บทที่ 169
นายเป็นใคร
เมื่อรถเริ่มห่างออกมาไกลป้อม โทรศัพท์ของมู่หรงเสวี่ยก็เริ่มดังขึ้น ในที่สุดโทรศัพท์เธอก็มีสัญญาณ เธอรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดทันทีและพบว่ามีเบอร์ที่ไม่ได้รับหลายสายซึ่งทั้งหมดก็จะเป็นพี่ชูและโม่อ้ายลี่
เธอรีบโทรกลับไปหาพี่ชูทันทีและปลายสายก็รีบกดรับสายด้วยความรวดเร็ว
“มู่หรงเสวี่ยเธออยู่ที่ไหน? เป็นอะไรหรือเปล่า?” ที่ปลายสายเป็นเสียงของพี่ชูที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและกังวลดังตอบกลับมา
“พี่ชู ฉันไม่เป็นไร เมื่อวานโทรศัพท์ฉันไม่มีสัญญาณเลยก็เลยโทรหาพี่ไม่ได้…” มู่หรงเสวี่ยอธิบาย
ชูอี้เสิ่นนวดไปที่ขมับที่ปวด เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูปลอดภัยของเธอในที่สุดเขาก็สบายใจได้ซะที “งั้นเธอจะกลับมาเมื่อไร?”
“ตอนนี้ฉันกำลังกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์แล้วเดี๋ยวก็จะแวะกลับไปที่บ้านด้วย ขอโทษนะคะพี่ชูที่ทำให้ต้องเป็นห่วง…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ต้องขอโทษหรอกแค่เธอกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว ฉันอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์นะ ฉันจะรอเธอกลับมา…” ชูพูด
“ค่ะ แล้วเจอกันค่ะ”
แล้วมู่หรงเสวี่ยก็กดโทรหาโม่อ้ายลี่อีกครั้ง เด็กสาวบอกว่าเธอโทรไปหาพ่อแม่เธอและถามถึงเรื่องนี้ โชคดีที่เธอได้รู้ว่าเธอไม่มีปัญหาอะไร ไม่งั้นเธอคงเป็นห่วงจนตายแน่ๆ แล้วเธอก็ยังบ่นถึงเรื่องการกระทำของฮวงฟูอี้ด้วย เธอบ่นถึงเรื่องความรู้สึกที่เก็บกดไว้ก้นบึ้งและอื่นๆ และสุดท้ายเธอก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นของฮวงฟูอี้
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโม่อ้ายลี่เป็นคนที่มีความสุขจริงๆ เธอสามารถที่จะผ่อนคลายต่อหน้าเธอได้เสมอ เธอรู้สึกขอบคุณความเป็นเพื่อนของโม่อ้ายลี่จริงๆและหวังว่ามันจะคงอยู่ไปตลอดชีวิต
ในระหว่างที่ขับรถ ฮวงฟูอี้ก็หูผึ่งและคอยสนใจการพูดคุยของมู่หรงเสวี่ยอย่างใกล้ชิด เสียงหัวเราะดั่งเสียงระฆังของเธอดังเข้ามาในหูของเขาจนอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง แล้วก็พบว่ารอยยิ้มของเธอในตอนนี้ช่างแตกต่างไปจากตอนที่เธออยู่กับเขาอย่างสิ้นเชิง ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยดูเหมือนจะสดใสมากกว่า
หัวใจของเขาสั่นรัวในทันที เมื่อมู่หรงเสวี่ยหันหัวมา เขาก็รีบหันหัวกลับและมองไปข้างหน้า แล้วอยู่ดีๆเขาก็ไม่กล้าที่จะมองไปที่เธอขึ้นมา
มู่หรงเสวี่ยถามออกไปสักพักแต่ก็ไม่ได้สนใจและกดโทรหาพี่กู่ต่อ “พี่กู่…”
“เสี่ยวเสวี่ยกลับมาแล้วเหรอ?” กู่หมิงจำได้ว่ามู่หรงเสวี่ยบอกไว้เมื่อสองวันก่อนว่าอีกสองวันเธอจะกลับมาที่นี่
“ค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่จังหวัด A แล้ว เดี๋ยวฉันจะเข้าไปที่บริษัทเพื่อเช็กความเรียบร้อยหน่อย ว่าแต่พี่จื่อเหวินกับ ลั่วเฉิงเฟยอยู่ด้วยหรือเปล่า? ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ฉันจะเข้าไปประมาณ 5 โมงนะคะแล้วเราค่อยประชุมกัน” มู่หรงเสวี่ยพูด
เธอไม่สนใจว่าฮวงฟูอี้จะได้ยินเรื่องบริษัทของเธอ มันก็แค่เพราะว่าบริษัทเล็กๆของเธอคงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสนใจหรอกเมื่อเทียบกับประตูในตึกแปลกๆเมื่อวานแล้วซึ่งเดาว่าน่าจะราคาแพงมากกว่าบริษัทของเธอซะอีก ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลว่าฮวงฟูอี้จะมาขโมยความคิดจากบริษัทของเธอ
“วันนี้พวกเขาทุกคนอยู่ที่นี่ครับ แล้วผมจะบอกพวกเขาให้!”
“ค่ะ แล้วเจอกันตอนบ่ายนะคะ”
ฮวงฟูอี้ไม่แปลกใจเลยเกี่ยวกับเรื่องบริษัทของมู่หรงเสวี่ย ก่อนหน้านี้ที่เมืองหลวง ตอนที่เขาออกมาจากบ้านเสี่ยวเสวี่ย เขาได้เช็กทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับมู่หรงเสวี่ยแล้ว รวมทั้งเรื่องคนที่อยู่รอบตัวเธอด้วย
วันหยุดมีเพียงไม่กี่วัน มู่หรงเสวี่ยต้องจัดการทุกเรื่องเกี่ยวกับบริษัทในจังหวัดA ให้เรียบร้อยและแผนการที่จะทำป่าล้อมเมืองจากชนบทจะต้องถูกจัดการดังนั้นต่อไปจากนี้เธอคงจะยุ่งอย่างมาก
หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็หันไปมอง ฮวงฟูอี้และลังเลที่จะถามออกมาว่าเขาเป็นใคร?! แต่ถ้าถามออกไป เขาจะคิดว่าเธอมีแรงจูงใจภายนอกหรือเปล่า ถ้าเธอไม่เห็นของพวกนั้น มู่หรงเสวี่ยก็คงจะบอกกับตัวเองว่าเขาอาจจะเป็นคุณชายที่มาจากตระกูลร่ำรวยที่อยู่ต่างประเทศ แต่ตอนนี้เธอไม่โง่พอที่จะคิดว่าฮวงฟูอี้เป็นเพียงนักธุรกิจธรรมดาๆแน่ๆและขนาดอาวุธที่พวกการ์ดพกก็ครบมือขนาดนั้น
สายตาของเขามองไปที่เธอตลอด เขารู้สึกว่าตัวเองกังวลอยู่นิดหน่อย ในใจของเขาเต็มไปด้วยเรื่องมากมาย เขาไม่รู้ว่าจะคิดยังไง หลังจากเวลาผ่านไปนาน ในที่สุดฮวงฟูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “เสี่ยวเสวี่ย…”
เมื่อได้ยินเสียงของเขา มู่หรงเสวี่ยก็กลับมาได้สติอีกครั้ง “อี้…นายเป็นใครกัน?” สุดท้ายเธอก็ยังถามออกไป ถึงแม้เธอจะไม่ได้รังเกียจ ไม่อยู่แล้วแต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของพ่อแม่เธอ เธอก็กลัวว่าจะมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้น ในชีวิตของเธอ เธอสาบานไว้ว่าจะปกป้องพ่อแม่และตระกูลมู่หรง
ฮวงฟูอี้กำพวงมาลัยแน่นและหลังจากที่เวลาผ่านไปนาน เขาก็พูดออกมา “ฉันคือดราก้อนมาสเตอร์!” เขาไม่สนใจคำเตือนเรื่องที่ไม่ให้เปิดเผยตัวตนกับใคร ยกเว้นก็แต่กับเจ้าหน้าที่ของรัฐของตระกูลหลงที่ชื่อหลงอี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่รู้เรื่อง
“ดราก้อนมาสเตอร์งั้นเหรอ?! อะไรคือดราก้อนมาสเตอร์เหรอ?! ช่างมันเถอะ นี่น่าจะเป็นองค์กรต่างชาติ…” มู่หรงเสวี่ยพูดกับตัวเอง
ฮวงฟูอี้หัวเราะและไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่นานรถก็เข้ามาในเขตพื้นที่เมืองของจังหวัด A มันใช้เวลาไม่นานที่จะไปถึง อพาร์ทเม้นท์ของมู่หรงเสวี่ยในจังหวัด A เดิมทีมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะให้ฮวงฟูอี้กลับไปก่อนแต่เขาบอกว่าจะขึ้นไปส่งเธอหรืออะไรสักอย่าง มู่หรงเสวี่ยเลยเดินขึ้นไปพร้อมเขา
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยขึ้นไปถึงชั้นห้องสวีทของเธอก็เห็นพี่ชูยืนพิงอยู่ตรงประตูห้องเธอ
ชูอี้เสิ่นเงยหน้าขึ้นมาและเห็นมู่หรงเสวี่ย เขารีบเดินตรงเข้ามาและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว…” กระทั่งวินาทีที่เขาเห็นเธอ เขาก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก ตอนที่เขาไม่เจอเธอเขาเป็นกังวลเรื่องเธออย่างมาก
น้ำเสียงแหบและท่าทางที่ยืนรอเธออย่างโดดเดี่ยวที่ประตูทำให้เธอไม่สามารถที่จะขัดขืนได้ พี่ชูเป็นห่วงเธอมากจริงๆ เมื่อกี้เธอรู้สึกว่าตัวเองได้เห็นสายตาที่เศร้าสร้อยของพี่ชูด้วย
ฮวงฟูอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ได้แยกพวกเขาออกจากกันในทันที สายตาที่ดำมืดของเขาดูน่ากลัว ทุกครั้งที่เขากอด เสี่ยวเสวี่ย เธอกลับขัดขืนด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี แต่ตอนนี้เมื่อไอ้ผู้ชายน่ารำคาญคนนี้กอด เธอกลับไม่ทำอะไรเลย ทำไมล่ะ?!
ไม่รู้ว่าทำไม ฮวงฟูอี้ถึงนึกถึงคำพูดของมู่หรงเสวี่ยวันนี้ที่เธอบอกว่าไม่ได้รักเขา ดังนั้นเธอจึงเป็นคนรักกับเขาไม่ได้! งั้นเธอรักใคร ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธองั้นเหรอ?! ก้นบึ้งของหัวใจเขาบีบรัดและหัวใจก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หลังจากนั้นสักพักชูอี้เสิ่นก็ปล่อยมู่หรงเสวี่ย เขาจับไหล่เธอไว้และพูดออกมาว่า “เสี่ยวเสวี่ย ฉันทำไม่ได้จริงๆ ต่อไปถ้าฉันไม่เห็นเธออยู่ในสายตาฉันก็จะเป็นห่วงเธอ…”
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทื่อ พี่ชูดีกับเธอ…ถึงแม้เธอจะไม่อยากทำร้ายเขาแต่จะปล่อยเขาไว้แบบนี้งั้นเหรอ “พี่ชู รู้ไหมว่าฉัน…” คำว่า ไม่ได้ชอบพี่ พูดออกมาไม่ได้…โดยเฉพาะท่าทางของเขาตอนนี้ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง ที่คางก็มีเคราเล็กน้อยและที่ใต้ตาก็มีขอบคล้ำ
อย่างไรก็ตามชูอี้เสิ่นพูดพร้อมรอยยิ้มที่ไม่สนใจ “ฉันรู้เสี่ยวเสวี่ย เธอไม่ต้องย้ำอีกรอบหรอก ฉันเข้าใจแล้ว…แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นะ เธออยากที่จะปฏิเสธความห่วงใยของฉันในฐานะเพื่อนงั้นเหรอ…”
“พี่ชู ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น…ขอบคุณนะ…” ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเอ่อล้นเล็กน้อยและเธอก็รู้สึกขอบคุณกับความเมตตาที่พี่ชูมีให้กับเธอจริงๆ… “โอเค เข้าไปข้างในก่อนเถอะ ยืนอยู่ข้างนอกแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร…” มู่หรงเสวี่ยพูดแล้วเปิดประตู
ชูอี้เสิ่นเดินเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ของมู่หรงเสวี่ยโดยอัตโนมัติและด้วยความคุ้นเคย ฮวงฟูอี้เห็นชูอี้เสิ่นเดินเข้าไปพร้อมเดินตรงเข้าไปหยิบขวดน้ำ เปิดดื่มแล้วมานั่งที่โซฟาซึ่งทำราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องซะเอง
“อี้ นายอยากจะดื่มอะไรหน่อยไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม ฮวงฟูอี้ที่ยังยืนอยู่ตรงประตู “ทำไมนายไม่เข้ามาก่อนล่ะหรือว่าอยากจะกลับแล้ว?”
“ฉันขอชาแล้วฉันก็ยังไม่กลับตอนนี้” เขารู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่การกระทำเล็กน้อยแต่ก็ทำให้เขาเห็นความแตกต่างระหว่างเขากับชูอี้เสิ่น และความแตกต่างนี้ทำให้หัวใจเขาเจ็บปวดขึ้นไปอีก เขารู้สึกทรมานมากจนอยากที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะขจัดความรู้สึกนี้ออกไป
มู่หรงเสวี่ยยื่นแก้วชาให้ฮวงฟูอี้และพูดออกมาว่า “นายยุ่งอยู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้านายมีเรื่องที่ต้องไปทำก็กลับก่อนได้เลยนะ…”
ฮวงฟูอี้มองไปที่มู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “ฉันไม่มีธุระอะไรที่ต้องไปทำ แล้วเดี๋ยวเสี่ยวเสวี่ยจะทำอะไรต่อล่ะ?” อันที่จริงเขามีหลายเรื่องที่ต้องจัดการแต่เขาจะปล่อยให้มู่หรงเสวี่ยอยู่กับผู้ชายคนนี้ได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฮวงฟูอี้ “อี้ ฉันจำได้ว่านายยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการไม่ใช่เหรอ?” การที่เธอถามแบบนี้ออกมามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เธอเพียงแค่คิดว่าถ้ามีธุระที่ต้องไปจัดการก็ควรที่จะไปทำซะก่อน ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นห่วงเธอ
ฮวงฟูอี้กำหมัดแน่นซึ่งนี่เหมือนเป็นการผลักไสเขาออกไปให้ห่างเรื่อยๆ สายตาเขาจ้องไปที่ชูอี้เสิ่นและดูเหมือนว่าจะเห็นความตลกอยู่ในสายตาเขาด้วย เขาพยายามสงบอารมณ์และพูดออกไปว่า “ฉันไม่มีธุระที่ต้องไปทำ…” เขาเองก็มองไปที่ มู่หรงเสวี่ยด้วยเหมือนกันราวกับว่าต้องการที่จะยืนยันปฏิกิริยาของมู่หรงเสวี่ย
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดหัว เธอมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่อยากที่จะกลับ เธอจึงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าเป็นแบบนั้นก็เชิญนั่งกันตามสบายเลยนะ ฉันจะไปอาบน้ำก่อน…”
เธอยังคงสวมชุดของเมื่อวานอยู่ ซึ่งรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไร หลังจากนั้นเธอก็เข้าไปในห้อง หลังจากที่ล็อกประตูแล้วเธอก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
สองคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นต่างก็มองกันและกันด้วยสายตาเย็นชา ในสายของพวกเขาต่างก็มีแวบประกายอาฆาตอยู่ด้วย
“นายต้องการจะทำอะไรถึงได้มาอยู่ใกล้ๆเสี่ยวเสวี่ยแบบนี้?” ชูอี้เสิ่นถาม เขาคิดอยู่เสมอว่าฮวงฟูอี้เป็นคนที่อันตรายมากๆ เขาจะสบายใจให้คนแบบนี้มาอยู่ข้างๆมู่หรงเสวี่ยไม่ได้