บทที่ 151
การวิ่งระยะไกลเพื่อฝึกทหาร
เมื่อมู่หรงเสวี่ยไปถึงหน้าหอพักของครูฝึกโม่ เธอลังเลที่จะเคาะประตูเมื่อได้ยินน้องสี่ตะโกนออกไปว่า “ฉันเกลียดนาย”
แล้วประตูก็เปิดออก น้องสี่เอามือปิดหน้าและวิ่งร้องไห้ออกมา ขนาดมู่หรงเสวี่ยที่ยืนอยู่หน้าประตูเธอยังไม่สังเกตเห็นเลย
มู่หรงเสวี่ยตกใจไม่มีเวลาที่จะหันไปมองครูฝึกโม่แต่รีบวิ่งตามออกไป ตอนนี้สถานการณ์ของน้องสี่สำคัญที่สุด
น้องสี่วิ่งหนีมาตลอดทาง ฐานการฝึกทหารในพื้นที่ภูเขาค่อนข้างใหญ่มากๆ เพราะรวมพื้นที่ด้านหลังของภูเขาทั้งหมด น้องสี่วิ่งกลับมาที่ภูเขา ไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งมาไกลแค่ไหนจนกระทั่งมองไม่เห็นหอพักอีกแล้ว
มู่หรงเสวี่ยวิ่งตามมาด้วยความหอบจนแทบจะหายใจไม่ทัน แต่น้องสี่ที่อยู่ตรงหน้าร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด หัวใจของ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องสี่จะรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหน
เธอค่อยๆเดินเข้าไปและกอดน้องสี่ที่กำลังพิงอยู่ที่ไหล่ของเธอและร้องไห้อยู่นาน จนกระทั่งเสียงเธอหอบแห้งก็ยังไม่ยอมหยุด ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าเธอคงจะเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงนั่งกับเธออยู่เงียบๆ
เวลาผ่านไปนานจนนี่ก็เกือบจะตีสี่แล้ว มู่หรงเสวี่ยช่วยน้องสี่ลุกขึ้นและพูดอย่างอ่อนโยน “น้องสี่ ฉันจะช่วยพยุงเธอกลับไปพักนะ แล้วเดี๋ยวจะขอลาให้เธอทีหลัง…”
น้องสี่ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้มู่หรงเสวี่ยช่วยพยุงเธอกลับไปที่หอและกว่าจะกลับไปถึงหอก็เกือบตีสี่ครึ่งแล้ว ทุกคนในหอพักยังหลับสบายกันอยู่ มู่หรงเสวี่ยช่วยน้องสี่ถอดรองเท้า ห่มผ้าให้เธอแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ เพราะเธอไม่มีเวลากลับไปนอนแล้ว ระฆังจะดังตอนตีห้านี้แล้ว
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยอาบน้ำเสร็จ ระฆังก็ดังพอดี มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ทุกคนที่ยังหลับอยู่บนเตียง หลังจากที่เงียบไปสักพัก เธอก็เดินตรงเข้าไปและปลุกพวกเธอทีละคน และใครที่ไม่ยอมตื่นเธอก็ไม่สนใจ เธอเพียงดูให้แน่ใจว่าฮวงเสี่ยงเฟิงลุกขึ้นแล้วแล้วก็เรียกให้เธอออกไปกัน ส่วนคนอื่นๆที่เธอปลุกแต่ก็ยังไม่ตื่นกัน
เธอวิ่งตลอดทางไปที่ห้องพยาบาลและรายงานกับเจ้าหน้าที่ว่าน้องสี่ไม่สบายจริงๆและอยากที่จะขอลาพัก มันใช้เวลานานกว่าที่เธอจะรอดจากสายตาเย็นชาของเจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลมาได้ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมาขอลาพักในวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลคิดว่านี่เป็นข้ออ้างของเด็กสาวเพราะความขี้เกียจ แต่ถ้าเธอไม่ป่วยจริงๆ ก็คงไม่ให้คนอื่นมาลาป่วยให้หรอก
มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจว่าเจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลจะมองเธอยังไง ตราบใดที่เธอขอลาได้
ที่สนามมีเพียงนักศึกษากลุ่มเล็กๆเท่านั้นในระหว่างที่นักศึกษาคนอื่นๆยังหลับกันอยู่ในหอพัก ไม่ว่าเสียงระฆังปลุกที่ด้านนอกจะดังมากแค่ไหน แต่เหล่านักศึกษาที่นอนดึกก็ยังไม่ตื่นจากการหลับใหลอยู่ดี
มู่หรงเสวี่ยรีบวิ่งไปที่สนามอย่างรวดเร็วและเห็นว่าอีกห้าคนที่เหลือมาถึงแล้วพร้อมด้วยนักศึกษาคนอื่นๆอีกเล็กน้อย พี่ใหญ่มองมาที่มู่หรงเสวี่ยอย่างถามไถ่ เธอรู้ว่าพวกเขาถามถึงน้องสี่ เธอจึงพูดไปเพียงว่าเดี๋ยวค่อยคุย “ฉันขอลาพักให้เธอแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังนะ” เธอเดินเข้าไปหาทีมและหยุดนิ่ง
ทันทีที่ระฆังหยุดลง ครูฝึกโม่ก็มายืนอยู่ตรงหน้าแถวพวกเขา
“พวกเธอทุกคน หันขวา!” น้ำเสียงดังฟังชัดของครูฝึกโม่ดังออกมา
นักศึกษาทุกคนที่สนามหันไปทางขวาอย่างไม่ค่อยมีระเบียบเท่าไรเลย
“หันซ้าย!”
หรือเป็นการหันที่ไร้ชีวิตชีวา “หันขวา!” เสียงของครูฝึกโม่ดังขึ้นเรื่อยๆ
“…”
จนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยรู้สึกเวียนหัว ครูฝึกโม่จึงหยุดคำสั่ง
“ทุกคน รีบวิ่งตามมาให้ไว!” ครูฝึกออกคำสั่งแล้วด้านหน้าก็เริ่มออกวิ่ง มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นก็วิ่งตามไปข้างหน้า หลังจากนั้นก็ยังมีนักศึกษาอีกสองสามคนค่อยๆเดินออกมาจากหอพัก ขนาดที่เสื้อผ้าก็ยังแต่งไม่เรียบร้อย บางคนกระดุมก็ยังติดไม่เรียบร้อย
มู่หรงเสวี่ยสังเกตเห็นผู้ช่วยครูฝึกที่ยืนรอนักศึกษาปีหนึ่งที่ตื่นสายอยู่และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?!
มู่หรงเสวี่ยวิ่งเหยาะๆไปพร้อมกับครูฝึก เธอรู้ความแข็งแรงของร่างกายตัวเองดี เธออยากที่จะฝึกทักษะการป้องกันตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด แต่ก็มักจะมีอย่างอื่นเข้ามาขัดตลอด อีกอย่างพี่จื่อเหวินก็ยุ่งมากๆ ดังนั้นเรื่องที่เธออยากจะฝึกตัวเองจึงต้องพักไว้ก่อน
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองครูฝึกโม่แต่ก็เห็นได้เพียงด้านหลังที่สูงโปร่งและสีหน้าที่เย็นชาของเขา เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างครูฝึกโม่กับน้องสี่และเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานน้องสี่ร้องไห้อย่างหนักแต่ก็ดูเหมือนจะไม่กระทบอะไรกับครูฝึกโม่เลย
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเป็นห่วงน้องสี่อยู่หน่อยๆ ขนาดเธอร้องไห้หนักขนาดนั้นก็ยังทำให้เขาสนใจไม่ได้เลย ถ้าเป็นคนอื่น เธอก็คงไม่อยากที่จะสนใจหรอก ปัญหาคือน้องสี่ไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นเพื่อนที่สำคัญของเธอ เธอต้องหาโอกาสที่จะถามเรื่องนี้กับพี่ใหญ่ พวกเขาโตมาด้วยกันน่าจะรู้เรื่องอะไรบ้าง
เมื่อเวลาผ่านไป มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่ากล้ามเนื้อปวดร้าวไปหมด ตอนแรกที่ยังวิ่งได้อย่างนิ่งๆตอนนี้กลับเหงื่อเริ่มท่วมตัวแล้ว
การเดินขึ้นภูเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากนี้ที่ถนนก็ยังมีหินอยู่มากมาย การวิ่งเหยาะๆนานๆทำให้สาวๆที่ร่างกายไม่แข็งแรงเริ่มที่จะหอบหายใจและมีนักศึกษาหลายคนเริ่มที่จะบ่นว่าอยากที่จะหยุดวิ่งแล้วและหยุดวิ่งกลางทาง
สภาพร่างกายของเด็กผู้ชายดีกว่านิดหน่อย โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาสามารถวิ่งได้อย่างสบายๆจนเริ่มที่จะเอ่ยปากแซวพวกเด็กสาวที่วิ่งกันไม่ไหว มู่หรงเสวี่ยรู้สึกแปลกใจกับน้องห้ามากที่ยังมีสีหน้าผ่อนคลายและแม้แต่เหงื่อซักหยดก็ยังไม่มีให้เห็นเลย เธอถึงกับแปลกใจ ไม่คิดว่าน้องห้าที่เป็นเด็กสาวร่างเล็กจะออกกำลังกายมาดีขนาดนี้ เมื่อมู่หรงเสวี่ยมองไปที่เพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆก็เห็นว่าพวกเขาต่างก็ยังอยู่ในสภาพที่ดีมากๆเหมือนกัน แม้แต่ท่าวิ่งของพวกเขาก็ยังเหมือนกันอีกด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับการฝึกมาจากผู้เชี่ยวชาญเลยทีเดียว
ในใจมู่หรงเสวี่ยรีบคิดถึงความเป็นไปได้มากมายขึ้นมาทันทีและในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าทั้งห้าคนนี้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เธอคิดแน่ๆ คนธรรมดาไม่น่าจะมีท่าทางที่เป็นมืออาชีพขนาดนี้และในเวลาปกติก็ดูเหมือนคนทั้งห้าจะยุ่งอยู่ตลอดด้วย จนพวกเขาไม่ได้เข้าเรียนในทุกคลาสด้วย
ครูฝึกโม่ไม่ได้สนใจการเคลื่อนไหวที่อยู่เบื้องหลังเขาเลยแต่ยังคงวิ่งต่อไปข้างหน้า มู่หรงเสวี่ยมองคนทั้งห้าและวิ่งตามไปอย่างใจเย็น เธอกัดฟันและกดความปวดร้าวให้วิ่งต่อไป
ฮวงเสี่ยวเฟิงที่วิ่งตามเธอมาตลอดทางเริ่มที่จะหน้าซีด เธอค่อยๆหยุดและนั่งลงที่ก้อนหินที่อยู่ข้างๆถนน มองไปที่ มู่หรงเสวี่ยที่วิ่งห่างออกไป ดวงตาของเธอแวบประกายเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร
หลังจากสามชั่วโมงของการวิ่ง ในที่สุดพวกเขาก็กลับมาที่สนามฝึก สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงห้าคนที่วิ่งตามหลังครูฝึกโม่มา โดยมีมู่หรงเสวี่ยและสมาชิกสี่คนของกลุ่มห้าคน มู่หรงเสวี่ยก้มตัวลง มือจับอยู่ที่เข่าทั้งสองข้าง หอบหายใจและเครื่องแบบทหารของเธอก็เปียกชุ่มไปหมด
อย่างไรก็ตามสมาชิกทั้งสี่คนของกลุ่มเพื่อนห้าคนต่างก็ดูไม่เหนื่อยอะไรเลยราวกับเพิ่งเริ่มวิ่ง มีก็แต่เพียงเหงื่อที่มาจากอากาศร้อนเท่านั้นซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกอิจฉาและไม่พอใจอย่างมาก!
ครูฝึกโม่มองคนทั้งห้าที่อยู่ตรงหน้าเขาและแววตาก็แวบประกายรอยยิ้มแห่งความพอใจ “พักก่อน” น้ำเสียงดูจะอ่อนขึ้นกว่าแต่ก่อน
มู่หรงเสวี่ยเหนื่อยมากจนแทบไม่มีแรงที่จะเงยหน้าขึ้นมา เธอนั่งลงไปบนพื้นหญ้าโดยไม่สนใจว่าจะสกปรกหรือเปล่า
เวลาผ่านไปนานกว่านักศึกษาจะทยอยกลับมาที่สนามฝึกและนั่งลงพักที่สนามหญ้าเหมือนกับมู่หรงเสวี่ย
ทันใดนั้นสนามฝึกที่เดิมทีเงียบสงบก็กลายเป็นมีแต่เสียงพร่ำบ่นของเหล่านักศึกษาที่เพิ่งเดินกลับกันมา
“ฉันอยากจะกลับบ้าน…ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว…”
“นี่ไม่ใช่ที่พักสำหรับคนแล้ว เท้าฉันพองไปหมดแล้วเนี่ย…”
“บ้าเอ๊ย เท้าฉันไม่มีแรงที่จะเดินแล้วด้วยซ้ำ…”
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นแล้วจึงยืนขึ้นเพื่อขยับมือและเท้าเล็กน้อย ยังไงซะมันก็ยังดีที่ได้หยุดพักบ้างหลังจากที่วิ่งมานาน ได้ออกกำลังกายบ้างก็รู้สึกดีเหมือนกัน แต่เมื่อกี้เธอก็แทบจะทรุดลงไปกับพื้น
หลังจากนั้นสักพัก เด็กสาวกลุ่มสุดท้ายก็กลับมาที่ทีม การร้องไห้อย่างหนักและการพร่ำบ่นยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นไปอีกแต่ก็เป็นเพียงเสียงบ่นลอยๆ
สักครู่ต่อมาเมื่อครูฝึกโม่มั่นใจแล้วว่าทุกคนได้พักพอแล้ว สักพักเขาก็ตะโกนออกมา “ทุกคนยืนขึ้น ตั้งใจฟัง!”
อย่างไรก็ตาม มีเพียงคนกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่ทำตามคำสั่ง มู่หรงเสวี่ยและเพื่อนอีกสี่คนต่างก็ยืนตรงและตั้งใจฟังพร้อมแล้ว
“พวกเธอห้าคนไปที่โรงอาหารแล้วเอาอาหารเช้ามากินต่อหน้าพวกคนที่เหลือ หลังจากที่กินเสร็จ พวกเธอก็กลับไปพักที่หอได้” ครูฝึกโม่ชี้มาที่มู่หรงเสวี่ย, พี่หนึ่ง, พี่สอง, พี่สามและน้องห้า
มู่หรงยิ้มกว้างให้พี่ใหญ่ แล้วพวกเขาก็เดินไปที่โรงอาหาร
“น้องหก น้องสี่เป็นไงบ้าง?” ระหว่างทางที่เดินไปหยิบอาหารเช้า พี่ใหญ่ถามออกมาอย่างเป็นห่วง
มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจเบาๆแล้วจึงพูดออกมา “นายรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างน้องสี่กับครูฝึกหรือเปล่า? เมื่อคืนเธอร้องไห้หนักมากหลังจากที่ไปเจอครูฝึก…” เธอถามออกมาอย่างเป็นห่วง
พี่สองเองก็ขมวดคิ้ว “อันที่จริงเราก็รู้ไม่ค่อยชัดแต่สองคนนั้นรู้จักกัน ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ก็ดีๆกันอยู่นะแล้วอยู่ๆวันหนึ่ง น้องสี่ก็ร้องไห้มาบอกเราว่าไม่อยากที่จะเจอครูฝึกโม่อีกแล้ว ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่เห็นครูฝึกโม่อีกเลยนะ…แล้วเมื่อคืนน้องสี่ไปเจอครูฝึกโม่ได้ยังไงล่ะ?”
ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องที่ชัดเจน ปัญหาเรื่องนี้คงต้องถามกับเจ้าตัวเท่านั้นแต่ถ้าถามเรื่องนี้กับน้องสี่ เธอก็คงจะไม่บอก นี่ต้องถามกับครูฝึกโม่หรือเปล่า?! “กลางดึกเมื่อคืน อยู่ดีๆน้องสี่ก็วิ่งออกมาหาครูฝึกโม่ ฉันเป็นห่วงเธอก็เลยตามออกไปด้วย…แต่ก็ไม่ได้ยินนะว่าพวกเขาคุยอะไรกัน…” ในตอนนั้นเธอไม่น่าที่จะลังเลเลย บางทีถ้าเธอเข้าไปเคาะประตูน่าจะดีกว่าก็ได้