บทที่ 34
นกตัวแรก
เสี่ยวเข่อลี่ดูเหมือนจะตกใจขึ้นมาทันที พร้อมทั้งร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง “คุณป้า หนูไม่อยากทำเลย จริงๆนะคะ แต่หนูตกหลุมรักกับคนคนหนึ่ง…แต่…เสี่ยวเสวี่ย เธอได้ทุกอย่างอยู่แล้ว…แล้วทำไมเธอต้องมาพรากคนคนเดียวที่หนูรักไปด้วย..”
ราวกับว่านี่เป็นการสำนึกผิดอย่างใหญ่หลวง เสี่ยวเข่อลี่ร้องไห้และเอามือตบหน้าที่นวลขาว “คุณป้า, คุณป้าคะ หนูไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงหมกมุ่นนัก จริงๆนะคะ…คุณป้า…ขอร้องล่ะค่ะยกโทษให้หนู…”
จางเข่อเหรินมองที่หน้าเธอที่ทั้งแดงและบวมจากน้ำมือตัวเธอเอง เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะสำนึกผิดได้จริงๆเมื่อนึกถึงคำโกหกซ้ำไปซ้ำมาและน้ำเสียงโหดร้ายที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ เธอรู้สึกเสมอว่าหลานสาวของเธอมักจะทำให้เธอรู้สึกกังวลใจ
เสียงตบหน้ายังดังต่อเนื่อง เสียง “เปี๊ยะ เปี๊ยะ เปี๊ยะ เปี๊ยะ” ฟังดูจริงอย่างมาก ซึ่งมองได้ว่าเสี่ยวเข่อลี่รุนแรงกับตัวเองอย่างมาก ถ้าในอนาคตเสี่ยวเสวี่ยยังคบกับเธออยู่ ทันใดนั้นจางเข่อเหรินก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาและคิดว่าจะหยุดเรื่องนี้ไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคต
“คุณป้า หนูแค่หลงผิดไปชั่วขณะจริงๆนะคะ จริงๆนะคะ หนูรู้แล้วว่าตัวเองผิด…”
“พอได้แล้ว!” จางเข่อเหรินตะโกนออกมาเสียงดัง
แล้วหันไปหาผู้กำกับ พร้อมทั้งพูดว่า “ผู้กำกับฟาง เสี่ยวเข่อลี่ยังเป็นผู้เยาว์ งั้นฉันขอประกันตัวได้ไหมคะ?”
ผู้กำกับฟางพยักหน้า “แน่นอนครับ งั้นเชิญที่ออฟฟิศเพื่อทำเอกสารกันได้เลยครับ!”
เมื่อจางเข่อเหรินเดินออกไปเพื่อจัดการเอกสาร เสี่ยวเข่อลี่ยังอยู่ในห้องคุมตัว ในเวลานี้เธอยังอยู่ในห้องคุมตัวและรู้สึกเศร้าอย่างมาก ดวงตาของเธอดุร้าย สีหน้าดำมืดและมีรอยยิ้มแห่งความภูมิใจ
สีหน้าของจางเข่อเหรินเยือกเย็นตอนที่พาเสี่ยวเข่อลี่กลับไปที่บ้านมู่หรง เสี่ยวเข่อลี่ยืนอยู่ข้างหลังจางเข่อเหริน ก้มหัวเล็กน้อยและทำเสียงสะอื้นเบาๆตลอดทาง
เสี่ยวเข่อลี่มองป้าของเธอที่กำลังเดินด้วยใบหน้าเย็นชาที่อยู่เบื้องหน้าเธอ เธอไม่รีบร้อนอะไร ตราบใดที่เธอสำนึกผิดและกลับตัวกลับใจยังไงป้าของเธอก็ต้องให้อภัย เธอสังเกตเห็นว่าก่อนหน้านี้ในห้องคุมตัวป้าของเธอมีสติอย่างมาก คุณป้าเป็นคนใจอ่อน เธอไม่มีทางใจร้ายและทิ้งคนในการปกครองได้หรอก ครั้งหน้าเธอต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้
ไม่มีใครสังเกตเห็นสายตาที่บ้าคลั่งของเสี่ยวเข่อลี่ตอนที่เธอก้มหัวต่ำเลย
ในทางเดินบ้านมู่หรง
มู่หรงเฟิงหัวและภรรยา, มู่หรงเสวี่ยและโม่จื่อเหวินต่างก็จ้องมาที่เสี่ยวเข่อลี่ที่กำลังคุกเข่าอยู่กลางห้องนั่งเล่น
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่สำนึกผิดของเธอ ทุกภาพก็สะท้อนกลับมา มู่หรงเสวี่ยต้องชื่นชมเสี่ยวเข่อลี่เลย เพราะเธอถามตัวเองว่าถ้าเป็นเธอ เธอก็คงไม่สามารถที่จะทำเรื่องที่โหดร้ายแบบนี้ได้แน่นอน มองที่ผิวนวลที่กลายเป็นสีแดง ใบหน้าทั้งหน้าบวมไปหมด มู่หรงเสวี่ยหันไปมองพ่อแม่อีกครั้ง อย่างที่คาดไว้ ความสงสารแวบขึ้นมาในสายตาของพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพราะการกลับมาเกิดใหม่ของเธอ เธอก็คิดว่าครั้งนี้ตัวเองก็คงจะยกโทษให้เสี่ยวเข่อลี่เหมือนกัน สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจที่สุดคือ โม่จื่อเหวินที่มีใบหน้าเย็นชาตั้งแต่ต้นจนจบ และนั่นใช่สายตาที่อยากจะฆ่าเสี่ยวเข่อลี่ในสายตาเขาหรือเปล่า?! พวกเขาเคยมีเรื่องกันมาก่อนหรือเปล่า
เสี่ยวเข่อลี่แน่นอนว่าเมื่อเห็นร่องรอยความสงสารในสายตาของมู่หรงเฟิงหัว เธอก็ร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม คนที่ไม่รู้ก็คงจะคิดว่าพ่อแม่ของเธอตาย บ้าเอ่ย! นั่นมันโกหกชัดๆ! พ่อแม่เธอตายไปนานแล้วและในตอนนั้นเธอก็ไม่ได้ร้องไห้หนักขนาดนี้ด้วย
มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเธอประเมินความโหดเหี้ยมของเสี่ยวเข่อลี่ต่ำไป ในตอนนั้นเสี่ยวเข่อลี่ร้องไห้เพียงแค่ครั้งเดียว สีหน้าของเธอแสดงความเศร้าเพียงเล็กน้อยแต่เธอไม่ได้โศกเศร้ามากขนาดนั้น ในตอนนั้นมู่หรงเสวี่ยคิดว่าเสี่ยวเข่อลี่แค่แกล้งทำเป็นเข้มแข็ง แม้แต่พ่อกับแม่ของเธอเองก็ยังเอาอกเอาใจเสี่ยวเข่อลี่อย่างดี เธอปฏิบัติกับเสี่ยวเข่อลี่เหมือนเป็นพี่สาว
ถึงแม้เธอจะกลับมาเกิดใหม่ได้สักพักแล้วแต่เธอก็ยังรู้สึกเย็นยะเยือกอยู่เลย
เสี่ยวเข่อลี่สารภาพไปเรื่อยๆพร้อมกันนั้นก็เฝ้าสังเกตอาการของคนรอบข้างไปด้วย มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาทั้งคู่ต่างมีร่องรอยความเหลือทนอยู่ในสายตา
มองมาที่มู่หรงเสวี่ยที่กำลังมองมาที่เธออย่างเย็นชา ช่วงหลังๆมานี้มู่หรงเสวี่ยมองเธอทะลุปรุโปร่งมากขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าอยู่ดีๆมู่หรงเสวี่ยจะดูสวยขึ้นมาด้วย ทำให้เธอห้ามไม่ได้ที่จะอิจฉาขึ้นมา มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง อย่างน้อยก็หลังจากที่เธอเข้ามาอยู่ในตระกูลมู่หรง
นอกจากนี้ยังมีผู้ชายที่เธอไม่เคยเห็นอยู่ด้วยซึ่งรูปร่างหน้าตาชวนให้หลงใหลจริงๆ ทำไมเนี่ย? ทำไมข้างกายมู่หรงเสวี่ยถึงได้มีแต่ผู้ชายหน้าตาดีๆเสมอเลย และนั่นทำให้รู้ว่าเธอคงพลาดเพราะผู้ชายคนนี้แน่ๆ เธอร้องไห้อย่างน่าสงสารซึ่งถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปก็คงจะกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้ว
ผู้ชายคนนี้ไม่เพียงแต่มองเธอต่างไปแต่ยังมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชาอีกด้วย ทันทีที่เธอเห็นก็รู้ได้เลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะยั่วยวนได้ง่ายๆแน่ๆ ถึงแม้จางเข่อเหรินจะมีแววตาแห่งความสงสารแต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าลูกสาวของเธอ
“โอเค ไม่ต้องร้องแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะสมัครโรงเรียนที่เมืองนอกให้เธอ หลังจากนั้นเธอก็ไปดูแลตัวเอง”
ไปเมืองนอกงั้นเหรอ?! ไม่ ไม่เอา เสี่ยวเข่อลี่รีบลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าจางเข่อเหรินทันที พร้อมทั้งร้องไห้และพูดว่า “คุณป้าคะ หนูไม่อยากไปต่างประเทศ คุณป้า…หนูขอร้องนะคะ…พ่อแม่หนูตายหมดแล้ว…ถ้าหนูไปอยู่ต่างประเทศหนูก็จะไม่เหลือใครเลย…”
“คุณป้าคะ ขอร้องเถอะนะคะ…หนูรู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว…ช่วยยกโทษให้หนูด้วยนะคะเห็นแก่หน้าพ่อแม่หนูเถอะนะคะ…คุณป้า…”
ถึงแม้ป้าของเธอจะหวั่นไหวแต่ก็ยังไม่ยอมตามที่เธอขอ เธอจึงคลานไปหาลุงที่ไม่พูดอะไรแทน “คุณลุง หนูรู้ตัวแล้วจริงๆว่าตัวเองทำผิด…ขอร้องล่ะค่ะ…ถ้าคุณลุงไม่ว่าหนูไปเรียนโรงเรียนที่ต่างจังหวัดก็ได้…ขอร้องล่ะค่ะ…ตราบใดที่หนูไม่ต้องไปต่างประเทศ หนูยอมทั้งนั้น…”
มู่หรงเฟิงหัวขมวดคิ้ว แล้วหันมามองที่ลูกสาว “เสี่ยวเสวี่ย ลูกจะว่ายังไง?” ยังไงซะ เขาก็ต้องดูแลความรู้สึกของลูกสาวก่อน
มู่หรงเสวี่ยแสยะ เธอรู้ว่าเสี่ยวเข่อลี่กำลังคิดอยากที่จะอยู่ต่อ งั้นเธอก็จะทำให้เสี่ยวเข่อลี่เสียใจที่เลือกที่จะอยู่ต่อ
“พ่อคะ แม่คะ ช่างมันเถอะค่ะ ในเมื่อเธอไม่อยากที่จะไปเมืองนอก งั้นก็อยู่ต่อเถอะ” จางเข่อเหรินและมู่หรงเฟิงหัวต่างก็ขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย “เสี่ยวเสวี่ย…”
“พ่อคะ แม่คะ อย่าลืมว่าหนูมีพี่จื่อเหวินที่คอยดูแลหนูแล้ว ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ปล่อยให้เธออยู่ต่อเถอะค่ะ ไม่งั้นคงไม่ดีถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปว่าตระกูลมู่หรงของเราทอดทิ้งเด็กกำพร้า” มู่หรงเสวี่ยดึงแขนโม่จื่อเหวิน
เมื่อมองมือเล็กๆที่กำลังดึงแขนเขา เขามีความสุขมาก นี่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ แต่สำหรับเสี่ยวเข่อลี่ เขาไม่ได้ใจดีเหมือนกับเสี่ยวเสวี่ย เมื่อกี้เขาเห็นว่าเธอพยายามที่จะยั่วยวนเขาอยู่สักพัก ด้วยท่าทางที่ไม่สลดเลยของเธอทำให้เขารู้สึกทึ่งจริงๆ เขารู้สึกรังเกียจเด็กสาวคนนี้ที่เพิ่งจะเจอเป็นครั้งแรกจริงๆ
มู่หรงเฟิงหัวและภรรยาปรึกษากันและพวกเขาจะยังไม่ส่งเสี่ยวเข่อลี่ไปต่างประเทศ สิ่งที่เสี่ยวเสวี่ยพูดมีเหตุผล นอกจากนี้เสี่ยวเสวี่ยก็บอกให้เธออยู่ต่อด้วย ถึงแม้พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับเธอ แต่ในอนาคตพวกเขาจะใส่ใจให้มากกว่านี้ แต่เธอก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุ 15 และยังไม่มีสัญญาณอันตรายอะไร
ในตอนนี้พวกเขายังไม่รู้เรื่องนั้นเพราะการปล่อยให้เธออยู่ต่อ ทำให้ตระกูลมู่หรงเกือบจะต้องตาย
ในวันเดียวกันนั้น เสี่ยวเข่อลี่ก็ต้องย้ายออกจากบ้าน มู่หรง เธอพูดทั้งน้ำตาว่ารู้สึกอับอายตระกูลมู่หรงและไม่มีหน้าพอที่จะอยู่ในบ้านมู่หรงอีก เสี่ยวเสวี่ยถามว่าเธอย้ายไปอยู่ที่ไหนแต่เธอก็เอาแต่พูดเรื่องอื่น
ขอโทษนะ?! เธอกลัวว่าตระกูลมู่หรงจะตามดูเธองั้นเหรอ!? มู่หรงเสวี่ยไม่หลงเชื่อเธอเหมือนในชีวิตที่แล้วอีกแล้ว ตอนนี้คำพูดของเสี่ยวเข่อลี่เชื่อถือไม่ได้สักคำ
เสี่ยวเข่อลี่ เธอคิดว่าการแสดงของเธอทำได้สมบูรณ์แบบทุกครั้งงั้นเหรอ?! กลับไปที่อะพาร์ตเมนต์มู่หรงเสวี่ยขอให้ พี่จื่อเหวินอัปโหลดวิดีโอของเสี่ยวเข่อลี่ลงในเว็บไซต์ของโรงเรียน
แล้วตระกูลมู่หรงล่ะ? ถึงแม้พวกเขาจะดูแลลูกสาวอย่างรัดกุม เสี่ยวเข่อลี่ที่เพิ่งจะย้ายเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์สุดหรูก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ช่างโง่และใจดีกันจริงๆ สักวัน ตระกูลมู่หรงจะต้องมาหาเธอ
เช้าวันจันทร์ที่โรงเรียนมัธยม ก็เกิดคลื่นของการถกเถียง
มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าโรงเรียนอย่างมีความสุข เหมือนกับครั้งก่อนที่นักเรียนมากมายกำลังยืนคุยกัน แต่ตัวเอกของเรื่องกลับเปลี่ยนไป เสี่ยวเข่อลี่ ในสถานการณ์แบบนี้เธอจะทำยังไง?! เธอตั้งตารอที่จะได้เห็นปฏิกิริยาของเสี่ยวเข่อลี่ เธอไม่รู้ว่าจะมีใครที่เชื่อคำพูดของเธออีก
“สวัสดี ได้ยินเรื่องที่ทั้งโรงเรียนคุยกันไหม?”
“ได้ยินสิ เธอไม่ได้ยินหรือไง?! โอ้ พระเจ้า ฉันไม่คิดเลยว่าที่โรงเรียนของเราจะมีคนที่เลวขนาดนี้อยู่ด้วย”
“จำเรื่องของมู่หรงเสวี่ยก่อนหน้านี้ได้ไหม?”
“จำได้สิ มีอะไรเหรอ?”
“ฉันว่าน่าจะเป็นฝีมือเสี่ยวเข่อลี่นะ”
“พระเจ้า นั่นมันเลวร้ายมากเลยนะ ฉันไม่คิดเลยนะว่าหน้าตาสวยแบบนั้นอ่ะจะโหดได้ถึงขนาดนี้”
“เธอพูดตลอดเลยไม่ใช่เหรอว่ามู่หรงเสวี่ยคือเพื่อนแท้และเป็นพี่สาวสุดที่รักอ่ะ?
“เขาพูดกันว่าตระกูลมู่หรงประกันตัวเธอออกมางั้นเหรอ?”
“อะไรนะ? จะให้ออกมาฆ่าลูกสาวตัวเองหรือไง”
“โชคดีนะที่มีคนช่วยมู่หรงเสวี่ยไว้ได้”
“ฉันเคยคิดนะว่าเสี่ยวเข่อลี่เป็นคนดีมากๆเลย”
“ฉันไม่กล้าเข้าใกล้เธอเลยอ่ะ”
“…”
เสี่ยวเข่อลี่กำลังจะบ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทุกคนรู้เรื่องได้ยังไงเนี่ย?!!!
มู่หรงเสวี่ย ต้องเป็นฝีมือนั่งนั่นแน่ๆ!!! ฉันควรจะทำยังไงดีเนี่ย? ควรจะทำยังไงดี? ทุกคนรู้เรื่องหมดแล้ว งั้นพี่ฟางก็น่าจะรู้ด้วยสิใช่ไหม?! อ่า!!! ไม่จริงอ่ะ! ฉันต้องตั้งสติ! ตราบใดที่ฉันไม่ยอมรับและแกล้งทำเป็นอ่อนแอก็คงไม่มีปัญหา ใช่แล้ว! ต้องทำแบบนี้แหละ!
เสี่ยวเข่อลี่ที่แอบอยู่ข้างนอก ใต้ต้นไม้เล็กๆกลับมามีสีหน้าจริงจังอีกครั้ง
“หวังหยาน เห็นหน้าฉันแล้วเธอทำเป็นวิ่งหนีได้ยังไงกันฮะ?” เสี่ยวเข่อลี่เจอเข้ากับหวังหยานที่มักจะตื่นเต้นเสมอเมื่อได้เจอเพื่อนร่วมชั้นของเธอ
เมื่อหวังหยานเห็นว่าตัวเองวิ่งหนีไม่ทันแล้ว จึงหันกลับมาแล้วมองที่เสี่ยวเข่อลี่ “เสี่ยวเข่อลี่ ฉันไม่คิดเลยนะว่าเธอจะเป็นคนเลวแบบนั้นได้?”
น้ำตาของเสี่ยวเข่อลี่ไหลริน “หวังหยาน ฉันเป็นคนแบบไหน? เธอไม่รู้หรือไง? เธอเป็นเพื่อนรักฉันนะ ไม่เชื่อฉันหรือไง?”
หวังหยานจำได้ว่าเสี่ยวเข่อลี่ดีกับเธอมากๆ พื้นฐานครอบครัวของเธอไม่ได้ดีเท่าไร แต่เสี่ยวเข่อลี่มักจะให้ของขวัญราคาแพงที่เธอไม่มีปัญญาซื้อเองเสมอ ยิ่งกว่านั้นเธอไม่เคยเห็นเสี่ยวเข่อลี่หงุดหงิดเลยและเธอมักจะอ่อนโยนและยิ้มกับเธอเสมอ เทปบันทึกเสียงเป็นของปลอมหรือเปล่านะ?!
“แต่แล้วเรื่องเทปบันทึกเสียงล่ะ?” น้ำตาของเสี่ยวเข่อลี่ยิ่งไหลมากขึ้นกว่าเดิม “ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า…”
หวังหยานมองท่าทางที่น่าสงสารของเพื่อนเธอ อันที่จริงในใจเธอก็ยังเชื่ออยู่มากเหมือนกัน “เข่อลี่ ในเมื่อมันเป็นของปลอม แล้วมู่หรงเสวี่ยรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงไม่อธิบายเรื่องนี้แทนเธอล่ะ?”
สีหน้าของเสี่ยวเข่อลี่ซีดมากกว่าเดิม “เธอก็รู้ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องฟางฉีฮัวที่เรียนห้องเดียวกันก็ทำให้เสี่ยวเสวี่ยโกรธฉันอยู่และฉันก็ไม่อยากที่จะกวนเธอด้วย…”
“เธอทำแบบนี้ได้ยังไง? นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ ฉันจะช่วยเธอตามหามู่หรงเสวี่ยเอง ฉันคิดว่าเสี่ยวเสวี่ยเข้าใจเธอผิดนะ อีกอย่างเสี่ยวเสวี่ยเป็นคุณหนูของตระกูลมู่หรง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะทำเทปปลอมแบบนี้ขึ้นมาใช่ไหม?” หวังหยานเป็นเด็กทำอะไรรวดเร็ว ทันทีที่เธอพูดจบก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องเรียนทันที เพื่อที่จะหาบางคนให้มาแก้ไข้เรื่องนี้
“หวังหยาน มันไม่เกี่ยวอะไรกับเสี่ยวเสวี่ยเลยนะ กลับมาก่อน…” เสียงตะโกนอย่างตื่นตกใจระหว่างที่ออกวิ่งตามแต่เสี่ยวเข่อลี่วิ่งไม่ได้เร็วอย่างที่ใจหวัง
มู่หรงเสวี่ยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังคุยอย่างสนุกสนานกับโม่อ้ายลี่อยู่ ถูกตีอย่างแรงเข้าที่ไหล่เลยต้องหันกลับมาดูและเห็นว่าเป็นหวังหยาน เธอจึงถามอย่างนุ่มนวลไปว่า “หวังหยาน มีอะไรเหรอ?”
“มู่หรงเสวี่ย ทำไมเธอถึงโหดร้ายขนาดนี้? ถ้าเธอรู้อยู่แล้วว่าเทปมันเป็นของปลอม แล้วทำไมถึงไม่ช่วยเสี่ยวเข่อลี่อธิบายเรื่องนี้ หัวใจเธอทำด้วยอะไร?” หวังหยานชี้หน้ามู่หรงเสวี่ยด้วยความโกรธ เสียงของเธอดังจนทั่วทั้งห้องได้ยินไปด้วย
โม่อ้ายลี่โกรธอย่างมากที่หวังหยานกล้ามาว่าเพื่อนของเธอแบบนี้ เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?! “นี่เธอกำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ย! นี่เธอบ้าไปแล้วหรือไง? เสี่ยวเข่อลี่เป็นผู้หญิงโหดร้ายแต่เธอก็ยังไปคุยกับเข่อลี่อีก ฉันก็ไม่คิดว่าเธอเป็นคนดีเท่าไรหรอกนะ!”
มู่หรงเสวี่ยแตะที่ตัวโม่อ้ายลี่ ซึ่งที่กำลังแปลกใจมากว่าทำไมเธอถึงไม่โกรธเลย แล้วเธอก็หันกลับไปหาหวังหยานและถามว่า “ใครเป็นคนบอกเธอว่าเทปเป็นของปลอม เสี่ยวเข่อลี่งั้นเหรอ?”
“จะบอกฉันว่าอะไร?! เสี่ยวเข่อลี่เป็นคนที่ดีกับทุกคนมากเธอทำเรื่องที่โหดร้ายแบบนี้ได้ยังไง เทปนั่นทำขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายเสี่ยวเข่อลี่ชัดๆ” ยิ่งหวังหยานคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงมากขึ้นเท่านั้น
เด็กนักเรียนที่อยู่รอบๆห้องต่างก็เริ่มซุบซิบ
มู่หรงเสวี่ยแสยะ เสี่ยวเข่อลี่เดินหมากได้ดีมากจริงๆ หาหมากตัวแรกเจอได้เร็วดีจริงๆ เทปอาจจะทำปลอมขึ้นมาได้แต่การกักตัวปลอมกันไม่ได้ใช่ไหม? พวกโจรยังอยู่ที่สถานีตำรวจที่ถนนบีอยู่เลยนะ!”
“ถ้าเธอบอกว่าเธอถูกจับ แล้วหนีมาได้ยังไง? พวกเราไม่รู้ ไม่เห็น แล้วใครจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริง?” หวังหยานพูดประชดประชัน
“นั่นเป็นปัญหาของเธอ เธอรู้ไหมว่าฉันสามารถฟ้องเธอข้อหาหมิ่นประมาทได้นะ?” เธอคิดว่าหวังหยานกำลังพาล
สีหน้าของหวังหยานเปลี่ยนไป เธอตกใจที่ตัวเองลืมไปว่ามู่หรงเสวี่ยเป็นใคร เธอสู้ไม่ได้หรอก “เธอ…เธอ…” แต่เธอก็เถียงไม่ได้ว่าตัวเองไม่ได้พูดให้ร้ายเธอ “ฉันจะบอกให้นะว่าเรื่องมันเป็นยังไง?! เธอไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกหลอกใช้ งั้นมู่หรงเสวี่ยคนโง่คนนี้จะเปิดวิดีโอให้เธอดูเอง”