจเธอบ้างเลยเหรอ?”
“คุณเป็นคนที่ทรยศความรู้สึกของพวกเราก่อน คุณไปกอดผู้หญิงคนอื่นแล้วยังจะให้ฉันเชื่อคุณได้ยังไง สิ่งที่ฉันเห็นด้วยตาตัวเอง แล้วคุณจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง พูดมาสิ!” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปเสียงดัง
“ฉันขอพูดจากก้นบึ้งหัวใจ ฉันรักเพียงแค่เธอเท่านั้น…” ชางกวนโม่พูดออกไปอย่างหมดสภาพ เขารู้ว่าเหตุผลของตัวเองมันเบามากแต่เขาพูดเหตุผลที่แท้จริงไม่ได้ ไม่งั้นเขาจะต้องเสียเธอไปทันที
มู่หรงเสวี่ยร้องไห้เงียบๆ เธอคิดว่าถึงแม้ครั้งที่แล้วเขาจะโกหกแต่อย่างน้อยเธอก็ขอให้เขาอธิบายแต่เขากลับไม่มีคำอธิบาย เธอเชื่อเขาไม่ได้จริงๆ ในเมื่อต้นแห่งความสงสัยมันเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาก็คงกลับไปเข้ากันได้ดีเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ อย่างน้อยเธอก็ทำไม่ได้
“อย่าทิ้งฉันไปนะมู่หรง…”
“ฉันแค่เกลียดเธอ ฉันเกลียดที่พวกคุณอยู่ด้วยกัน ฉันยอมรับไม่ได้…คุณไปเถอะ…เราอาจจะไม่ควรคบกันตั้งแต่แรกแล้ว…”
“ขอเวลาฉันอีกหน่อยนะ ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง โอเคไหม ได้โปรดอย่าพูดคำที่โหดร้ายแบบนั้นเลย…” ชางกวนโม่กอดเธอไว้
“คุณเคยนึกถึงความรู้สึกฉันบ้างหรือเปล่า? ครั้งที่แล้วคุณก็บอกว่าคุณจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว คุณพูดแบบนั้น…หัวใจฉันไม่ได้ทำจากเหล็กนะ มันเจ็บเป็นนะ มันถูกควบคุมไม่ได้ด้วย…คุณไปซะ ปัญหาของพวกเราไม่มีวันแก้ได้หรอก ตราบใดที่ไป๋เสวี่ยหลี่ยังอยู่ เราก็แก้ไม่ได้หรอก…” ในความคิดของเธอ เขาไม่มีวันทิ้งเสวี่ยหลี่ ถ้ามันเป็นแบบนั้นพวกเขาก็มีแต่จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นๆ มันคงจะดีกับเธอมากกว่าถ้าปล่อยเขาไปซะตั้งแต่ตอนนี้
เพราะแบบนี้เธอเลยอยากที่จะไปจากเขางั้นเหรอ?! แล้วทุกอย่างที่เขาพยายามปกปิดมาตลอดจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? เธอไม่ได้รักเขา ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยพอใจ เธอยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงในเมื่อเขารักเธอมากขนาดนี้
ดวงตาของชางกวนโม่แดงระเรื่อและหัวที่ไม่ได้นอนมาสองวันก็รู้สึกปวดอย่างมาก สีหน้าเย็นชาบนใบหน้าเขาเริ่มที่จะน่ากลัว มู่หรงเสวี่ยตกใจและถอยหลัง การทำแบบนี้ทำให้ ชางกวนโม่เสียสติในทันทีและลากเธอมา
“เธอไม่อยากทิ้งฉันไปหรอก ตามฉันมา!” มู่หรงเสวี่ยถูกลากออกไป
มู่หรงเสวี่ยนึกถึงความโกรธของเขาครั้งที่แล้ว เธอพยายามดิ้น ดวงตาแวบความหวาดกลัว “คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ…” เธอขัดขืนอย่างสิ้นหวัง
ชางกวนโม่จับแขนทั้งสองข้างของเธอไว้ ผลักเธอเข้าไปในรถ คาดเข็มขัดให้เธอและขึ้นรถตามไป มู่หรงเสวี่ยถอดเข็มขัดนิรภัยและกำลังที่จะออกจากรถ แต่ชางกวนโม่ที่ขึ้นมาบนรถแล้วก็คว้าเธอไว้ได้ทัน หลังจากที่คาดเข็มขัดให้เธออีกครั้งแล้ว เขาก็เอาเข็มขัดมามัดมือของมู่หรงเสวี่ยไว้ แล้วจึงขับออกไปด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
มู่หรงเสวี่ยเบิกตากว้าง ไม่อยากที่จะเชื่อว่าเขาจะทำกับเธอแบบนี้
“ชางกวนโม่ คุณบ้าไปแล้วหรือไง?! ถึงได้มัดฉันไว้แบบนี้…” ในตอนนี้ความโกรธในหัวใจครอบคลุมหัวใจที่เจ็บปวด เขาเอาตัวเธอมาทำไม? เธอเป็นสัตว์เลี้ยงหรือไง?! เธอรู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างที่สุด ในชีวิตที่แล้วฟางฉีฮัวก็เคยมัดเธอไว้ในห้องใต้ดินแล้วส่งตัวเธอให้เสี่ยวเข่อลี่ทรมานเล่น ครั้งนี้เขาจะเอาเธอไปให้ไป๋เสวี่ยหลี่หรือไง?! ช่างเป็นตอนจบที่น่าขำจริงๆ เธอเริ่มที่จะหัวเราะ หัวเราะไปร้องไห้ไปแต่เธอก็ยังหัวเราะต่อ
ชางกวนโม่เหล่มาที่เธอ “บ้าไปแล้วหรือไง?! เธอหัวเราะอะไร?” เขาน่าขำหรือไง?!! หรือความรู้สึกของพวกเขามันต่ำต้อยจนทำให้เธอต้องหัวเราะออกมา
“ฉันหัวเราะให้ความตาบอดของตัวเองและฉันเชื่อคุณไม่ลง…”
“เธอหมายความว่าไง?” ชางกวนโม่พยายามที่จะลดความโกรธในหัวใจตัวเอง
“ความหมายมันก็เห็นอยู่ชัดๆ…” หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบเธอก็ไม่อยากที่จะเห็นเขาอีกจึงหลับตาลง
“บ้าจริง เธอพูดมาให้ชัดๆสิ…” นี่เธอเสียใจที่ชอบเขางั้นเหรอ?!
มู่หรงเสวี่ยปิดปากเงียบ ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร มันก็ไม่มีประโยชน์
ชางกวนโม่เร่งรถตลอดทางไปที่วิลล่าของตัวเองแล้วจึงพามู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในรถไปที่ห้องแล้วจึงแก้มัดมือเธอ ตั้งแต่ต้นจนจบมู่หรงเสวี่ยไม่พูดอะไรสักคำและถึงขนาดไม่มองเขาด้วยซ้ำ
ชางกวนโม่มองเธออยู่นานแล้วจึงพูดออกมา “เธอไม่น่าพูดว่าอยากจะไปจากฉันเลย…เธอต้องอยู่ที่นี่และพักให้สบาย…” แล้วเขาก็เดินออกไป วินาทีต่อมาเขาก็กลับเข้ามาและให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดห้อง
“เก็บทุกอย่างที่เป็นแก้วและของมีคมออกไปให้หมด…” ชางกวนโม่สั่ง เขานึกถึงครั้งที่แล้วที่มู่หรงกรีดข้อมือตัวเอง เขากลัวว่าเธอจะทำเหมือนครั้งที่แล้วอีก
มู่หรงเสวี่ยมองเรื่องทั้งหมดอย่างเย็นชาและหัวใจเธอก็เต็มไปด้วยความเศร้าอย่างไม่สิ้นสุด ชางกวนโม่อยากที่จะขังเธอและเก็บเธอไว้กับเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนผิดตั้งแต่แรกแต่ก็ยังไม่ยอมอธิบายอะไรให้เธอเข้าใจ เขาถึงขนาดขังเธอไว้ในห้องนี้เหมือนกับสัตว์เลี้ยง เขาไม่ทำแบบนี้กับคนรัก บางทีที่เขาทำแบบนี้ก็อาจจะเพราะอยู่ดีๆก็มีคนที่ไม่เชื่อฟังเขา เขาจึงอยากที่จะเอาชนะไม่ใช่เพราะความรักก็ได้