บทที่ 295
ดินแดนเฮ่ยเฉิง
อันที่จริง หวังฉิงไม่ได้พามู่เทียนและเฟิงจือหลิงกลับไปที่ดินแดนแห่งไฟ ส่วนเรื่องเหตุผลว่าทำไมก็แค่เพราะเขาอยากที่จะเห็นปฏิกิริยาของมู่เทียน
อาทิตย์ต่อมา พวกเธอก็มาถึงดินแดนเฮ่ยเฉิง
ดินแดนเฮ่ยเฉิงเป็นดินแดนที่สามที่อยู่ในโซนที่ไม่ขึ้นอยู่กับดินแดนไหนหรือไม่งั้นดินแดนไหนก็ไม่อยากที่จะมาที่นี่เพราะที่นี่เป็นงานยากของจริง อีกอย่างอีกสามดินแดนก็โลภ ไม่ว่าดินแดนไหนที่พยายามจะโจมตีดินแดนเฮ่ยเฉิง อีกสองดินแดนจะไม่ปล่อยไปแน่นอน
ดินแดนเฮ่ยเฉิงรุ่งเรืองอย่างมาก ไม่ด้อยไปกว่าเมืองหลวงของดินแดนไหนๆเลย มันได้รับการพัฒนาการขนส่งและเชื่อมกับดินแดนทั้งสามดินแดน นอกจากนี้ก็ยังมีประชากรอยู่มากมายด้วย
ที่นี่ยังมีคนอีกมากมายที่คอยดูแลจัดการด้วย เรื่องที่ทำให้มู่หรงประหลาดใจคือระบบการจัดการของดินแดนเฮ่ยเฉิงเป็นประชาธิปไตยอย่างไม่น่าเชื่อ นโยบายทุกอย่างต่างเปิดกว้างและแม้แต่ผู้แทนราษฎรแล้วก็ยังพวกองครักษ์ที่เฝ้าอุปกรณ์อีกก็ยังเป็นสาธารณะ มู่หรงเสวี่ยยืนจ้องมันตาเขม้น
เธอเห็นปืนที่เอวขององครักษ์ที่เฝ้าประตูเมืองจริงๆ
จู่ๆมู่หรงก็ดึงหวังฉิงไว้ “ที่นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
“ที่นี่คือเมืองที่ไม่ได้ปกครองด้วยดินแดนทั้งสาม มีอะไรเหรอ? แม้แต่ความรุ่งเรืองก็เหมือนกับที่เมืองหลวง เจ้าต้องประหลาดใจขนาดนี้เลยเหรอ?” หวังฉิงพูดโดยไม่ได้มีเจตนาอะไร
“ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น องครักษ์ที่ประตูเมือง เจ้าไม่เห็นหรือไง?” มู่หรงเปิดม่านของรถม้าและถามเรื่ององครักษ์ที่ประตูที่ห่างไปไม่ไกล
ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองทำให้หวังฉิงยิ้มด้วยสายตาแล้วเขาก็มองไปในทิศทางที่มู่หรงชี้ “เห็น มีอะไรเหรอ ไม่ใช่องครักษ์ธรรมดางั้นเหรอ? มีอะไรแปลกงั้นเหรอ?”
“เจ้าเห็นของที่พวกเขาคาดไว้ที่เอวหรือเปล่า? ที่ดินแดนของเจ้ามีอะไรแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?” มู่หรงถามด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
ถ้าจิ่วหยวนไม่ได้หลอกเธอ อาวุธและเครื่องมือทางการทหารของดินแดนหิมะที่เธอไปเห็นมาก่อนหน้านี้ก็เทียบไม่ได้กับอะไรตอนนี้เลยสักนิด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอาวุธปืนเลย แม้แต่ดินปืนก็ไม่มี งั้นคำถามคือทำไมดินแดนเฮ่ยเฉิงนี้ถึงได้มีอาวุธที่ล้ำหน้าแบบนี้ได้ล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้เลยใช่ไหม? นอกซะจากว่าในดินแดนเฮ่ยเฉิงนี้จะมีคนที่มาจากอนาคตเหมือนกับเธอ คนที่มีความรู้เรื่องวิวัฒนาการที่ล้ำสมัย
“นั่นเหรอที่ทำให้เจ้าประหลาดใจ?! นั่นเป็นเครื่องประดับไม่ใช่หรือไง?” หวังฉิงถาม
“เจ้าไม่เห็นหรือไง?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย นอกจากที่เมืองหลวงแล้ว ดินแดนเฮ่ยเฉิงก็มีใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วอีกสามดินแดนจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง!
หวังฉิงขมวดคิ้ว “ข้าเห็นแล้ว ข้าเห็นตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อนแล้วแต่เจ้าสิ่งนั้นมันมีอะไรงั้นเหรอ?”
อันที่จริงตอนที่เห็นครั้งแรกเขาเองก็สงสัย เขาเคยขอให้สืบเรื่องนี้แล้ว แต่ไม่ได้เข้ามาดูที่ดินแดนเฮ่ยเฉิง ที่นี่มีการดูแลที่เข้มงวดอย่างมาก อีกอย่างผู้คนที่อยู่ในดินแดนเฮ่ยเฉิงก็ให้การสนับสนุนดินแดนเฮ่ยเฉิงอย่างมากด้วย พูดได้ว่าพวกเขากลมเกลียวและไม่รู้ว่าดินแดนเฮ่ยเฉิงได้เจ้าสิ่งนี้มาครอบครองได้ยังไง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยอยากที่จะเจอกับเจ้าของดินแดนเฮ่ยเฉิงแต่บังเอิญเขาลืมเรื่องนี้ไป
ส่วนเรื่องข่าวก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยและพวกเขาก็ไม่เคยเอามันออกมาใช้เลย เขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่เป็นแบบนั้นเลยเมื่อดูจากปฏิกิริยาของมู่เทียน
“เจ้าไม่เคยเห็นพวกนั้นใช้มันเลยเหรอ?” มู่หรงตามต่อ
หวังฉิงส่ายหัวและมองไปที่มู่เทียน “อะไรนะ? เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร?”
“ไม่!” มู่หรงเสวี่ยตอบอย่างหนักแน่นและไม่คิดที่จะบอกเรื่องพวกนี้กับหวังฉิง เพียงแค่ตอนที่เธอเห็นปืนพก เธอก็ตกใจจนแทบช็อกไปเลย เธอมั่นใจได้เลยว่าในดินแดนเฮ่ยเฉิงนี้จะต้องมีคนจากโลกอนาคตมาที่นี่อย่างแน่นอน
และพวกเขาก็สร้างอาวุธที่ล้ำสมัย ดังนั้นถึงแม้ตอนนี้เธอจะพัฒนามันขึ้นแล้วแต่ก็คงจะสู้กับคนพวกนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
มันเป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความสามารถทางการทหารที่เท่าเทียมกัน เพราะคนที่ทุกข์ทรมานที่สุดก็คือประชาชน เดิมทีเธออยากที่จะช่วยจิ่วหยวน แต่ตอนนี้เธอจะต้องคิดเรื่องนี้ใหม่แล้ว เธอไม่อยากจะสร้างสิ่งชั่วร้ายขึ้นมาซึ่งไม่ใช่เจตนาแรกเริ่มของเธอเลย อย่างแรกเลยเธอจะต้องมั่นใจให้ได้ก่อนว่าผู้ปกครองในดินแดนนี้เป็นคนยังไง
“มีอะไรเหรอ? ทำไมสีหน้าถึงจริงจังขนาดนี้ล่ะ?” หวังฉิงถาม
มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมา “ข้าอยากที่จะเจอผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิง…”
หวังฉิงอ้าปากพูด “เจ้าอยากที่จะเจอผู้นำของดินแดนเฮ่ยเฉิงงั้นเหรอ? ทำไมล่ะ?” ตั้งแต่ที่เธอเห็นอะไรนั่นที่เอวขององครักษ์ เธอก็ดูจะอยู่ในภวังค์
เขามั่นใจมากว่ามู่เทียนจะต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวเจ้าสิ่งนั้นและนี่มันไม่ได้ไร้ประโยชน์เหมือนที่เขาคิดเลย บางทีเขาน่าจะส่งบางคนออกไปตรวจเรื่องนี้อีกครั้งเพื่อดูว่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง
“ทำไม เจ้ารังเกียจหรือไง? ข้าเจอเขาได้ไหม…”
มันก็จริงที่เธอไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเป็นนักโทษเลย หลายวันที่ผ่านมานี้ หวังฉิงดีกับมู่เทียนอย่างมาก ไม่เพียงแค่ว่าเขาไม่แตะต้องตัวเธอเลย เขาเอาอกเอาใส่และใส่ใจอย่างมาก
“ข้าไม่สนใจเรื่องดินแดนเฮ่ยเฉิงหรอก ถ้าเจ้าอยากที่จะเจอเขา มันก็อาจจะเป็นไปไม่ได้ พูดง่ายๆว่าโอกาสมันริบหรี่อย่างมาก…” ถ้าไม่มีอีกสองดินแดนที่กำลังจับจ้องมาที่ดินแดนเฮ่ยเฉิง เขาก็คงจะโจมตีที่นี่ไปแล้วตั้งแต่แรก เขาจะอวดดีและกล้าที่จะเมินเฉยต่อคำเชื้อเชิญนี้ได้ยังไง
อย่างไรก็ตาม หวังฉิงไม่ใช่ผู้ชายที่ทะเยอทะยานอะไรนัก ดินแดนเฮ่ยเฉิงเลยไม่ได้รีบเร่งอะไร ในอนาคตยังมีเวลาให้เก็บกวาดอีกมาก สิ่งที่สำคัญคืออีกสองดินแดนเคยตกลงกับเขาแล้วก่อนหน้านี้เพื่อที่จะเอาชนะดินแดนหิมะ และอีกฝ่ายก็มีความคิดเดียวกับเขา ทุกฝ่ายต่างก็อยากที่จะยืมมือของอีกฝ่ายเพื่อจัดการกับภัยคุกคามของตัวเอง ส่วนที่เหลือก็คือปล่อยให้สองดินแดนสู้กันเองแต่เขาก็กลัวว่าจะยังมีเรื่องอื่นอยู่เบื้องหลังอีก เขาก็คงทำอะไรไม่ได้
ถ้าหวังฉิงรู้ว่าปืนพกคืออะไร เธอเกรงว่าเขาก็คงจะไม่คิดแบบนี้
ถ้ามู่หรงเสวี่ยรู้ว่าอีกฝ่ายมีปืนพก เธอก็คงจะไม่สร้างปืนมากมายขนาดนี้ แต่จากน้ำเสียงของหวังฉิง เธอก็เห็นได้เลยว่าผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงเป็นคนที่ไร้ยางอาย เธอแค่ไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอะไร เขาพยายามที่จะเป็นเจ้าผู้ครองโลกงั้นเหรอ?! อันที่จริงตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่โหดร้าย เธอก็คงจะไม่หยุดเขาหรอก เป้าหมายหลักของเธอก็คือการออกไปจากมิตินี้ ไม่ได้อยากที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาโลก
“เขาจะต้องมาเจอข้า!” มู่หรงพูดอย่างหนักแน่น
หวังฉิงมองไปที่สายตาของมู่เทียน มองลึกลงไป “เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงหรือไง? เขาเป็นคนรักของเจ้าหรือไง?”
ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะคิดแบบนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงเป็นใคร เขาบอกให้ลูกน้องไปสืบเรื่องคนรักของเธอที่ชื่อฮวงฟูอี้ แต่ไม่มีร่องรอยของคนคนนี้เลย ไม่มีแม้แต่ชื่อฮวงฟูอี้ เขาเคยคิดว่ามู่เทียนแค่โกหกเพื่อที่จะหนีไปจากเขา
แต่ตอนที่เขามาถึงเฮ่ยเฉิง เขาก็นึกเรื่องหนึ่งออกนั่นคือ ผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงเป็นผู้ชายที่จู่ๆก็โผล่มา เขามีความสามารถอย่างมาก เขาดึงดินแดนเฮ่ยเฉิงมาเป็นของตัวเองและสร้างฐานทัพทหารก่อนทั้งสามดินแดนจะทันได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ
ทั้งสามดินแดนของเฮ่ยเฉิงไม่อยากที่จะสู้ตรงๆ อย่างไรก็ตามเฮ่ยเฉิงถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายดินแดน พวกเขาต่างก็เป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่ง พวกเขาพยายามที่จะข่มดินแดนไว้ด้วยกำลัง ส่งผลให้เกิดการจลาจลมากขึ้น ไม่เพียงแค่พวกเขาไม่สามารถที่จะกู้เฮ่ยเฉิงไว้ได้แต่พวกเขายังสูญเสียกองกำลังทหารจำนวนมากไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบและควบคุมสมดุลระหว่างอีกสองดินแดนด้วย พวกเขาไม่สามารถที่จะปกครองกองทหารจำนวนมากได้ เพื่อที่ดินแดนอื่นจะได้สามารถใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้
ในช่วงเวลาครึ่งเดือนสั้นๆ ผู้ปกครองแห่งดินแดนเฮ่ยเฉิงแก้ไขอำนาจของเฮ่ยเฉิงและสร้างฐานกองทัพทหารในเฮ่ยเฉิง แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ขยายดินแดนเฮ่ยเฉิงในทั้งสามดินแดนและเหล่าคนเก่งๆก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ย้ายดินแดน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรในเฮ่ยเฉิงเลย ยกเว้นก็แต่ฐานทางทหารซึ่งเฝ้ายามอย่างหนักจนไม่มีสายลับคนไหนผ่านเข้ามาได้เลย ส่วนอื่นที่เหลือของเมืองก็ไม่มีพื้นที่ที่พิเศษอะไร มีชุดนโยบายแปลก ๆ ที่ออกโดยท่านผู้ปกครองของเมือง เขากำลังรอการสนับสนุนชุดความคิดแปลกๆจากท่านผู้ปกครองของดินแดนเฮ่ยเฉิงอยู่ เช่น เรื่องประชาธิปไตย, ความเท่าเทียมของประชาชนและการเป็นพลเรือน
อย่างไรก็ตาม ผลที่ได้มันเกินกว่าที่เขาคิดไว้ ไม่คิดเลยว่าเพราะนโยบายพวกนี้ ดินแดนเฮ่ยเฉิงได้บรรลุถึงความเป็นเอกภาพอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและเราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดินแดนเฮ่ยเฉิงที่เคยวุ่นวายกลับกลายเป็นสงบเรียบร้อยอย่างยิ่ง
เนื่องจากการพัฒนาของเฮ่ยเฉิงและการสิ้นสุดสัญญา 100 ปีของทั้งสามประเทศ ดินแดนทั้งหมดจึงพร้อมที่จะเคลื่อนไหว ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะชนะดินแดนหิมะในคราวเดียว นอกจากนี้ เหตุผลที่พวกเขาเลือกที่จะร่วมมือกับดินแดนแห่งสายลมก็เพราะพวกเขาสนิทกันและดินแดนหิมะอยู่ห่างไปมากกว่าครึ่งและต้องใช้ทรัพยากรทางทหารมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะแก้ปัญหา ดินแดนหิมะที่ไกลที่สุดเองก็ต่อต้านดินแดนเฮ่ยเฉิงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ดินแดนเฮ่ยเฉิงค่อนข้างที่จะเล็กและความแข็งแกร่งของเมืองก็ไม่มากพอที่พวกเขาจะสนใจ
“ไม่หรอก เราอาจจะไม่รู้จักกันแต่เราเป็นคนของโลกเดียวกันแน่ๆ ถึงข้าบอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” มู่หรงพูด
หวังฉิงยิ้มแสยะ “ข้าคิดว่าเจ้าลืมไปอย่างนะ เมื่อเรากลับไปที่ดินแดนแห่งไฟหลังจากที่ไปเยี่ยมดินแดนหิมะ เจ้าจะต้องเป็นองค์หญิงของข้า ไม่สำคัญว่าเจ้าจะมีคนรักหรืออะไรก็ตาม ข้าขอแนะนำให้เจ้าตัดใจให้ได้เร็วที่สุดและรอเวลาที่จะได้เป็นราชินีของข้า”
สีหน้าของมู่หรงเครียดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจ เจ้าเห็นอะไรในตัวข้างั้นเหรอ? ข้าไม่เปลี่ยนใจหรอก! เจ้าจะรักคนที่ไร้หัวใจได้งั้นเหรอ?”
“เฮ้! น่าสนใจ ข้ามันก็แค่คนไร้หัวใจ แล้วทำไมงั้นเหรอ?” หวังฉิงไม่ใช่คนที่จะสั่นคลอนได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
บ้าเอ๊ย เธอต้องยอมรับเลยว่าเธอเป็นคนที่คิดตื้นๆจริงๆ เธอพูดไม่ออกเลย เมื่อเห็นมีดผลไม้บนโต๊ะที่อยู่ในรถม้า มู่หรงเสวี่ยก็รีบหยิบมีดขึ้นมาและกรีดไปที่หน้าตัวเอง เธอกรีดลงไปแรงมากและเลือดก็สาดกระเด็นทันที ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยบิดเบี้ยวเล็กน้อยและเม็ดเหงื่อเย็นๆก็ผุดขึ้นมาที่หน้าผากเธอมากมาย
สีหน้าของหวังฉิงเปลี่ยนไปทันที เขารีบคว้ามีดออกจากมือเธอทันที โยนมันออกไปนอกรถม้าแล้วจับไปที่มือของมู่เทียน “นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง?”
มู่หรงเก็บกดความเจ็บปวดไว้และพูดออกมา “ตอนนี้ข้าไม่ได้มีใบหน้าที่สวยงามแล้ว เจ้าก็ปล่อยข้าไปได้แล้ว”
Related