บทที่ 146
กระทู้ของมหาลัย
เพราะฮวงฟูอี้ไปแล้ว ชูอี้เสิ่นก็ไม่มีข้ออ้างที่จะอยู่ในวิลล่าของมู่หรงเสวี่ยต่ออีก วันต่อมาเขาจึงย้ายออกทันที อย่างไรก็ตามบอดี้การ์ดทั้ง 10 คนยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอกวิลล่าของมู่หรงเสวี่ย
เดิมทีมู่หรงเสวี่ยไม่เห็นด้วยเพราะเธอไม่ชอบให้คนแปลกหน้ามาอยู่ในบ้าน อีกอย่างพวกหลงอี้ก็ไม่อยู่แล้วด้วย แต่พี่ชูบอกว่าเขาไม่ไว้ใจเธอ เขามองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง แล้วเธอจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ? อีกอย่างพวกบอดี้การ์ดก็อยู่แค่ข้างนอกวิลล่า สุดท้ายเธอจึงยอมตกลง
วันนี้มู่หรงเสวี่ยก็ไปเรียนตามปกติและก็ถูกรายล้อมอยู่ด้วยคนห้าคน
“น้องหก ฉันได้ยินมาว่าเธอเข้าสหภาพนักศึกษาเพราะประธานนักเรียน!” พี่สี่ล้อเลียน
“นี่เธอตาบอดหรือไง? เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งรอบด้านแบบนี้จะไปชอบเด็กเนิร์ดแบบนั้นได้ยังไง…” พี่สามมองไปที่เธออย่างดูถูก
ทั้งห้าคนคุยกันอยู่รอบๆมู่หรงเสวี่ย
สักพักมู่หรงเสวี่ยก็ทำหน้างงและถามออกมา “พวกเธอพูดว่าอะไรนะ?! เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม?!” เธอหยักไหล่อย่างไร้เดียงสา มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเธอไม่เข้าใจจริงๆ
เวลาผ่านไปนานทั้งห้ามองมาที่เธอและสุดท้ายพี่ใหญ่ก็พูดออกมา “น้องหก เธอไม่รู้เลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น? ทั้งมหาลัยคลั่งกันไปหมดแล้ว…”
มู่หรงเสวี่ยยังงงอยู่ บอกว่าวันนี้พวกนักศึกษาดูจะตื่นเต้นกว่าปกติแต่เธอก็ถูกจ้องมองทุกวันอยู่แล้วก็เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก เกิดเรื่องอะไรอีกแล้วล่ะ?!
“มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“เธอไม่ได้อ่านกระทู้ของมหาลัยเราเลยเหรอ? แค่วันเดียวก็มีข่าวลือออกมามากกว่า 100,000 ข้อความแล้วนะ…” พี่ห้าพูดในระหว่างที่กำลังเลียอมยิ้ม
“กระทู้อะไร?! ฉันไม่ได้อ่านเลยว่ากระทู้เขียนว่าอะไร…” มู่หรงเสวี่ยถาม
พี่ใหญ่เปิดโทรศัพท์และส่งให้มู่หรงเสวี่ย “ดูสะ…”
กระทู้ของมหาลัยแยกเป็นสามส่วน: มุมมองสาธารณะ, มุมมองส่วนตัวและข่าวกิจกรรม มุมมองสาธารณะคือกระดานที่ทุกคนเห็นได้และโต้ตอบได้ ไม่ได้จำกัดเพียงแค่นักศึกษาในมหาลัย มุมมองส่วนตัวก็เหมือนกับกระดานข่าวของมหาลัยเรา มีเพียงนักศึกษาในมหาลัยเท่านั้นที่จะเห็นและฝากข้อความได้ นอกจากนี้ หนึ่ง IP ก็จะสมัครได้แค่เลขบัญชีเดียว และมันจะต้องเชื่อมกับรหัสนักศึกษาด้วย งั้นเมื่อตอบก็จะรู้ว่าเป็นใคร ส่วนข่าวกิจกรรมก็คือกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในกระทู้ของมหาลัย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงกิจกรรมได้ซึ่งต้องอยู่ในระดับสูงหน่อย
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่หน้าแรกของมุมมองสาธารณะ พาดหัวข่าวสีแดงสะดุดตา: อัจฉริยะทางการแพทย์ปีหนึ่ง มู่หรงเสวี่ยเข้าร่วมสหภาพนักศึกษาก็เพื่อที่จะหาแฟน!!! ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว!!!
เธอไม่ลังเลที่จะกดเข้าไปดู มีภาพที่เธอสวมชุดนักศึกษาเด้งขึ้นมา เป็นรูปวันแรกในมหาลัยที่เธอเดินอยู่กับหลิวฮัวลี่และกำลังหัวเราะกันอยู่ ส่วนที่ตามมาคือเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเธอ
ชื่อ: มู่หรงเสวี่ย
พื้นฐานครอบครัว: เมือง A
วัตถุประสงค์: เพื่อยั่วยวนหลิวฮัวลี่ ประธานนักเรียนมหาวิทยาลัยการแพทย์
ต่อมาคือรายการที่เธอตกหลุมรักรุ่นพี่ของสหภาพนักศึกษาตั้งแต่แรกเห็น เข้ารับการประเมินเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับหลิวฮัวลี่ ได้รับตำแหน่งรองประธานนักเรียนของสหภาพนักศึกษาทั้งๆที่ยังเป็นเด็กปีหนึ่งภายใต้ชื่อของศาสตราจารย์ไป๋และใช้สหภาพนักศึกษาเป็นเครื่องมือหาความรัก
และมีข้อความมากมาย:
ข้อความหนึ่ง: พระเจ้า นี่เป็นข่าวดังจริงๆ มู่หรงเสวี่ยนี่เป็นระดับอัจฉริยะเลยจริงๆ!
ข้อความสอง: นี่โง่หรือไง? เห็นอยู่ชัดๆว่ามู่หรงเสวี่ยจงใจเข้าหาประธานนักเรียนเพื่อที่จะแย่งตำแหน่งของเขาน่ะ นี่เป็นการดูถูกสหภาพนักศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์ชัดๆ โอเคไหม?! คนแบบนั้นมีคุณสมบัติอะไรที่จะเข้ามาอยู่ในสหภาพนักศึกษาเนี่ย?!!!
ข้อความสาม: ความคิดเห็นบนไม่ได้อิจฉาเทพธิดานั้นใช่ไหม ใครเป็นเจ้าของโพสเนี่ย?! นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?!
ข้อความสี่:
มีข้อความมากมาย ผสมกันไปหมด แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยได้รับเลือกให้เป็นรองประธานนักเรียนของสหภาพนักศึกษา เรื่องพวกนี้ก็เกิดขึ้นในมหาลัยซึ่งมีผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่กับสหภาพนักศึกษา มีบางคนถึงขนาดตั้งคำถามกับความยุติธรรมของการประเมินของสหภาพนักศึกษาด้วย ถ้าปัญหาเรื่องนี้ไม่ถูกแก้ไขในเร็ววันนี้ บางทีตำแหน่งของมู่หรงเสวี่ยคงจะถูกเพิกถอน
โดยหลักการแล้วเรื่องพวกนี้ยังเป็นแค่เรื่องซุบซิบ อย่างไรก็ตามถ้ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องการประเมินที่สหภาพนักศึกษา นี่ก็อาจจะเป็นปัญหาใหญ่หรือเล็กก็ได้ มันจะต้องกระทบกับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยการแพทย์ ถึงแม้ทางมหาลัยจะไม่สนใจเรื่องนี้แต่มันก็ขึ้นอยู่กับวิธีการรับมือและท่าทางของมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เรื่องพวกนี้มันอะไรกันเนี่ย?! เธอจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าไปมีเรื่องกับใคร ถ้าเสี่ยวเข่อลี่ยังอยู่ที่นี่ เธอก็คงคิดว่าเป็นฝีมือของเสี่ยวเข่อลี่แต่นี่เธอเพิ่งเข้ามาเรียนแล้วจะไปมีเรื่องกับใครได้ล่ะ? เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่พอใจเธอและสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา น่าปวดหัวจริงๆเลย!
“นี่น้องหก ดูเธอหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเลย มันไม่จริงใช่ไหม?” น้องห้าถามออกมาอย่างประหลาดใจ ถึงแม้พวกเขาแค่อยากที่จะล้อเล่นแต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
“นี่เธอคิดว่าฉันเป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม
“อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า เธอจะเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง? เธอพอจะมีเบาะแสบ้างไหมว่าใครที่เป็นทำเรื่องนี้?” พี่ใหญ่ถามด้วยเสียงทุ้มลึก
เธอส่ายหัวแล้วก็มองไปที่คนทั้งห้าที่เพิ่งจะล้อเธอเล่นอยู่เมื่อกี้แล้วจึงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “นี่ฉันพูดอะไรผิดงั้นเหรอ?! ก็แค่มันไม่มีอะไรเลยที่จะต้อง…”
“พวกเราเป็นห่วงเธอนะ อย่างน้อยเธอก็น่าจะกังวลสักหน่อย โอเคไหม?”
มู่หรงเสวี่ยหยักไหล่และพูดด้วยรอยยิ้มอันชาญฉลาด “พวกเธอต้องกังวลเรื่องอะไรล่ะ? บางทีความสวยตามธรรมชาติของฉันอาจจะทำให้คนอื่นอิจฉาก็ได้”
คนทั้งห้าส่ายหัวอย่างปลงๆพร้อมกันและรู้สึกว่าขนาดเจ้าของเรื่องยังไม่กังวล แล้วพวกเขาจะมากังวลแทนทำไมเนี่ย! บ้าจริง! เมื่อเห็นว่าน้องหกดูเหมือนจะไม่สนใจเลย แล้วหลังจากที่คืนโทรศัพท์ให้พี่ใหญ่แล้วเธอก็กลับไปนั่งอ่านหนังสือต่อง่ายๆเนี่ยนะ?! อะไรกันเนี่ย? นี่เธอยังมีอารมณ์มานั่งอ่านหนังสืออีกเหรอ ไม่รู้เลยว่าทำไม? คนทั้งห้าอยากที่จะดึงเธอออกมาแล้วตบเรียกสติจริงๆ
“พวกเธอเป็นอะไรกันเนี่ย?! ทำไมต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นด้วยล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างใสซื่อ นี่ไม่ใช่ความผิดเธอซะหน่อย
น้องห้าเป็นคนที่จริงจังจึงถามออกไปทันที “เสี่ยวเสวี่ย เธอไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยงั้นเหรอ?”
“ทำไมต้องสนใจด้วยล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาแต่ยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อ
แม้แต่น้องสี่เองก็ยังเป็นกังวล “น้องหก ถ้ามันจำเป็นพวกเราช่วยได้นะ”
มู่หรงเสวี่ยวางหนังสือเรียนลงและเงยหน้าขึ้นมองคนพวกเขา “ฉันรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ถึงแม้มันจะเป็นปัญหาแต่กระทู้ก็ถูกโพสในมุมมองสาธารณะและก็เป็นใครไม่รู้ด้วย มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาว่าใครเป็นคนเขียนใช่ไหม?! เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ถ้าเธอไม่พูดอะไรเลยคนพวกนี้ก็คงจะเป็นห่วงแน่ๆ
“ฉันไม่คิดว่ามันจะแค่โพสเดียวนะสิ เธอก็เห็นว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นทันทีหลังจากที่เธอได้เป็นรองประธาน ถ้าเรื่องมันใหญ่ขึ้นๆ แล้วประธานของสหภาพนักศึกษาล่ะ?” คนที่รอถามต่อ
มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ในตอนนี้ การเงียบไว้ดีที่สุด ถ้าเขาออกมาพูดอะไร คนก็จะต้องคิดว่าแม้แต่ประธานสหภาพนักศึกษาเองก็ปิดบังเรื่องบางอย่างอยู่ แบบนั้นก็จะยิ่งเป็นปัญหาขึ้นไปอีก ฉันคิดว่าเขาก็คงเลือกที่จะเงียบเหมือนกับฉันตอนนี้แหละ นี่ก็เป็นแค่ข่าวลือไม่ใช่เหรอ? ยิ่งไปสนใจมาก ข่าวก็มีแต่จะยิ่งขยาย!”
“แต่เธอจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้นะ” พี่สามพูด
“เธอจะปล่อยให้คนรังแกอยู่แบบนี้ได้ยังไง!” แล้วเขาก็หัวเราะ
“น้องหก ฉันมีวิธีเจ๋งๆที่จะจัดการเรื่องนี้ภายในทีเดียวด้วยนะ…”
ทุกคนต่างจ้องมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงและพี่สี่ก็ตบหัวคนหัวโตแต่สมองเล็กนิดเดียวเข้าดังป้าบ “มีวิธีอะไรก็รีบพูดออกมาเลยสิ มัวอมพะนำอยู่ได้!”
มู่หรงเสวี่ยเองก็มองไปที่พี่สามอย่างสงสัยด้วยเช่นกัน ในเวลาปกติแล้วเขาจะเป็นปีศาจตัวน้อยๆ เขาไม่เคยใช้เวลาที่ถูกต้องในการแก้ปัญหาเลย จากที่เขาบอกวิธีที่เร็วที่สุดในการจัดการปัญหาคือวิธีที่ดีที่สุด จะมัวมานั่งคิดทำไม พูดตามตรง มู่หรงเสวี่ยค่อนข้างที่จะขอบคุณความคิดของเขา เขาเป็นนักคิดที่ดี บางทีอาจจะมีวิธีดีๆก็ได้
พี่สามรีบเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทันที เมื่อทุกคนเกือบที่จะหยุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาด้วยกำปั้น เขาก็จับไปที่ไหล่ของ มู่หรงเสวี่ยและพูดออกมาอย่างคลุมเครือที่ข้างหูมู่หรงเสวี่ย “มาเป็นแฟนฉันไง!” เธอว่าไง? มันดีใช่ไหมล่ะ!”
คนอื่นๆไม่ให้เวลาเขาได้หลงตัวเองต่อเลย พวกเขารีบขัดเขาไว้ทันที
“นายกล้าที่จะคิดแบบนี้กับน้องหกนะ ไอ้ทุเรศ!”
“บ้าเอ๊ย ฉันก็คิดว่ามันมีวิธีที่ดี”
“พอเลย นายนี่มันทะลึ่งขึ้นทุกวันนะ ข้างนอกมีผู้หญิงตั้งมากมายยังกล้ามาทะลึ่งกับคนกันเองอีกนะ”
“จัดการเขากันเลยดีไหม!”
“แหม อย่าเถียงกันเลย นี่เป็นวิธีดีวิธีเดียวเลยนะ…”
“บ้าเอ๊ย ไม่รู้จะพูดยังไงเลย จัดการเขาเลย…”
“อย่าตบปากฉันสิ ฉันต้องใช้ปากกินข้าวนะ”
“…”
หลังจากเวลาผ่านไปนาน คนแปลกหน้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามู่หรงเสวี่ย มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า”
“พวกนายอิจฉาใบหน้าอันหล่อเหลาของฉันเลยอยากที่จะทำฉันเสียโฉมล่ะสิ แล้วเธออีก น้องหก รู้ไหมฉันเป็นใคร? ยังจะกล้ามาหัวเราะอีก…” พี่สามลูปใบหน้าที่ถูกทำร้ายพร้อมทั้งบ่นออกมา
“รู้สึกฉันจะขึ้นสนิมไปหน่อยแล้ว ในที่สุดก็ได้ฝึกกับกระสอบทราย รู้สึกดีขึ้นมาจริงๆ” พี่สี่เขย่ามือไปมาและพูดออกมา
“ใช่ ฉันก็อยากลองอีกที”
“ดูเหมือนจะไม่มีใครสำนึกเลยนะ…”
ดวงตาเปล่งประกายสี่คู่จ้องไปที่พี่สามที่นั่งอยู่ตรงหน้า มู่หรงเสวี่ยพร้อมประกายตื่นเต้นในสายตา
“พวกนาย…” พี่สามรู้สึกเจ็บปวดให้หัวใจราวกับมีของหนัก 10,000 ตันมากดทับ
ช่างเป็นกลุ่มที่มีชีวิตชีวาจริงๆ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกอารมณ์ดีขึ้น “ฉันคิดว่าข้อเสนอของพี่สามก็ดีนะ” ประเด็นในกระทู้คือ มู่หรงเสวี่ยหลงรักประธานนักศึกษา หลิวฮัวลี่ ถ้าเธอมีแฟนงั้นข่าวลือก็จะต้องตกไป มันเป็นวิธีที่ดีจริงๆ
พี่ห้ารีบเข้าไปหามู่หรงเสวี่ยและพูดออกมา “น้องหก อย่าพูดแบบนั้นสิ พี่สามมีข้อเสียตั้งมากมาย ไม่มีข้อดีอะไรเลยนะ!”
“ใช่ อย่ามองแค่หน้าตา เขานี่กากสุดๆเลยนะ น้องหกอย่าไปหลงเชื่อเชียวนะ…”
พี่สี่เองก็พูดดูหมิ่นไปที่พี่สามด้วยเหมือนกันพร้อมพูดออกมาอย่างเป็นห่วง
คนที่เหลือต่างก็พยักหน้าราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง
พี่ใหญ่เริ่มที่จะโน้มน้าวเธออย่างจริงจัง “น้องหก ถ้าเธออยากที่จะคบกับน้องสาม งั้นไปลาออกจากตำแหน่งรองประธานสหภาพนักศึกษาเลยดีกว่านะ! ไอ้ทุเรศนี่มอบความสุขให้เธอไม่ได้หรอก มันจะกลายเป็นเรื่องน่าเศร้ามากและฉันก็เป็นห่วงหลานด้วย”
พี่สามพูดออกมาว่า “อย่าไปตกหลุมพรางนี้นะ ยังมีคนดีๆอีกมากรออยู่ มองให้สูงๆหน่อย!!!”
แม้แต่มู่หรงเสวี่ยเองก็เริ่มที่จะมองพี่สามอย่างเห็นใจซึ่งกำลังถูกสังคมประณาม เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเธอคล้อยตามกับเสียงข้างมาก มู่หรงเสวี่ยจึงพยักหน้าอย่างจริงจังโดยไม่สนใจสายตาแสนเศร้าของพี่สาม
สุดท้ายผลการพูดคุยก็สรุปได้ว่าตอนนี้ให้รอดูไปก่อนและสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหาว่าใครที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ คนที่โพสเรื่องแบบนี้ต้องลงมือต่อแน่ๆ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องรอก่อน ถ้าเรื่องมันพัฒนาไปจนถึงขั้นที่หยุดไม่ได้แล้วจริงๆ งั้นก็จะใช้วิธีของพี่สามเพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจผิด
แน่นอนว่าหลิวฮัวลี่เองก็เห็นกระทู้แล้วเช่นกันและรู้ว่าเธอถูกใส่ร้ายแต่เขาก็ไม่ได้มาหามู่หรงเสวี่ย ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่อ่อนโยนแต่ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆ นอกจากนี้เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับเพื่อนคนสำคัญของเขาด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มที่จะสืบที่อยู่ IP ของคนที่ส่งเรื่องนี้อย่างลับๆ
ถ้าคนนี้สามารถที่จะถ่ายรูปเขากับมู่หรงเสวี่ยเดินด้วยกันในมหาลัยได้ งั้นคนนี้จะต้องเป็นคนในมหาลัยของเรา และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับการประเมินของสหภาพนักศึกษาด้วย ในฐานะประธานสหภาพนักศึกษา เขาจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ๆ เขาเพียงแค่เป็นห่วงว่ามู่หรงเสวี่ยจะเป็นยังไงเมื่อได้เห็นกระทู้นี้ อีกอย่างเขาเองที่เป็นคนชวนให้เธอมาร่วมการประเมินของสหภาพนักศึกษา แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องแบบนี้ เขารู้สึกไม่สบายใจเลยแต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามานั่งรู้สึกผิดแล้ว เขาจะต้องสืบให้รู้เร็วที่สุดว่าใครเป็นคนโพสกระทู้นี้
เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นผู้คนก็เริ่มที่จะเข้ามาก่นด่าในกระทู้มากขึ้นเรื่อยๆ ฝั่งหนึ่งก็เป็นแฟนคลับของมู่หรงเสวี่ย และอีกฝั่งก็เป็นคนที่ไม่รู้จักกับมู่หรงเสวี่ยเท่าไร ทั้งสองฝั่งต่างก็มีความคิดเห็นของตัวเองและต่างก็ทะเลาะกันไปมา
สิ่งที่ทำให้มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจคือเธอไม่คิดว่าจะมีคนมากมายที่คอยสนับสนุนเธอและบอกให้เธอรีบคบกับหลิวฮัวลี่ให้เร็วที่สุดซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเศร้าและเสียใจนิดหน่อย อย่างไรก็ตามเธอก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างมาก เหมือนอย่างเรื่องของ หยางเฟิงที่โรงเรียนมัธยมที่จังหวัดก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขาพูดมันเป็นความรู้สึกฝ่ายเดียว
หลงเหมยจิ่งเห็นว่ามู่หรงเสวี่ยมาเข้าเรียนเหมือนตามปกติโดยไม่สนใจกระทู้เลย เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องโกรธมากมายขนาดนี้ราวกับว่าเธอกำลังทำร้ายกันและกันโดยเจตนา โดยที่อีกฝ่ายทำกับเธอเหมือนเป็นอากาศธาตุ ในเมื่อเธอไม่สนใจงั้นเธอจะทำให้มันใหญ่ขึ้นไปกว่านี้อีกแล้วจะได้เห็นกันว่าเธอจะยังทำท่าสงบนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ได้อีกไหม