บทที่ 129
สติปัญญาเท่าเด็ก 5 ขวบเท่านั้น
เช้าวันต่อมา มู่หรงเสวี่ยตื่นขึ้นมาแล้วก็นึกได้ถึงชายแปลกหน้าในวิลล่าของเธอ จึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วจึงรีบลงบันไดไปข้างล่าง
อย่างไรก็ตามชายที่เธอให้นอนที่โซฟาในห้องนั่งเล่นเมื่อคืนตอนนี้เหลือเพียงผ้าห่มที่ยับๆ มู่หรงเสวี่ยมองไปรอบๆและเห็นเขาอยู่ที่มุม
ในตอนนี้เขากำลังขดตัวอยู่ที่มุม ตัวสั่นและดูเหมือนจะกลัว มู่หรงเสวี่ยค่อยเดินเข้าไปอย่างระวังและกระซิบพูด “นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่สวยงามสะท้อนไปด้วยความกลัว ดวงตาเขาเบิกกว้าง หลังจากที่เห็นมู่หรงเสวี่ย เขาก็กระโดดขึ้นและพูดออกมาว่า “พี่สาว ผมกลัวมากเลย อย่าทิ้งเสี่ยวอี้ไว้คนเดียวนะ…” ชายหนุ่มตอนนี้เหมือนกับลูกสัตว์เกิดใหม่ที่นั่งซบอยู่กับอกของมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยตกใจอย่างมาก นี่เหมือนสถานการณ์ของลูกแกะกับหมาป่าบ้ากามเลย เขากล้าที่จะพุงเข้ามาที่หน้าอกเธอ…เธอผลักเขาออกอย่างแรง “นายจะทำอะไรเนี่ย?! ไอ้โรคจิต”
ชายหนุ่มที่ถูกผลักล้มลงไปกับพื้น ดวงตาคู่นั้นแสดงออกถึงความคับข้องใจ สับสน ไม่นานหยดน้ำตาก็ไหลออกมา “พี่สาว…ฮือฮือ…ผมจะเป็นเด็กดี…พี่สาว อย่าไล่ผมไปไหนนะ…”
ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้าง ชายคนนี้กำลังหลอกหรือเปล่า? ตอนที่เธอเจอเขาวันนั้น เขาไม่ได้เป็นแบบนี้เลยนี่น่า…แล้วเธอก็หันหน้าไปดูผ้าพันแผลที่หัวเขาอีกครั้ง หรือจะเป็นเพราะการกระแทกอย่างแรงทำให้หัวเขาได้รับความเสียหาย?!
ไม่นะ นี่เธอเอาปัญหาใหญ่กลับมาบ้านด้วยเหรอเนี่ย ชายหนุ่มยังคงร้องไห้ ใบหน้าที่หล่อเหลา ในตอนนี้ดูราวกับเด็กห้าขวบทั่วไปที่กำลังร้องไห้ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกทนไม่ได้ ทำได้เพียงแตะไปที่หัวเขาอย่างปลอบใจ “ไม่ต้องร้องนะ พี่สาวไม่ไล่ไปไหนหรอก…” เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่น่าจะอายุมากกว่าเธออย่างน้อยก็ห้าปี ที่ตอนนี้บอกว่าเธอเป็นพี่สาวของเขา มันช่างดีจริงๆ
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น น้ำตายังคงไหลอยู่ที่หางตาและถามออกมาอย่าใสซื่อ “จริงเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “จริงสิ!” ในหัวใจเธอกำลังคิดว่าจะจัดการกับเขายังไงดี เธอเดาว่าหัวเขาคงได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้จึงมีความทรงจำของเด็กวัย 5 ขวบเท่านั้น เมื่อวานเธอเพียงแค่ทำแผลอย่างง่ายๆ เดี๋ยวเธอคงต้องดูอย่างใกล้ชิดอีกที เดาว่าจะต้องมีลิ่มเลือดในหัวเขาถึงทำให้เป็นแบบนี้
“ดีเลย ผมชอบพี่สาวที่สุด…” ชายหนุ่มพุ่งเข้ามาหาเธอและกอดเธออย่างมีความสุข มู่หรงเสวี่ยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปกับพื้น เธอต้องย้ำกับตัวเองเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเองให้สบายใจ เขามีสติปัญญาเท่าเด็กห้าขวบเท่านั้น เขามีสติปัญหาเท่าเด็กห้าขวบเท่านั้น
ไม่นานมู่หรงเสวี่ยก็ตบไปที่หลังของเขาพร้อมทั้งกระซิบ “โอเค ลุกขึ้นก่อนนะ”
ชายหนุ่มราวกับเด็กน้อยที่เชื่อฟัง บิดตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงนั่งลงข้างๆ
มู่หรงเสวี่ยนั่งยองๆลงตรงหน้าเขาและถามออกไป “บอกพี่สาวทีสิว่าจำชื่อตัวเองได้ไหม?”
“ชื่อเหรอ?” ชายหนุ่มเอียงหัวเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังคิดชื่อของตัวเอง
“ปกติแล้วคนอื่นเรียกนายว่าอะไร?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างอดทน
“เสี่ยวอี้ ทุกคนเรียกผมว่าเสี่ยวอี้!” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มสดใส
รอยยิ้มนี้ทรงพลังจริงๆ ราวกับท่าทีของพระเจ้าผสมเข้ากับรอยยิ้มนี้ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหลงใหลขึ้นมาทัน ช่างสวยงามอะไรขนาดนี้ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันที มู่หรงเสวี่ยรู้ว่ามีเพียงคนประเภทนี้เท่านั้น ที่แค่เพียงท่าทางอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนสับสนได้แล้ว
จนกระทั่งเสี่ยวอี้หรือฮวงฟูอี้มองจ้องตรงมาที่เธอ จึงทำให้เธอได้สติกลับคืนมา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ เธอรู้สึกหลงใหลเขาราวกับคนที่ชอบดอกไม้ มู่หรงเสวี่ยเคยเจอคนที่หน้าตาดีมาแล้วทุกประเภท แม้แต่ใบหน้าที่หล่อเหลาของชางกวนโม่ที่ราวกับมีช่างมือมาแกะสลักไว้ เธอก็ยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย เธอไม่คิดเลยว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเธอจะงดงามได้มากขนาดนี้
ครั้งสุดท้ายที่เธอเจอเขา เธอเสียใจเกินกว่าที่จะสนใจอย่างอื่น แน่นอนเธอไม่สนใจท่าทางของเขาเลย เมื่อวานเธอก็มัวแต่ตั้งใจกับการรักษาบาดแผลของเขา วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้มองรูปร่างหน้าตาของเขาอย่างจริงจัง จะพูดยังไงดีล่ะ เธอไม่รู้จะหาคำอะไรมาอธิบายถึงรูปร่างหน้าตาของเขาได้เลยเพราะทั้งหมดที่เธอคิดได้มีเพียงคำเดียวนั่นคือ: พระเจ้า! เธอคิดว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามได้ขนาดนี้
“เสี่ยวอี้ นายควรจะลุกขึ้นก่อนนะ อย่านั่งอยู่ที่พื้นเลยไปนั่งที่โซฟาเถอะ เดี๋ยวพี่สาวจะทำอาหารเช้าให้นะ” มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและยื่นแขนออกไปเพื่อดึงเขาขึ้นมา
“ครับพี่สาว” หลังจากที่ฮวงฟูอี้ลุกขึ้นแล้ว เขาก็เชื่อฟังสิ่งที่มู่หรงเสวี่ยพูดจริงๆแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา
แต่ทำไมเขาถึงเรียกเธอว่าพี่สาวล่ะ?! เธอหน้าเหมือนพี่สาวของเขางั้นเหรอ?! ยังไงซะเธอต้องพาเขาไปที่สถานีตำรวจเพื่อรายงานคนหาย บางทีครอบครัวเขาอาจจะกำลังตามหาเขาด้วยความกังวลแต่เธอไม่รู้ชื่อและที่อยู่ของเขา งั้นคงต้องใช้เวลากว่าที่จะหาเขาเจอ
มู่หรงเสวี่ยรีบไปเตรียมอาหารเช้าง่ายๆ เธอต้มโจ๊กเพราะเสี่ยวอี้มีแผลอยู่ทุกที่ แล้วเธอก็ยังใส่สมุนไพรบำรุงกำลังและน้ำแห่งจิตวิญญาณลงไปด้วยตอนที่ต้มโจ๊ก เพราะว่าไม่ได้ใส่สมุนไพรเยอะเกินไปจึงไม่ไปกลบกลิ่นของโจ๊กแต่ช่วยเพิ่มความอร่อยให้มากขึ้น ที่ควรรู้ก็คือสมุนไพรในมิติลับจะไม่ใช่สมุนไพรทั่วไป สมุนไพรในมิติลับนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายไม่มากก็น้อยและคนส่วนใหญ่จะถูกดึงดูดด้วยออร่า
“เสี่ยวอี้ มากินอาหารเช้าเร็ว…” มู่หรงเสวี่ยตะโกนเรียก ฮวงฟูอี้ที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นในระหว่างที่กำลังตักโจ๊ก
ดวงตาของฮวงฟูอี้เปล่งประกายขึ้นมาทันทีและรีบเดินเข้ามา เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารและมองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างหิวกระหาย
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะออกมา เขาเป็นเพียงเด็กห้าขวบเท่านั้น สายตาของเขาใสซื่อมากจนเธอทิ้งเขาไว้คนเดียวไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะช่วยเขารักษาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาดูไม่ใช่คนธรรมดา นอกจากนี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก เธอไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่า?! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ทันใดนั้นเธอก็ไม่กล้าที่จะพาเขาไปที่สถานีตำรวจขึ้นมา แล้วถ้าเธอไม่เจอญาติของเขาแต่เจอศัตรูของเขาแทนล่ะ
ช่วงนี้เธอควรจะรักษาเขาก่อนเพื่อดูว่าเขาจะรื้อฟื้นความทรงจำมาได้หรือเปล่า ไม่งั้นสุดท้ายแล้วเขาจะต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ
“กินเถอะ โจ๊กยังร้อนๆอยู่ ค่อยๆกินนะ…” มู่หรงเสวี่ยวางโจ๊กตรงหน้าเขาและส่งช้อนให้เขา
แล้วเธอก็ตักให้ตัวเองด้วยและค่อยๆกิน หลังจากนี้เธอจะต้องไปที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ต่อ วันนี้เป็นพิธีเปิด เมื่อวานศาสตราจารย์ไป๋บอกให้เธอไปถึงเร็วๆหน่อย หลังจากนั้นไม่นาน มู่หรงเสวี่ยก็กินหมดไปครึ่งถ้วยแล้ว ฮวงฟูอี้ยังถือช้อนจ้องหน้าเธออยู่เลย สีหน้าของเขาดูสับสนอย่างมาก
“มู่หรงเสวี่ยถาม “เสี่ยวอี้ ทำไมถึงไม่กินล่ะ?”
ฮวงฟูอี้มองมาที่มู่หรงเสวี่ย “พี่สาว คือ…ผมยังไม่…”
มู่หรงเสวี่ยเปิดปาก พระเจ้า เขาคงไม่ได้ลืมวิธีกินด้วยหรอกนะ นี่ก็สายมากแล้วคงจะสอนเขาไม่ทันแล้ว เขาคิดว่าตัวเองโชคร้ายจริงๆและเดินไปนั่งข้างๆฮวงฟูอี้ “พี่จะป้อนนายเอง แล้วครั้งหน้าพี่จะสอนวิธีใช้ช้อนนะ”
เธอรับช้อนมาจากฮวงฟูอี้ หยิบถ้วยโจ๊กขึ้นมา ตักไปเต็มช้อนแล้วป้อนใส่ปากเขา เธอถูกบังคับให้ต้องมาเป็นแม่แทนที่จะเป็นพี่สาว
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นเขามีความสุข อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่ารังเกียจนอกจากเรื่องการถดถอยของสติปัญญา นอกจากนี้ตอนนี้เธอก็เป็นหมอแล้วด้วย เธอสามารถพึ่งมิติฟีนิกซ์ให้ช่วยคอยสอนได้
สุดท้ายหลังจากที่ป้อนฮวงฟูอี้เสร็จ เธอก็ยกถ้วยและตะเกียบเข้าไปในครัว ไม่มีเวลาที่จะล้างทำความสะอาดแล้ว ต้องรอเธอกลับมาก่อนแล้วค่อยทำ ไม่งั้นเธอคงไปสายในวันแรกของพิธีเปิดภาคเรียนแน่ๆ
เธอพูดกับฮวงฟูอี้ที่เดินตามเธอมา “เสี่ยวอี้ อยู่บ้านเป็นเด็กดีโอเคไหม? พี่จะออกไปข้างนอกหน่อย เดี๋ยวช่วงบ่ายๆพี่กลับมาหานะ!”
ฮวงฟูอี้ดึงแขนเสื้อเธอไว้พร้อมสายตาแห่งความหวาดกลัว “พี่สาวจะไปไหน?! ผมจะไปด้วย…”
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เธอจะพาเขาไปมหาลัยด้วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามหาลัยไม่อนุญาตแต่แค่รูปร่างหน้าตาของเขาอย่างเดียวก็เด่นเกินไปแล้ว “เชื่อฟังนะ พี่สาวพานายไปด้วยไม่ได้ พี่ต้องออกไปทำธุระ…” เพราะเธอกำลังรีบ น้ำเสียงที่พูดออกมาจึงหงุดหงิดเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามฮวงฟูอี้ปล่อยมือลงและพูดออกไปว่า “ผม…ผมจะเชื่อฟัง…อย่าทิ้งผมไปนะ…” แล้วดวงตาของเขาก็แดง ระเรื่อ
เมื่อเห็นดังนี้หัวใจของมู่หรงเสวี่ยก็อ่อนยวบ เขาเพิ่งจะแค่ห้าขวบเท่านั้นเอง เดาว่าเขาเองก็คงจะกลัวด้วยเหมือนกัน เธอเดินเข้าไปหาเขาและกอดเขาอย่างอ่อนโยนทั้งๆที่เขาตัวใหญ่กว่าเธอมาก “ไม่ต้องกลัวนะ พี่สาวไปไม่นานก็กลับมาแล้วงั้นรอพี่อยู่ที่บ้านโอเคไหม?”
ฮวงฟูอี้พยักหน้าและกัดริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร
มู่หรงเสวี่ยปล่อยมือจากหัวที่บาดเจ็บของเขา เธอเพียงแค่ตบไปที่ไหล่ของเขาเบาๆแล้วเดินออกไป ฮวงฟูอี้เดินตามไปเพียงไม่กี่ก้าว แล้วก็หยุด จ้องมองตามหลังมู่หรงเสวี่ยจนลับตาไป
หลังจากเดินไปได้ไม่นาน มู่หรงเสวี่ยก็หันกลับมาและเห็นว่าฮวงฟูอี้ยังยืนมองเธออยู่ที่ประตู ทันใดนั้นเธอก็เกิดความลังเล ทำไมเธอรู้สึกราวกับว่าเธอเพิ่งจะทอดทิ้งลูกตัวเองอย่างงั้นแหละ…มู่หรงเสวี่ยถึงกับรู้สึกงุนงงไปหมด
เมื่อมู่หรงเสวี่ยมาถึงมหาลัย งานพิธีเปิดเพิ่งจะเริ่มขึ้น เธอหาป้ายชั้นเรียนของตัวเองไม่เจอก็เลยไปต่อแถวหลังสุดก่อน
“เธอไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกับพวกเราใช่ไหม?” เด็กหนุ่มที่แถวหลังเห็นสาวสวยที่มายืนอยู่ข้างหลังเขาถามออกมา
“ฉันหาชั้นเรียนตัวเองไม่เจอ ก็เลย…ขอโทษนะ…”