บทที่ 144
การประเมินของสหภาพนักศึกษา
เห็นได้ชัดว่าฮวงฟูอี้ก็สังเกตเห็นปัญหาด้วยเหมือนกัน “พี่สาว ต่อไปผมไม่อยากที่จะเรียกพี่ว่าพี่สาวแล้ว…”
มู่หรงเสวี่ยแปลกใจและถามออกไป “ทำไมล่ะ? พี่สาวทำอะไรให้ไม่พอใจหรือเปล่า?”
“เปล่าฮะ แต่มันอยู่ในทีวีไม่ใช่เหรอ? เห็นได้ชัดว่าคนที่โตกว่าจะต้องเป็นพี่แต่เสี่ยวเสวี่ยตัวเล็กกว่าผมอีก เห็นไหมเธอตัวแค่ไหล่ฉันเองนะ…” ฮวงฟูอี้ทำเป็นลุกขึ้นเพื่อเทียบความสูง
เขาเรียกเธอว่าเสี่ยวเสวี่ยงั้นเหรอ?! ทำไมวันนี้เธอถึงรู้สึกว่าคำพูดของฮวงฟูอี้ดูแปลกๆ?! ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใสซื่อเหมือนแต่ก่อนและตอนนี้แม้แต่พี่สาวเขาก็ไม่อยากที่จะเรียกแล้ว เธอมองฮวงฟูอี้อีกครั้งและจ้องเขาเขม็ง ฮวงฟูอี้แทบจะรักษาสีหน้าให้ดูสงบนิ่งไม่ไหว
“เสี่ยวอี้ นายฟื้นความทรงจำแล้วใช่ไหม?! นายยังจำอะไรได้บ้างไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปเกี่ยวกับฮวงฟูอี้ ถึงแม้มันจะเพียงเล็กน้อยแต่เธอก็รู้สึกสงสัย บางทีอาจจะเป็นเพราะชีวิตที่แล้วที่เธอเคยสนใจคนรอบข้างอย่างใกล้ชิด บางทีเธออาจจะไม่เชื่อมั่น
ไม่ดีแล้วล่ะ?! นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอถามเขาและมั่นใจด้วย นี่เขาแสดงท่าทางอะไรผิดปกติให้เธอรู้งั้นเหรอ?! “เมื่อวาน มีภาพเศษเสี้ยวแวบขึ้นมาในหัวผมแต่มันก็ไม่ต่อเนื่อง…” สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาอย่างระวัง ไม่งั้นเขาคงไม่มีทางอยู่กับเธอในฐานะน้องชายได้อีกแน่ๆ
มู่หรงเสวี่ยถาม “แล้วนายคิดว่าไง คิดว่ารู้หรือยังว่าตัวเองเป็นใคร?” ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้เรื่องทั้งหมดแต่ก็ก้าวหน้าขึ้น พูดได้ว่าเดี๋ยวอีกไม่นานเขาก็จะฟื้นความทรงจำแล้ว
“ไม่นะ ฉันรู้แค่ว่าตัวเองคือฮวงฟูอี้” เขาพูดเสียงเบา
เวลาผ่านไปนานกว่าที่มู่หรงเสวี่ยจะพูดอะไรต่อ ถึงแม้เขาจะยังมีใบหน้าที่เหมือนเดิม แต่ตอนที่เขาพูดชื่อตัวเองก็เหมือนกับว่าจะมีบางอย่างภายในที่เปลี่ยนไป มันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นี่คือสิ่งที่เขานึกขึ้นได้เมื่อวานงั้นเหรอ?! แต่เขาก็ไม่บอกเธอ
มู่หรงเสวี่ยนึกถึงจิตใจที่ซับซ้อนของเขาและความเป็นไปได้ที่เขาจะจากไปหลังจากที่ฟื้นความทรงจำแล้ว ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงปิดบังเรื่องนี้กับเธอ เขาคงจะไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงก็เลยปิดเรื่องนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆยกมือขึ้นมาและแตะไปที่ผมอ่อนนุ่มของเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมทั้งพูดออกมาว่า
“เสี่ยวอี้ การเป็นตัวเองเป็นเรื่องที่ดี ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกนะ…” ไม่จำเป็นที่จะต้องฝืนตัวเองเพื่อที่จะเป็นน้องชายของเธอและไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังความจริงที่ว่าความทรงจำเขากลับมาแล้ว ถึงแม้มันจะยังกลับมาไม่สมบูรณ์แต่มันก็คงจะต้องคอยย้ำเตือนกับเขาอยู่ตลอด ไม่งั้นตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้เขาคงไม่มีท่าทีไม่สบายมากขนาดนี้หรอก
ฮวงฟูอี้อยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้ ดูเหมือนว่ามู่หรงเสวี่ยอยากจะตอบออกไปแบบนั้น เจ้าเล่ห์จริงๆ เขาคิดหาข้ออ้างมาอีกได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยวางมือลงและปกปิดความรู้สึกสูญเสียในหัวใจไว้ ยังไงซะเขาก็ไม่ใช่น้องชายที่คลานตามเธอมา “เดี๋ยวฉันไปเรียนก่อนนะ อยากทำอะไรก็ทำได้เลยนะโอเคไหม?! อีกอย่างนะเสี่ยวอี้ ไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวอีกไม่กี่วันความทรงจำของนายก็จะกลับมาทั้งหมดแล้ว…” แล้วเขาก็คงจะกลับไปในที่ของตัวเอง ตอนนี้เธอยังไม่ได้ถามเขาว่าเขาคิดยังไง?! ถึงแม้เธอจะเป็นคนที่ช่วยเขาไว้แต่เธอก็ยังเป็นคนแปลกหน้า น้องชายที่เธอรู้จักไม่อยู่อีกแล้ว
“เดี๋ยวฉันไปส่ง ฉันกำลังจะไปบริษัทพอดีแล้วมันก็เป็นทางผ่านด้วย” เขาไม่ได้คิดว่าการที่เสี่ยวเสวี่ยสังเกตเห็นการพัฒนานี้จะเป็นเรื่องดีสำหรับเขา ตอนนี้ฮวงฟูอี้ไม่มีข้ออ้างที่จะอยู่ต่ออีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าความทรงจำเขากลับมาทั้งหมดแล้ว แต่เขาก็ยังจะอ้างว่าจำได้เพียงเล็กน้อยอีก
ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยไม่ได้บอกให้ฮวงฟูอี้ดูแลตัวเองเหมือนแต่ก่อนแล้ว ในความคิดของเธอ เห็นได้ชัดว่าฮวงฟูอี้กลับไปเป็นผู้ใหญ่เหมือนเดิมแล้ว เธอคิดว่าเขาคงไม่ชอบให้เธอปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นเด็กๆแน่
มู่หรงเสวี่ยและชูอี้เสิ่นออกมาแล้ว ฮวงฟูอี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิม มือแตะไปที่ผมของเขา มันดูเหมือนว่ายังมีความอ่อนโยนสุดท้ายของมู่หรงเสวี่ยเหลืออยู่ เขารู้ว่าหลังจากที่เขายอมรับว่าความทรงจำกลับมาแล้ว บางทีเธอคงไม่มีวันปฏิบัติกับเขาเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อเขานึกถึงรอยยิ้มอ่อนโยนของเธอ ในใจเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตัวเองไม่รู้ว่าคืออะไร เขามักจะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่แคร์เรื่องนี้
ถึงแม้เขาพยายามที่จะปิดบังแล้วแต่ก็คงถ่วงเวลาได้อีกแค่วันเดียว ทำไมเขาโง่แบบนี้เนี่ย? เขาคิดว่ามันไม่ได้แตกต่างอะไรมากแล้วเชียว
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานโดยไม่ขยับไปไหน หลังจากนั้นสักพักเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่หลงอี้เตรียมไว้ให้เขาและกดเบอร์
หลังจากนั้นสักพักเขาก็เดินไปที่ประตูเพื่อขึ้นรถกันกระสุนแบบสั่งทำ ก่อนที่จะไปเขามองไปที่วิลล่าสีขาวที่เขาอยู่มาสองอาทิตย์ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์แล้วจึงรีบขึ้นรถและจากไป
ในเวลานี้มู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ที่มหาลัยไม่รู้เรื่องเลยว่า ฮวงฟูอี้จากไปแล้ว
วันนี้เป็นวันประเมินของสหภาพนักศึกษา ตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่มาแล้วเพราะเธอไม่สบายใจเรื่องฮวงฟูอี้แต่เมื่อหลงอี้กลับไปแล้วและที่ประตูก็มีคนที่พี่ชูส่งมาคอยเฝ้าอยู่ด้วย ดังนั้นเธอจึงสบายใจและมาที่มหาลัยได้ ยังไงซะเธอก็สัญญากับ หลิวฮัวลี่ไว้และมันก็ไม่ดีด้วยที่จะผิดสัญญา
วันนี้จะเป็นวันประเมินของแต่ละคณะ ดังนั้นทั้งมหาลัยจึงปิดการเรียนและห้องเรียนก็ถูกใช้จัดกิจกรรมของแต่ละคณะด้วย
สหภาพนักศึกษาแตกต่างจากชมรมของโรงเรียน สหภาพนักศึกษาจะมีออฟฟิศและห้องกิจกรรมเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นที่จะขอทางมหาลัยเพื่อใช้ห้องเรียนในการทำกิจกรรมเหมือนกับชมรมของคณะ
เมื่อมู่หรงเสวี่ยไปถึงสถานที่สหภาพนักศึกษากำลังประเมินอยู่ เขาก็เห็นว่ามีคนมากมายมารออยู่แล้ว ยังไงซะนี่ก็เป็นองค์กรนักศึกษาที่ทรงอำนาจจริงๆ ดังนั้นหลายคนจึงพยายามที่จะแทรกตัวเข้ามาในสหภาพนักศึกษาเพื่อเห็นแก่อนาคต อย่างไรก็ตามที่นั่งในสหภาพนักศึกษาก็มีจำกัดและการประเมินก็ค่อนข้างที่จะเข้มงวดด้วย พวกเขาจะต้องผ่านการทดสอบทั้งหมดและขนาดพวกอาจารย์ยังมาดูด้วยเลย หลักๆก็เพื่อแนะนำการประเมินของสหภาพนักศึกษา
การประเมินของสหภาพนักศึกษารวมถึงการสอบสัมภาษณ์และสอบข้อเขียนด้วย วัตถุประสงค์หลักของการสัมภาษณ์ก็เพื่อให้ได้นักศึกษาที่มีความสามารถในการเผชิญหน้าและการสอบข้อเขียนก็เพื่อให้ได้นักศึกษาที่มีความรู้ในทุกแง่มุม
มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปเห็นคิวรอยาวจึงเดินเข้าไปต่อแถว เดาอีกนานกว่าที่เธอจะได้เข้าไป เธอไม่คิดเลยว่าจะมีคนมากมายที่อยากจะเข้ามาในสหภาพนักศึกษามากขนาดนี้ ถ้าเธอรู้ก็คงจะไม่มาเข้าร่วมด้วยหรอก ถ้าพูดกันอีกนัยหนึ่งก็คือองค์กรนักศึกษานี่ไม่ได้ช่วยอะไรเธอในเรื่องชีวิตส่วนตัวเลย ยังไงซะเธอก็มีชีวิตสองด้าน นอกจากนี้การฝึกเพื่อสร้างบริษัทยังจะดีซะกว่าองค์กรเล็กๆพวกนี้อีก นี่ก็แค่ได้สร้างเพื่อนใหม่ๆเพิ่ม มันเป็นความท้าทายสำหรับเธอที่จะได้สื่อสารกับคนแปลกหน้า
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ถึงคิวของ มู่หรงเสวี่ย
เธอค่อยๆเคาะที่ประตูและก็ได้ยินเสียงพูดว่า “เข้ามาได้” ดังออกมาจากห้อง เธอค่อยเปิดประตูและเดินเข้าไป
เธอพบกับกลุ่มคนที่ค่อนข้างใหญ่ มีอาจารย์สามคนนั่งอยู่ตรงกลาง หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ที่สอนเธอ ซึ่งเขามักจะเรียกมู่หรงเสวี่ยให้ตอบในชั้นเรียนดังนั้นเธอจึงสนิทด้วยอย่างมาก
ทั้งสองข้างมีสมาชิกสหภาพนักศึกษายืนอยู่กันอีกหลายคน รวมทั้งหลิวฮัวลี่และหลงเหมยจิ่ง เด็กสาวที่เธอเคยเจอเมื่อครั้งที่แล้วที่ห้างสรรพสินค้า ส่วนคนอื่นๆต่างก็เป็นหน้าใหม่ทั้งนั้น
ทันทีที่หลิวฮัวลี่เห็นมู่หรงเสวี่ยเข้ามา เขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาพยายามที่จะปลอบใจมู่หรงเสวี่ยไม่ให้กังวลแต่มู่หรงเสวี่ยจะกังวลได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยยืนเงียบๆอยู่เบื้องหน้าทุกคน เธอกล่าวทักทายด้วยถ้อยคำสุภาพ อาจารย์ทั้งสามพยักหน้าพอใจแทบจะในทันที พวกเขาต่างก็รู้จักมู่หรงเสวี่ยดี ยังไงซะเธอก็เป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์ไป๋
“มู่หรง เธออยากเข้ามาในสหภาพนักศึกษาเพื่ออะไร?” หลงเหมยจิ่งกัดฟันอยู่เงียบๆและถามออกไป น้ำเสียงเธอฟังดูเป็นการเป็นงานแต่เธอไม่ได้อยากให้มู่หรงเสวี่ยเข้ามาอยู่ในสหภาพนักศึกษาอยู่แล้ว
เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ที่มู่หรงเสวี่ยเข้ามาเธอก็กลายเป็นคนดัง ทั้งๆที่เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ก็กลับกลายเป็นที่สนใจ ถ้าเธอได้เข้ามาในสหภาพนักศึกษาอีกนะ ชื่อเสียงของเธอจะต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ แต่เธอก็เป็นเพียงประธานกระทรวงวรรณกรรมและกรมศิลป์ของสหภาพนักศึกษาเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจให้อยู่หรือไป อีกอย่างก็มีอาจารย์อยู่ตั้งสามคนด้วย
“ฉันมาเข้าร่วมสหภาพนักศึกษาก็เพื่อที่จะฝึกตัวเองและเรียนรู้เพิ่มเพื่อเพิ่มคุณค่าชีวิตมหาลัยของฉัน นอกจากนี้ฉันก็หวังที่จะใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อรับใช้, บริหารจัดการและมุ่งมั่นที่จะสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่สะดวกสบายมากขึ้นสำหรับนักศึกษาในมหาลัยด้วย” มู่หรงเสวี่ยตอบคำถามอย่างมีสติ ไม่ว่าเธอจะคิดอะไรอยู่แต่เธอก็จะเลือกคำตอบที่เป็นทางการที่สุด ในสายตาของเหล่าอาจารย์และนักเรียนคนอื่นๆ คำตอบนี้เกือบที่จะไร้ที่ติและทุกคนต่างก็พยักหน้า ในใจของพวกเขามู่หรงเสวี่ยสูงกว่าการประเมินมาก ไม่ต้องสงสัยคนที่ศาสตราจารย์ไป๋เลือกมาเลย
เมื่อเห็นสายตาพอใจของทุกคน หลงเหมยจิ่งก็ถามต่อ “เธอคิดยังไงกับการมีส่วนร่วมของสหภาพนักศึกษา?”
มู่หรงเสวี่ยยังคงยิ้มอ่อนๆและท่าทางการยืนที่สง่างามก็ทำให้สายตาทุกคู่ประทับใจ เธอตอบคำถามต่อโดยไม่ต้องคิด “สหภาพนักศึกษาเป็นมือขวาของมหาลัย สมาชิกทุกคนของสหภาพนักศึกษาควรที่จะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นตัวอย่างที่ดี เราควรจะเป็นตัวอย่างและจัดการกับปัญหาทุกอย่างโดยเป็นกลางไม่เห็นแก่ตัว เราควรที่จะกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง, เป็นผู้ฟังที่ดีในความคิดเห็นที่แตกต่าง, พัฒนาตัวเองและโปรโมทผลงานของเรา ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีเท่านั้นแต่ต้องทำให้นักศึกษาเชื่อถือในสหภาพนักศึกษาอย่างแท้จริงด้วย ทั้งหมดนี้ต้องการสมาชิกของสหภาพนักศึกษาที่ทำงานอย่างหนักด้วยความพยายาม แน่นอนฉันก็ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ฉันเชื่อว่าตัวเองจะผ่านการทดสอบได้อย่างแน่นอน”
หลังจากนั้น หลงเหมยจิ่งก็ถามคำถามต่อมาเรื่อยๆแต่ไม่ว่าคำถามจะหลอกมากแค่ไหน มู่หรงเสวี่ยก็สามารถตอบทุกข้อได้ด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง
ตอนนี้เหล่าอาจารย์กำลังตรวจข้อสอบของมู่หรงเสวี่ยอยู่และผลที่ได้ก็คือมู่หรงเสวี่ยผ่านการทดสอบ เดิมทีเหล่าอาจารย์ก็ประทับใจในตัวมู่หรงเสวี่ยอยู่แล้วซึ่งช่วยเพิ่มคะแนนให้เธอได้อีกเยอะ
หลิวฮัวลี่เองก็ยิ้มอย่างมีความสุข เขารู้ว่ามู่หรงเสวี่ยจะต้องทำได้อย่างแน่นอน