บทที่ 176
อย่าแตะต้องตัวฉัน
จนกระทั่งฮวงฟูอี้แต่งตัวเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็ยังหันหลังอยู่ มือของเธอยังปิดอยู่ที่หน้าและไม่กล้าที่จะเอามือลง
“เสร็จแล้ว! งี่เง่าจริงๆ” ฮวงฟูอี้พูดพร้อมรอยยิ้ม
มู่หรงเสวี่ยเอามือลง หันกลับมาและจ้องไปที่เขาอย่างไม่พอใจ แต่กลายเป็นว่าทำให้เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นายจะแก้ผ้าต่อหน้าสุภาพสตรีได้ยังไง?” มู่หรงเสวี่ยรีบพูดออกมา
ฮวงฟูอี้ติดกระดุมแขนเสื้อและพูดออกมา “เธอไม่ใช่สุภาพสตรี…”
มู่หรงเสวี่ย: มันแรงพอที่จะทำให้หัวใจเธอกระตุก เธอรู้สึกว่าตัวเองจะไม่มีความรักอีก สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป ไม่นาน มู่หรงเสวี่ยก็พูดลอดไรฟันออกไปทันที “ฉันไม่ใช่สุภาพสตรีได้ยังไง?! ทำไมฉันจำไม่ได้เลยว่าตัวเองทำอะไรที่ไม่เป็นสุภาพสตรี?” ศักดิ์ศรีของผู้หญิงต้องได้รับการปกป้องอย่างเคร่งครัด
ฮวงฟูอี้หยุดการเคลื่อนไหวของเธอ หยิกเข้าที่สีหน้าไม่พอใจของเธอแล้วพูดออกไปว่า “เธอดูไม่เหมือนสุภาพสตรีเลยสักนิด!”
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยแดงระเรื่อ นี่เข้ามาใกล้เกินไป “อย่ามาหยิกหน้าฉัน ไปหยิกคนอื่นโน้น” เธอตีไปที่มือเขาและลูบที่แก้มตัวเอง
ฮวงฟูอี้หัวเราะและพูดออกมา “ได้เวลาไปล้างหน้าแล้ว เธอจะอาบก่อนหรืออยากให้เรา…”
“ฉันไม่อยากอาบกับนาย ฉันจะอาบก่อน…” มู่หรงเสวี่ยรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและปิดประตู หลังจากเวลาผ่านไปนานหัวใจของเธอก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ทำไมเธอถึงรุ้สึกว่าฮวงฟูอี้กลายเป็นคนที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้เขายังทำตัวน่ารักอยู่เลย แต่วันนี้ราวกับว่ามีใครมาลอกหน้ากระดาษชั้นนั้นของเขาออกไปแล้ว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยรังสีเสน่ห์ของผู้ชายที่โตเต็มตัวแล้ว ตอนนี้เธอในสายตาเขาราวกับว่าเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย
เธอมองตัวเองในกระจก แก้มของเธอแดงระเรื่อ คิ้วของเธอเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจและจู่ๆสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นซีด นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?!
เมื่อเธอเดินออกมา ท่าทีของมู่หรงเสวี่ยก็กลับมาสงบและแม้แต่สายตาของเธอก็เย็นชาขึ้นมาก “เสร็จแล้ว” เธอพยักหน้าไปทางฮวงฟูอี้ เพื่อบอกเป็นนัยๆว่าเขาเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว
“ที่เตียงมีเสื้อผ้าชุดใหม่อยู่ เธอชอบหรือเปล่า? เพิ่งให้คนส่งมาให้…” ฮวงฟูอี้พูดในระหว่างที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ
มู่หรงเสวี่ยหยิบกระโปรงสุดหรูขึ้นมาดู ไม่มีป้ายยี่ห้อ นี่เป็นชุดสั่งตัด อีกอย่างนี่ไม่ใช่ชุดสั่งตัดธรรมดา มันให้ความรู้สึกสบายอย่างมากที่ถึงแม้จะมีเงินก็อาจจะหาซื้อชุดแบบนี้ไม่ได้
“ชอบหรือเปล่า?” ฮวงฟูอี้ถาม ทันทีที่เดินออกมา เขาเห็นมู่หรงเสวี่ยกำลังถือกระโปรงอย่างงงๆ เขาบอกไม่ได้ว่าเธอชอบหรือเปล่า เขากังวลอยู่นิดหน่อย
มู่หรงเสวี่ยนึกขึ้นได้ว่าเธอบอกว่าชุดกระโปรงของเธอเลอะเทอะอย่างมาก “ชอบ มันแพงมากเลยใช่ไหม?” แค่มองด้วยตาก็พอจะเดาได้แล้วว่านี่น่าจะราคาไม่น้อยกว่าล้านหยวนและบางทีอาจจะแพงกว่าด้วย
“มันก็แค่ชุด แค่ชอบก็พอแล้ว!” ฮวงฟูอี้พูด
ยังคงพูดด้วยท่าทางธรรมดา นี่พื้นฐานครอบครัวเขาจะต้องรวยขนาดไหนนะถึงได้สอนให้เขาเป็นคนที่สูงส่งได้ขนาดนี้ มู่หรงเสวี่ยหยิบชุดขึ้นมาและเตรียมที่จะเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอเองก็มีปัญญาที่จะซื้อชุดราคาแพงแบบนี้แต่เธอก็ยังเลือกที่จะใส่เสื้อผ้าธรรมดาๆ เธอชอบที่จะแต่งตัวธรรมดาซึ่งสบายและใส่ได้สะดวกกว่าแต่ก็ไม่รังเกียจชุดราคาแพงด้วยเหมือนกัน
เมื่อมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและเดินออกมาจากห้องน้ำ ท่วงท่าที่สวยงามของเธอก็ดึงดูดสายตาของฮวงฟูอี้ได้ในทันที กระโปรงของเธอเป็นสีเขียวมรกตซึ่งมองไกลแล้วดูเหมือนหินโมราเลย สีเขียวที่กำลังล่องลอย มันค่อยแทรกตัวเข้าไปในเนื้อหยก มันเป็นเหมือนป่าที่รกชักมากกว่า ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยและระบุตัวได้ยาก ผิวที่ขาวผ่องของมู่หรงเสวี่ยเปล่งประกายขึ้นไปอีก พร้อมด้วยผมนุ่มสีดำธรรมชาติที่ดูสวยโดยไม่ต้องแต่งอะไรเพิ่ม ร่างที่อยู่ตรงหน้าราวกับเป็นนางฟ้าที่บังเอิญร่วงลงมาสู่โลก
ความสวยของเธอทำให้หัวใจของฮวงฟูอี้เต้นไม่เป็นจังหวะและสายตาของเขาก็ไม่สามารถที่จะละไปจากร่างของเธอได้เลย เขาแทบจะไม่เคยเห็นมู่หรงเสวี่ยแต่งตัวแบบนี้เลยจึงพูดออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ “เสี่ยวเสวี่ย เธอสวยมาก…” เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกไปเสียงเบา
เมื่อเห็นสีหน้าที่ชื่นชมของเขา มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง…เธอรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงง่ายมากเมื่ออยู่ต่อหน้าฮวงฟูอี้และนี่มันก็เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน ทำไมล่ะ มันไม่เกิดขึ้นมาก่อนเลย แล้วก่อนหน้านี้เป็นยังไงล่ะ?! มู่หรงเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้ มันดูเหมือนว่าความรู้สึกเดียวที่มีต่อฮวงฟูอี้ในทุกๆครั้งคือเขาเรียบง่ายและน่ารักและมีบาดแผลในหัวใจ
เพียงแค่เมื่อวานนี้เองที่เธอยังรู้สึกว่าเขาไร้เดียงสาและน่ารัก ความเปลี่ยนแปลงมันเริ่มเมื่อคืน เวลาเพียงไม่นานมีอะไรเกิดขึ้นกับฮวงฟูอี้หรือเปล่า?
เธอไม่ชอบความรู้สึกของการถูกนำเลย ความเขินที่ควบคุมไม่ได้และจังหวะหัวใจทำให้เธอรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีกจนเธอแทบอยากที่จะวิ่งหนีออกไปทันทีเลย ในขณะที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึกที่ไม่รู้นี้ทำให้เธอไม่อยากที่จะคิดให้ลึกไปกว่านี้
“เมื่อคืนนายก็นอนเองได้แล้ว งั้นก็ห้ามมาลากตัวฉันมาแบบกะทันหันแบบนี้อีก…” มู่หรงเสวี่ยแกล้งทำเป็นนิ่ง
“ไม่ เมื่อคืนฉันไม่ได้หลับจนกระทั่งเธอมานอนที่เตียง งั้นเธอก็ต้องรับผิดชอบ…” ฮวงฟูอี้พูดอย่างจริงจัง
สายตาของมู่หรงเสวี่ยขรึมขึ้นไปอีก นี่กลายมาเป็นความรับผิดชอบของเธอตั้งแต่เมื่อไรกัน?! ช่วยอธิบายมาหน่อยสิ!! “ถ้ายังนอนไม่ได้ก็ค่อยๆฝึกไป สักวันนายก็จะชินไปเอง ฉันจะนอนกับนายไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ”
“ทำไมล่ะ?” ฮวงฟูอี้ถาม ในความคิดของเขาเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว ดุเหมือนว่าเขายังต้องไปหาหมออยู่ “นายจะนอนกับภรรยาได้เท่านั้น ในอนาคตนายก็จะต้องมีภรรยา พวกนายสองคนจะต้องอยู่ด้วยกัน, กินด้วยกัน, นอนด้วยกัน, ทำงานด้วยกันไปตลอดชีวิต…”
“มันก็เหมือนกับเราตอนนี้ไม่ใช่เหรอ?! ตอนนี้เราเพียงแค่กินกับนอนด้วยกัน สำหรับเรื่องงาน งานฉันก็เอาให้เธอดูได้ด้วยเหมือนกัน…” ฮวงฟูอี้พูดถึงเรื่องว่าพวกเขาทำอะไรด้วยกันบ้าง สามีภรรยางั้นเหรอ?! สุดยอด!
มู่หรงเสวี่ยตกใจ เธอไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้…ที่ฮวงฟูอี้พูดออกมายิ่งทำให้สีหน้าของเธอซีดมากขึ้นไปอีก พวกเขาใกล้ชิดกันมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?! มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกัน?! เธอไม่สังเกตเลย ไม่ เป็นไปไม่ได้!!! นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!!! มู่หรงเสวี่ยนั่งลงไปที่โซฟาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด เธอนึกถึงแก้มที่แดงระเรื่อของเธอเมื่อกี้ในกระจก
“เสี่ยวเสวี่ย เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่สบายหรือเปล่า?” ฮวงฟูอี้เดินเข้ามาหาเธอ จับไปที่หน้าผากของเธอและถามออกมาอย่างกังวล
เขาวางฝ่ามือที่อบอุ่นของตัวเองไว้ที่หน้าผากเธอ เพราะเขาอยู่ใกล้เธอจนเธอได้กลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาซึ่งเป็นกลิ่นที่หอมอย่างมาก ในตอนนี้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็ผลักเขาออก ฮวงฟูอี้ที่ไม่ได้ตั้งตัวถูกผลักจนเซออกไปสองสามก้าว
เมื่อเห็นสีหน้าที่แปลกใจของเขา มู่หรงเสวี่ยก็นึกได้ว่าท่าทีของเธอมันแรงเกินไปและดูเหมือนจะแปลกอยู่หน่อยๆด้วย เธอดูราวกับหวาดกลัว เธอลุกขึ้นและพูดออกมา “ฉันไม่เป็นไร ฉันอยากกลับบ้าน…”
“กลับบ้านงั้นเหรอ?! หลังจากกินอาหารเช้าฉันจะพาเธอไปส่ง…” ฮวงฟูอี้ไม่สนใจสิ่งที่เธอพูด
มู่หรงเสวี่ยหันหน้าหนีและไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับเขา “ไม่ ฉันไม่อยากกิน ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร ฉันอยากจะกลับไปพักที่บ้านตอนนี้เลย…” น่าจะเป็นเพราะช่วงนี้เธออยู่กับเขาบ่อยๆก็เลยรู้สึกสับสน เธออยากกลับบ้านไปอยู่เงียบๆ
“ถ้าเธอไม่สบาย งั้นก็พักที่นี่ ฉันจะเรียกให้ ดร.หลงมาดูเธอ…” ฮวงฟูอี้เดินเข้ามาและจับมือเธอพาไปที่เตียง
“อย่าแตะตัวฉัน!” มู่หรงเสวี่ยสะบัดมือเขาออกและถึงขนาดถอยหลังไปสองสามก้าวด้วย
ฮวงฟูอี้มองไปที่มือตัวเองที่ถูกสะบัดออก เขาเห็นได้เลยว่ามู่หรงเสวี่ยใช้แรงในการสะบัดเขามากแค่ไหน เขาขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดีๆเธอถึงมีท่าทีรุนแรงขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังดีๆอยู่เลย “เสี่ยวเสวี่ย เป็นอะไรของเธอ?! รู้สึกไม่สบายมากเลยเหรอ?” เขาถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร แค่พาฉันกลับบ้าน ฉันจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้…” น้ำเสียงของมู่หรงเสวี่ยสูงเกินกว่าที่จะควบคุมได้ เธออยากที่จะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้และไปอยู่เงียบๆ
ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาก็คงจะโกรธเธอ แต่กลับพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอะไรแบบนี้ ถึงแม้เขาจะยังอยากที่จะอยู่ต่อกับเธออีกสักพักเขายังอยากที่จะเห็นท่าทางของเธอ เดี๋ยวเขาคงจะต้องถามหลงอี้ว่าผู้หยิงทุกคนเป็นแบบนี้หรือเปล่า ที่อยู่ดีๆเธอก็เปลี่ยนท่าทางและไม่แน่นอน เขาไม่เข้าใจเลย เขาหยิบกุญแจรถและเดินออกไปก่อน พร้อมหันหลังกลับมาที่เสี่ยวเสวี่ยและพูดออกไป “ไป!”
มู่หรงเสวี่ยกัดริมฝีปากและพูดออกไป “ให้หลงอี้ไปส่งฉันไม่ได้เหรอ?” ตอนนี้เธอไม่อยู่กับร่องกับรอย เธอไม่อยากที่จะอยู่กับเขาแม้สักนาที เธอกลัวว่าจะไม่เป็นตัวเอง ตอนนี้แม้แต่ฮวงฟูอี้เองก็ไม่เข้าใจ เขาเข้าใจว่ามู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะอยู่กับเขา เขาหยุด หันหัวมาและถามมู่หรงเสวี่ย “เธอโกรธงั้นเหรอ? เพราะเรื่องที่ฉันพูดงั้นเหรอ?” ฮวงฟูอี้นึกถึงเรื่องตลกที่เขาเพิ่งจะพูดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ “ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็ขอโทษ ฉันแค่ล้อเล่น…” เขาพูดด้วยเสียงเบา
มู่หรงเสวี่ยตกใจ น้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขาดูเหมือนจะมีความไร้เดียงสาของเด็กน้อยอยู่ด้วย หัวใจของเธอสั่นอย่างรุนแรง ก้มหัวลงและพยายามที่จะควบคุมท่าทางที่ไม่ปกติของเธอ เธอกระซิบออกไป “ฉันไม่ได้โกรธ ฉันก็แค่อยากกลับบ้าน…”
ฮวงฟูอี้มองไปที่ผมดำของเธออยู่นานแต่ก็ยังไม่เห็นสายตาที่เธอมองเขา สุดท้ายเขาก็พูดออกมาอย่างจนปัญญา “ไปเถอะ! ฉันขอให้หลงอี้ไปจัดการบ้างเรื่องให้ งั้นฉันจะไปส่งเธอเอง!”
ที่อีกด้าน หลงอี้ที่อยู่อีกห้องกำลังหาว: นี่เขาไม่รู้ได้ยังไงว่าตัวเองมัวออกไปยุ่งข้างนอกอยู่เนี่ย?!!
ครั้งนี้มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธ ถ้าปฏิเสธออกไปอีกรอบ มันจะไม่ทำให้เธอดูแปลกๆงั้นเหรอ?! เดิมทีมันก็แค่ท่าทางแปลกๆโดยไม่รู้สาเหตุซึ่งทำให้เธอ ต้องมาอยู่ในสถานการณ์งี่เง่าแบบนี้ เธอเดินก้มหัวตามเขาไปและพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
จนกระทั่งมาถึงที่อะพาร์ตเมนต์ มู่หรงก็เปิดประตูรถอย่างเงียบๆและอยากที่จะไปซะที
“เดี๋ยวก่อนมู่หรงเสวี่ย!” ฮวงฟูอี้ร้องเรียกมู่หรงเสวี่ยที่กำลังจะเดินไป
เท้าของมู่หรงเสวี่ยหยุด ไม่นานก็หันหัวกลับมาเผยรอยยิ้มจางๆ “มีอะไรเหรอ?”
ฮวงฟูอี้หยิบกระเป๋าของเธอที่เบาะหลังและพูดออกไป “เธอลืมกระเป๋าหรือเปล่า?” แล้วเขาก็จ้องไปที่เธอด้วยสายตาคม เขาไม่อยากที่จะพลาดสีหน้าของเธอ มู่หรงเสวี่ยไม่ปกติเกินไปแล้วจะให้เขาไม่สนใจได้ยังไง
มู่หรงเสวี่ยรีบเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าและพูดออกมาเสียงเบา “ฉันไปนะ นาย…ขับรถดีๆล่ะ…” หลังจากนั้นเธอก็รีบเดินจากไปอย่างเร็วราวกับมีตัวอะไรไล่ตามอยู่
ฮวงฟูอี้มองตามหลังเธออยู่นานแล้วสายตาเคร่งขรึมก็กลับมาอีกครั้ง เขายืนมองจนกระทั่งมู่หรงเสวี่ยลับตาไป
อันที่จริงในตอนแรกเขาอยากที่จะขึ้นไปส่งเธอข้างบนแต่เห็นได้ชัดว่าเธอพยายามที่จะหลบเขา เขาไม่เคยคิดเลยว่าการจัดการกับคนจะเป็นเรื่องที่ยากขนาดนี้ เขาเองก็รู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดหน่อยเพราะเขาไม่เข้าใจความคิดของเธอ เขาคิดว่าผู้หญิงเข้าใจยากมากกว่าคณิตศาสตร์ขั้นสูงซะอีกซึ่งยากกว่าการแก้ปัญหาระดับชาติอีก
มู่หรงเสวี่ยไม่หยุดเลยจนกระทั่งกลับมาถึงที่ห้อง เธอนั่งอยู่ที่เตียงและใจก้แวบถึงฮวงฟูอี้ทีละนิดๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเธอก็รู้สึกว่าตั้งแต่ที่กลับมาถึงห้องเธอก็เอาแต่นึกถึงฮวงฟูอี้
จู่ๆเธอก็ลุกขึ้น ล็อกประตูห้อง ปิดม่านและจึงเข้าไปในมิติลับ เมื่อเห็นสมุนไพรที่คุ้นเคยและได้ดมกลิ่นที่คุ้นเคย ในที่สุดเธอก็รู้สึกสงบขึ้นอย่างมาก เธอหยิบหนังสือการแพทย์ที่ชั้นหนังสือและเริ่มที่จะอ่านมันอย่างช้าๆ
ในที่อีกฝั่งในห้องของโรงแรม ชูอี้เสิ่นลูบไปที่หน้าผาก อาการปวดหัวหลังจากเมาค้างค่อยๆเข้ามาจู่โจม เขาลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆสภาพแวดล้อมที่แปลกตา โดยจำไม่ได้เลยว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง
เขาส่ายหัว นึกเห็นภาพร่างๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งแล้วเขานึกเรื่องหลังจากนั้นไม่ออกเลย
ผู้หญิงงั้นเหรอ?!! เขาตรวจตามร่างกาย นอกจากกระดุมสองเม็ดของเสื้อโค้ตก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้แต่กระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือก็ยังว่างอย่างดีอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง…คนแบบไหนกันเนี่ยที่พาเขามาส่งที่นี่?