บทที่ 27 โม่จื่อเหวินและโม่จื่อหลิน
“พี่โม่ ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันมากขนาดนี้” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาอย่างซาบซึ้ง
โม่หลิวเฟิงทำหน้าตาเจ้าเล่ห์พร้อมทั้งโน้มตัวลงมาใกล้หูของมู่หรงเสวี่ยแล้วกระซิบว่า “งั้นเธอจะตอบแทนพี่ยังไง เป็นเธอดีไหม?”
มู่หรงเสวี่ยเขินขึ้นมาทันที “พี่โม่! พี่…กำลังล้อฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย”
“ฮ่า ฮ่า! อย่าเพิ่งโกรธสิ พี่แค่ล้อเล่นน่า” โม่หลิวเฟิงอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีที่ได้เห็นสีหน้าแดงๆของเธอเพราะคำพูดของเขา
“…”
มื้ออาหารจบไปได้ด้วยดีโดยมีโม่หลิวเฟิงคอยหยอกล้ออยู่บ่อยๆและมีโม่จื่อเหวินคอยขัดอยู่เรื่อยๆ
หลังจากทานอาหารเสร็จ โม่หลิวเฟิงก็รับสายด่วนและรีบออกไปก่อน
มู่หรงเสวี่ยและโม่จื่อเหวินออกไปหาโม่จื่อหลินกันต่อ มู่หรงเสวี่ยมองบรรยากาศรอบๆ มีผนังด้านนอกบางส่วนที่ทรุดโทรมประตูเหล็กที่ผุพังเกินกว่าที่เธอคิดไว้มาก
ความจริงคือโม่จื่อเหวินไม่มีทางเลือกมากนัก เพื่อที่จะรักษาอาการป่วยของน้องชาย เขาต้องใช้เงินทั้งหมดที่มีแถมยังต้องขอเกษียณเพื่อออกมาดูแลน้องชายอีกด้วย หลังจากที่เขาลาออกจากกองทัพ เขาก็ได้งานเป็นบอดี้การ์ดมากมาย แต่บางงานก็มองว่าน้องชายเขาเป็นเหมือนภาระถ้าจะต้องมาคอยคุ้มครองเจ้านาย และเพราะรูปร่างหน้าตาของเขาจึงทำให้พวกพ่อแม่ของผู้รับการคุ้มกันไม่ค่อยอยากที่จะจ้างเขาเท่าไร ทำให้พวกเขามีเงินเช่าได้แค่ห้องถูกๆเท่านั้น แต่ถึงแม้บ้านจะดูทรุดโทรมแต่ภายในของยังดูสะอาด
“ขอโทษด้วยนะครับที่คุณต้องมาเห็นแบบนี้” โม่จื่อเหวินพูด
มู่หรงเสวี่ยส่ายหัวและเดินเข้าไปข้างใน
ห้องทั้งห้องมีขนาดประมาณ 30 ตร.ว. ห้องสะอาดมากเพราะทั้งห้องมีเพียงเตียงหนึ่งหลังและเก้าอี้เก่าๆ ที่บนเตียงมีน้องชายของโม่จื่อเหวินนอนอยู่
“พี่ใหญ่ กลับมาแล้วเหรอ? พี่สาวคนสวยนี่ใครกัน?” เด็กหนุ่มที่อยู่บนเตียงมีรอยยิ้มที่มีความสุขอยู่บนใบหน้า
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เด็กหนุ่ม เขาอายุประมาณ 13 ปี เขามีผมสีน้ำตาลอ่อนและมีหน้าตาที่น่ารักมาก ดวงตากลมโตของเขาสดใสราวกับลูกกระต่ายน้อยที่แสนจะไร้เดียงสา สีหน้าที่ขาวซีดของเขาทำให้เขาดูอ่อนแรง อย่างไรก็ตามรอยยิ้มของเขาช่างสวยงามจนเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนไหวไปด้วย เธอมีความรู้สึกที่อยากจะปกป้องเขา เด็กหนุ่มที่สวยงามราวกับดอกไม้ซึ่งแตกต่างจากโม่จื่อเหวิน
“จื่อหลิน วันนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง?” ดวงตาของโม่จื่อเหวินเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนราวกับคนละคน
“พี่ใหญ่ ฉันไม่เป็นไร วันนี้รู้สึกสบายดี พี่ยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าพี่สาวคนสวยนี่เป็นใคร?” โม่จื่อหลินถามอย่างสงสัย
โม่จื่อเหวินมองมาที่มู่หรงเสวี่ยอย่างขอโทษ “เธอเป็นเจ้านายของพี่เอง พี่เพิ่งได้งานใหม่…”
เมื่อได้ยินว่านี่คือเจ้านายของพี่ สีหน้าของโม่จื่อหลินก็แสดงถึงความกลัวขึ้นมานิดหน่อย “คุณหนู ผมแข็งแรงดี ผมจะไม่สร้างปัญหาให้คุณหนูเลย ฝีมือกังฟูของพี่ใหญ่เก่งมากๆเลยนะครับ!” ร่างผอมพยายามที่จะลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงความแข็งแรงของตัวเอง
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกช็อกในหัวใจ พี่น้องสองคนนี้สนิทกันมากจริงๆ! พี่ใหญ่ยอมทิ้งอนาคตเพื่อออกมาดูแลน้องชาย และน้องชายที่กลัวว่าตัวเองจะต้องเป็นภาระของพี่ ในชีวิตที่แล้วเธอยอมยกหัวใจให้ลูกพี่ลูกน้อง เสี่ยวเข่อลี่ไปแต่มันก็ยังไม่พอสำหรับเสี่ยวเข่อลี่ แม้แต่ในชีวิตนี้เสี่ยวเข่อลี่ก็ยังเอาแต่คอยสร้างปัญหาให้เธอ
“ฉันขอเรียกนายว่าเสี่ยวหลินนะ ฉันรู้ว่าพี่ชายนายเก่งมาก ไม่ต้องเป็นห่วงนะฉันคิดว่าจะจ้างพี่นายระยะยาวเลย” มู่หรงเสวี่ยพูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
“ผมจะอยู่ที่นี่และจะไม่สร้างปัญหาให้คุณแน่นอนครับ” ดูเหมือนว่าเขาจะยังเป็นห่วงอยู่ ดวงตากลมโตของโม่จื่อหลินดูกังวล
ดูเหมือนว่าเจ้านายคนก่อนจะไม่ชอบเขาและปล่อยให้เขาอยู่แต่ในเงามืด มู่หรงเสวี่ยรู้สึกไม่พอใจที่พวกเขาทำร้ายความรู้สึกของเด็กน้อยแบบนี้ได้ลงคอ
“จื่อหลิน ร่างกายของนายยังไม่แข็งแรงดีนัก ไม่ต้องห่วงคุณหนูเป็นคนมีเมตตามาก” โม่จื่อเหวินรู้สึกกดดันกับเรื่องน้องชายนิดหน่อย พวกเขาต้องพึ่งกันและกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แม่ของพวกเขาตายตอนที่คลอดน้องชายและน้องชายก็ร่างกายอ่อนแอและมีปัญหาเรื่องหัวใจ และเพราะพ่อของพวกเขาทนแบกภาระค่าใช้จ่ายเรื่องลูกชายที่ป่วยไม่ไหว เขาจึงแอบหนีไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย นอกจากนี้พวกญาติๆและเพื่อนๆต่างก็หลบหน้าและไม่แม้แต่จะเปิดประตูต้อนรับพวกเขาด้วยซ้ำ
ในช่วงแรกๆอาการของโม่จื่อหลินไม่ได้รับการดูแลเพราะความยากไร้ ต่อมาพวกเขาได้เจอกับคุณยายใจดีที่รับพวกเขามาเลี้ยง เพื่อที่จะให้น้องชายได้รับการรักษาที่ดี เขาจึงเข้ารับราชการในกองทัพในช่วงเช้าและรีบกลับมาดูแลน้อง เงินทั้งหมดที่เขาได้มาจากการรับราชการในกองทัพถูกใช้เพื่อรักษาน้องชายจนหมด จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วที่คุณยายตายจากไป พวกเขาหัวใจสลาย โม่จื่อหลินถึงกับเป็นลมหมดสติไปหลายครั้ง
หลังจากที่ใช้เวลาทำใจอยู่นานและเพราะต้องดูแลน้องชาย โม่จื่อเหวินจึงเกษียณออกมา ใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ โม่จื่อหลินจะเชื่อจริงๆว่าเธอไม่ได้เกลียดเขาแล้วหลังจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข หลังจากนั้นสักพักเขาก็ผล็อยหลับไปเพราะความอ่อนแรง
หลังจากที่ได้เห็นเสี่ยวหลินหลับ มู่หรงเสวี่ยก็ทำท่าให้โม่จื่อเหวินออกไปคุยกันข้างนอก
พอออกมา มู่หรงเสวี่ยก็ถามเกี่ยวกับเรื่องอาการของเสี่ยวหลิน “พี่จื่อเหวิน เสี่ยวหลินเป็นโรคอะไรงั้นเหรอ? รักษาได้ไหม?”
โม่จื่อเหวินถอนหายใจและพูดออกมาอย่างหนักใจ “จื่อหลินเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด แล้วตอนเด็กๆเขาไม่ได้รับการดูแลที่ดีเท่าที่ควร เขาต้องหาหมอมาตั้งแต่เด็ก ได้รับยามากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เคยบ่นอะไรเลย แต่ตรงกันข้ามอาการกลับแย่ลงเรื่อยๆ”
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว พี่จื่อเหวินอยากที่จะปกป้องเธอ นี่ยังไม่พูดถึงว่าตอนนี้เธอไม่กังวลเรื่องนั้นแล้วด้วย เดิมทีเธออยากจะซื้อห้องที่อยู่ข้างๆให้พวกเขาอยู่ แต่ตอนนี้เธอเป็นห่วงว่ามันจะไม่ดีที่ปล่อยให้เสี่ยวหลินต้องอยู่คนเดียวระหว่างที่จื่อเหวินและเธอออกไปข้างนอก และถึงแม้พวกเขาจะจ้างคนมาดูแลแต่ก็ต้องเสียเงินจ้างพยาบาลและก็อาจจะดูแลได้ไม่ดี
มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพักแล้วจึงพูดออกมา “พี่จื่อเหวิน ฉันคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าให้เสี่ยวหลินไปอยู่ที่บ้านฉัน พ่อแม่ฉันเป็นคนง่ายๆและป้าหวู่ก็ไว้ใจได้ด้วย มีคนงานมากมายจึงน่าจะดูแลเสี่ยวหลินได้ดีกว่า พี่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย แล้วฉันก็สบายใจด้วย พี่คิดว่าไงบ้าง?”
โม่จื่อเหวินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินว่าเขากำลังจะได้เข้าไปอยู่ในตระกูลมู่หรง เขาเคยเห็นการต่อสู้ในตระกูลใหญ่ๆมามากมาย ที่สำคัญที่สุดเขาก็เป็นห่วงว่าจื่อหลินจะเข้าใจผิด เขาจึงตอบออกไปว่า “ไม่ล่ะครับ ผมให้จื่อหลินมาอยู่กับผมดีกว่า”
มู่หรงเสวี่ยเห็นความกังวลของจื่อเหวินเช่นกัน ยังไงซะพวกเขาก็เพิ่งเจอกันวันนี้เองและรู้สึกว่ามันสมควรแล้วที่จะต้องกังวล “พี่จื่อเหวิน งั้นฉันจะจัดให้พวกพี่ได้อยู่ด้วยกันนะ ถ้าพี่ว่างเราค่อยไปที่บ้านฉันกันดีไหม? แล้วถ้าตอนนั้นพี่ยังไม่สบายใจฉันก็จะไม่บังคับให้เสี่ยวหลินไปอยู่ที่บ้านมู่หรงอีก”
โม่จื่อเหวินรู้สึกโล่งใจที่เขาได้เจอกับเจ้านายที่ดีมากๆ เขามีความรู้สึกดีๆกับมู่หรงเสวี่ยอย่างมากจึงพยักหน้าเห็นด้วยไป
“งั้นเดี๋ยวตอนนี้ฉันจะกลับไปถามเพื่อนบ้านว่ามีห้องใกล้ๆขายบ้างหรือเปล่า จะได้จัดให้พวกพี่ได้อยู่ด้วยกันไปก่อน พี่จะอยู่ที่นี่กับน้องชายหรือว่าจะกลับไปกับฉันล่ะ?” โม่จือเหวินหันไปมองจื่อหลินที่กำลังหลับ เขาลังเลว่าจะปลุกน้องดีหรือไม่อยู่สักพัก นอกจากนี้เขาก็ไม่อยากให้เจ้านายต้องกลับไปตามลำพังด้วย “ผมจะไปด้วย”
“งั้นไปกันเถอะ”
ไม่นานพวกเขาก็กลับเข้ามาในเมือง
มู่หรงเสวี่ยและโม่จือเหวินเข้าไปที่สำนักงานขายและถามเรื่องนี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีบ้านที่ฝั่งซ้ายซึ่งเล็กกว่าบ้านของเธอหน่อยที่ว่าง และบังเอิญว่ามีสองห้องนอนและหนึ่งห้องนั่งเล่นซึ่งได้รับการตกแต่งไว้อย่างดีและพร้อมให้ย้ายเข้ามาอยู่ได้ทันที
มู่หรงเสวี่ยรีบจ่ายค่าเช่าเต็มจำนวน และทำสัญญาแล้วจึงพาโม่จื่อเหวินขึ้นไปดูว่าห้องเป็นยังไง และอีกอย่างเธอก็คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ด้วย บอกตามตรงว่าโม่จื่อเหวินรู้สึกตื้นตันอย่างมาก เขาคิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะเช่าห้องธรรมดาๆให้เขาอยู่ เขาไม่ได้คิดว่าจะได้มาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีขนาดนี้ เขาไม่สนใจเลย แต่อาการของน้องชายเขาคงจะดีขึ้นมาก ถ้าได้มาอยู่ในที่แบบนี้
มู่หรงเสวี่ยส่งกุญแจให้โม่จื่อเหวิน “พี่จื่อเหวิน ต่อจากนี้พี่จะอยู่ที่นี่นะ เสี่ยวหลินก็จะได้กุญแจด้วย ฉันอยู่ห้องข้างๆแล้วจะให้กุญแจพี่เผื่อไว้ด้วย”
“ครับ คุณหนู”
“พี่จื่อเหวิน ต่อไปเรียกฉันว่าเสี่ยวเสวี่ยก็พอ พี่ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหนูหรอก ฉันไม่มีกฎอะไร หน้าที่หลักก็แค่ปกป้องฉันแค่นั้นพอ” มู่หรงยิ้มอย่างอ่อนโยน
“โอเคครับคุณ…เอ่อ…เสี่ยวเสวี่ย!” โม่จื่อเหวินกำลังจะเรียกเธอว่าคุณหนูอีกครั้งแต่แล้วก็รีบเปลี่ยนในทันที
อยู่ดีๆประตูที่อีกฝั่งของห้องก็เปิดออก ชูอี้เสิ่นเห็น มู่หรงเสวี่ยที่ทางเดินและต้องตะลึงไปชั่วครู่ แล้วก็เริ่มยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ “เสี่ยวเสวี่ย ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ล่ะ? ฉันกำลังตามหาเธออยู่เลย”
มู่หรงกลอกตาและนึกอยากที่จะทำให้เขาเจ็บอีกครั้ง!
ชูอี้เสิ่นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับท่าทางน่ารักของเธอ
“เข้าไปคุยข้างในกันเถอะ” มู่หรงเสวี่ยชี้เข้าไปที่ห้องเธอ
เมื่อโม่จื่อเหวินเดินตามเข้าไปด้วย ชูอี้เสิ่นก็หยุดเล็กน้อย “เขาเป็นใคร? เดินตามเข้ามาด้วยได้ยังไง?”
มู่หรงเสวี่ยพูดอะไรไม่ออก ทำไมน้ำเสียงเขาเหมือนกับว่าเธอเป็นเมียที่กำลังจะนอกใจเขางั้นล่ะ?! “เขาเป็นเพื่อนฉัน ให้เขาเข้ามาได้” หลังจากที่พูดจบและมองไปที่ชูอี้เสิ่น เธอก็คว้ามือของชูอี้เสิ่นที่พยายามขวางโม่จื่อเหวิน
เมื่อมองที่มือเล็กๆของเธอ ชูอี้เสิ่นก็ถึงกับหัวเราะออกมาเบาๆ
คนสามคนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น มู่หรงเสวี่ยพูดถามออกมาตรงๆ “พี่ชู พี่บาดเจ็บอีกแล้วงั้นเหรอ?!!” แล้วมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ทำไมเหรอ พี่อ่อนแอจนต้องเจ็บตัวอยู่บ่อยๆเลยงั้นเหรอ?” ชูอี้เสิ่นรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เขาทำให้มู่หรงเสวี่ยมองว่าอ่อนแอได้ยังไงกัน?!
มู่หรงเสวี่ยมองเขาด้วยท่าทางดูถูก “ก่อนหน้านี้ฉันก็เห็นพี่บาดเจ็บมาตั้งสองครั้งแล้วนี่!”
“มันเป็นอุบัติเหตุ! เอ๊ะ! เสี่ยวเสวี่ยเป็นห่วงพี่งั้นเหรอ?”
เอาสมองที่ไหนมาคิดเนี่ย?!!
“มองฉันทำไมเหรอพี่ชู?”
“พี่ขอคุยด้วยตามลำพังได้ไหม?” ชูอี้เสิ่นมองไปที่โม่จื่อเหวิน
โม่จื่อเหวินไม่สนใจ เขาฟังเพียงแค่มู่หรงเสวี่ยเท่านั้น ส่วนคนอื่นเขาไม่สนใจ
“พี่จื่อเหวินเป็นคนของฉัน ถ้าพี่มีอะไรจะพูดก็พูดมาได้เลย” มู่หรงเสวี่ยไว้ใจโม่จื่อเหวินเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาเป็นคนที่ดี อย่างที่สองเขาเป็นห่วงน้องชายตัวเอง แต่ชูอี้เสิ่นไม่คิดแบบนั้น เมื่อได้เห็นท่าทางของมู่หรงเสวี่ยที่เชื่อใจชายคนนี้มาก เขาก็บอกได้เลยว่าตัวเองหึงอย่างมากแต่ก็รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงอาการอะไรออกไป
ไม่นานชูอี้เสิ่นก็พูดออกมาว่า “งั้น เธอซื้อยาที่เอามารักษาพี่ครั้งที่แล้วจากที่ไหนเหรอ? มันใช้ดีกว่ายาทั่วๆไปอีก พี่อยากจะซื้อมาใช้เองบ้างก็แค่นั้น”