บทที่ 37
หึง
ชางกวนโม่ไม่ค่อยพอใจและเขารู้สึกงงไปหมด เขาไม่ชอบน้ำเสียงที่ห่างเหินหรือท่าทางที่เคารพเขาของเธอเลย
ที่อีกด้านมู่หรงเสวี่ยที่กำลังตัวแข็งทื่อเป็นน้ำแข็ง ยิ้มออกมาอย่างประจบและพูดออกไปด้วยความระวังมากขึ้น “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงละคะ? เป็นเกียรติของฉันมากกว่าที่คุณชางกวนอยากที่จะเจอฉัน!”
นี่มันอะไรกันเนี่ย?! ชางกวนโม่รู้สึกปวดหัว เป็นเวลานานมากแล้วที่เพราะสถานะ, ความสามารถและรูปร่างที่ยอดเยี่ยมของเขา ทำให้เขามีสาวๆมาอยู่รายล้อมมากมาย แต่ในอดีตเขามักจะรู้สึกรำคาญ
จนในที่สุดเขาก็ได้เจอกับผู้หญิงที่เขาไม่รำคาญและนั่นทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ถึงแม้เขาจะไม่แน่ใจในความรู้สึกที่มีให้กับเธอก็ตาม บางทีนี่อาจจะเป็นแค่ความสนใจชั่วคราว แต่ไม่ว่าจะยังไงผู้หญิงที่เขาอยากจะอยู่ใกล้ด้วยเป็นครั้งแรกแต่เธอกลับดูไม่ค่อยจะชอบเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆเลย มันตรงกันข้ามเลย เธอดูเหมือนไม่อยากที่จะให้เข้าใกล้เธอด้วยซ้ำ
เขาดูเหมือนเสือผู้หญิงงั้นเหรอ? หรือว่าเธอกลัวเขา? แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ตอนนี้เธอก็เดินออกไปไกลจนเกือบจะออกประตูไปแล้วด้วยซ้ำ
ความไม่พอใจของชางกวนโม่ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกและแม้แต่บรรยากาศรอบๆก็แย่ไปด้วย “กลับมานี่!”
มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะกลับแต่เธอไม่เข้าใจความหมายของชายคนนี้จริงๆ และชายคนนี้ก็น่ากลัวมากเกินไปสำหรับเธอ เธอจึงบังคับให้ขาเล็กๆของเธอก้าวเดินและบังคับให้มันเดินห่างออกไปอีก 2-3 เมตร
ชางกวนโม่ก้มหัวต่ำลงและเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อตามเด็กสาวที่เดินได้อย่างเชื่องช้าและพาเธอมานั่งที่โซฟา
มู่หรงเสวี่ยจ้องมองและพยายามดิ้นเพื่อที่จะหนีให้หลุดด้วยมือทั้งสองข้างและเท้าด้วย “ปล่อยฉันนะ ชางกวนโม่ คุณต้องการจะทำอะไร ปล่อยฉันนะ! ปล่อย…เอิ่ม…” ทุกอย่างถูกบล็อก ในที่สุดก็เงียบ!
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทื่อ เขา…เขา…จูบเธอจริงๆงั้นเหรอ?!!!
ในตอนแรก ชางกวนโม่แค่รู้สึกว่าปากที่พูดไม่หยุดของเธอมันน่ารำคาญอยู่นิดหน่อย จึงทำแบบนั้นไปโดยสัญชาตญาณ
เพียงชั่วครู่ ร่างทั้งร่างของเขาก็ชาไปหมดราวกับถูกไฟช็อต ริมฝีปากที่นุ่มและหวานของเธอทำให้เขาหยุดที่จะจูบเธอไม่ได้ ชางกวนโม่รู้สึกเหมือนถูกเผาราวกับโดนยิงและร่างกายของเขาก็เอาแต่เรียกร้องเพิ่มอีก…เพิ่มอีก
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งไปหมด
มือข้างหนึ่งของชางกวนโม่ รวบมือของมู่หรงเสวี่ยเอาไว้ ส่วนอีกมือล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อลูบไล้ร่างกายช่วงบนทั้งหมดของมู่หรงเสวี่ย ร่างที่นุ่มนวลของเธอและก้อนเนื้อนุ่มทั้งสอง
“อื่ม…” มู่หรงเสวี่ยแทบจะไม่สามารถห้ามไม่ให้ครางออกมาได้
และเพราะเสียงครางนี้ทำให้อยู่ดีๆชางกวนโม่ก็กลายเป็นสัตว์ร้ายขึ้นมา ด้วยมือใหญ่เพียงข้างเดียว เขาก็ฉีกเสื้อยืดของ มู่หรงเสวี่ยจนขาดและจูบเข้าที่ซอกคอของเธออย่างดุร้าย
เมื่อรู้สึกได้ถึงร่างกายเย็นๆ ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ได้สติกลับมาและเริ่มที่จะขัดขืนอย่างรุนแรง “อย่า! ฉันไม่ต้องการแบบนี้! ปล่อยฉันนะ! ปล่อย…”
ในตอนนี้ชางกวนโม่รู้สึกตาพร่าวไปด้วยผิวขาวสวยที่อยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ น้ำตาของมู่หรงเสวี่ยดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้นไปอีกซึ่งไม่สามารถหยุดความสงสัยของชางกวนโม่ได้เลย
ไม่! เธอไม่ต้องการ! เธอทำอะไรผิดงั้นเหรอ?! ทำไมเธอถึงต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้!? ในชีวิตที่แล้วเธอยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อรักษาความรักไว้ ถึงขนาดทำให้พ่อแม่ตัวเองตาย ในชีวิตนี้เธอระวังและวางแผนทุกอย่าง แต่สุดท้ายเธอกลับถูกทำแบบนี้โดยชายที่ไม่คุ้นเคยที่เคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเองเนี่ยนะ! เธอทำอะไรผิดงั้นเหรอ?!!!
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะร้องไห้คร่ำครวญออกมาและทันใดนั้นเธอก็ไปอยู่แนบอกของชางกวนโม่
อยู่ดีๆเขาก็อุ้มเด็กสาวที่กำลังร้องไห้ขึ้นมาที่โซฟา ลูบเบาๆไปที่หลังของเธอ
“อย่าร้อง ฉันขอโทษ ฉันไม่ดีเอง อย่าร้อง…” การร้องไห้นี้ทำให้ร่างกายของเขาร้อนไปหมด
ชางกวนโม่ยังไม่หยุดปลอบ หลังจากที่ได้ยินเสียงอ่อนโยนของเขา มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเสียใจมากขึ้นไปอีก เธอร้องไห้อย่างกับเด็ก ดูเหมือนเธอจะร้องไห้ฟูมฟายจากความรู้สึกเก็บกดของชีวิตที่แล้วซึ่งน่าตกใจที่ได้รู้ว่ามันถูกเก็บกดไว้ในใจเธอมากมายตั้งแต่ที่เธอกลับมาเกิดใหม่
เมื่อได้เห็นว่าเธอร้องไห้อย่างกับเด็ก ชางกวนโม่ก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกตกใจเป็นครั้งแรก เธอเกลียดที่เขาสัมผัสเธองั้นเหรอ? เจ้าชายแห่งเมืองหลวงต้องอดกลั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน แต่หลังจากที่ได้เห็นน้ำตาของเธอกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเองมากขึ้นไปอีก เขากังวลมากด้วย
น้ำตาไม่ได้น้อยลงเลย ตรงกันข้ามเลยการร้องไห้กลับยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมซะอีก เสียงที่ร้องเริ่มที่จะแหบ ชางกวนโม่ไม่รู้ว่าจะต้องยังไง นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาที่หล่อเหล่าของเขาไร้ประโยชน์จึงทำได้เพียงพูดซ้ำๆไปเท่านั้น
“อย่าร้องนะ, อย่าร้อง…”
หลังจากนั้นสักพักประตูหนาก็ถูกเปิดออก
ปัง! กล้าดียังไงถึงเข้ามาที่นี่? อยากตายหรือไง?!! ชางกวนโม่แสดงสายตากระหายเลือด! ลูกน้องพวกนี้นับวันจะยิ่งไร้ประโยชน์ คนตั้ง 5 คนแต่กลับหยุดคนคนเดียวไม่ได้!!!
ทันทีที่โม่จื่อเหวินเข้าประตูมา เขาก็เห็นมู่หรงเสวี่ยที่กำลังร้องไห้เสียงดังและกำลังถูกผู้ชายกอดอยู่ เสียงร้องไห้ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจมาก เมื่อเขาเห็นเธอที่กำลังสวมเสื้อสูทตัวใหญ่ที่ดูไม่เหมาะกับเธอเลยพร้อมทั้งเศษผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ที่พื้น เขามองได้ว่ามันคือเศษเสื้อผ้าของมู่หรงเสวี่ยที่เธอสวมมาวันนี้ ความโกรธของเขาพุ่งสูงและหมัดก็กำแน่นยิ่งขึ้นไปอีก
เพียงเสี้ยววินาทีเขาก็ชกคนทั้งห้าของชางกวนโม่และเดินตรงไปหาชางกวนโม่
“ไอ้สารเลว ปล่อยเธอนะ!” พร้อมปล่อยหมัดออกไปอย่างโกรธเกรี้ยว
ชางกวนโม่ที่กอดมู่หรงเสวี่ยไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและรับหมัดด้วยมืออีกข้างหนึ่ง หมัดทั้งสองชนเข้าด้วยกันโดยไม่สนใจเรื่องความสูง
แต่มู่หรงเสวี่ยเห็นโม่จื่อเหวินผ่านสายน้ำตา ราวกับว่าเธอได้เห็นสมาชิกครอบครัวที่คุ้นเคย เธอสะอื้นและพูดออกไปว่า
“จื่อเหวิน…พี่ใหญ่…ฮือ…ฉันอยากจะ…กลับบ้าน…พาฉันกลับที…” และหลังจากนั้นโดยไม่สนใจเสื้อสูทตัวใหญ่ที่คลุมร่างเปลือยเปล่าอยู่ข้างใน เธอเอื้อมมือออกไปหาโม่จื่อเหวิน
น้ำเสียงแหบพร่าพร้อมเสียงสะอื้นด้วยน้ำตา คำพูดที่เปล่งออกมาทำให้หัวใจเขาสั่นไปหมด เขาไม่สนใจการเคลื่อนไหวของชางกวนโม่และรีบเดินตรงเข้าไปเพื่อรับมู่หรงเสวี่ยและออกมา
ชางกวนโม่โกรธ นี่เขาไม่มีตัวตนเลยหรือไง?!!! สิ่งที่สำคัญคือมู่หรงเสวี่ยที่หวังพึ่งชายหน้าตาดีที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก สายตาของทั้งสองที่จ้องมองกันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด เขาหันมู่หรงเสวี่ยไปอีกทางและวางเธอไว้บนโซฟา แล้วเขาก็ลุกขึ้นและรีบตรงไปหาโม่จื่อเหวินด้วยหมัดที่ดุดัน
“เธอเป็นของฉัน! ใครก็พาเธอไปไหนไม่ได้!” หลังจากที่ได้ยินคำประกาศของชางกวนโม่ โม่จื่อเหวินจำคำพูดของ มู่หรงเสวี่ยได้และยิ่งรู้สึกเดือดดาลมากขึ้นไปอีก เขาอยากที่จะฉีกร่างชายที่อยู่ตรงหน้าเขา
“ไอ้ปีศาจ! บ้าจริง” ดุร้ายราวกับสัตว์ป่าและทั้งคู่ก็ได้เผชิญหน้ากันอย่างเป็นทางการ
การเปลี่ยนท่าทางและทักษะการชกทำให้เขาตื่นตา พวกเขาทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกัน พวกเขาอยากที่จะจัดการคู่ต่อสู้และจัดการให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
ในที่สุดมู่หรงเสวี่ยก็ฟื้นตัวจากความเศร้า เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังสู้กันเอง เธอก็เริ่มที่จะกังวล
ไม่นะ สถานะของชางกวนโม่ล่ะ!?
มู่หรงเสวี่ยรีบพุ่งไปอยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคนทันทีและพยายามที่จะห้าม
ชายทั้งสองประหลาดใจไปพร้อมๆกันและชักหมัดกลับ
“เป็นไงบ้างเสี่ยวเสวี่ย?” โม่จื่อเหวินพูด
“นี่เธอจะทำอะไร? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ชางกวนโม่ถาม
มู่หรงเสวี่ยโล่งอกที่เห็นพวกเขาหยุด ดึงเสื้อสูทให้กระชับมากขึ้นพร้อมพูดออกมาด้วยเสียงแหบพร่า
“ฉันไม่เป็นไร พวกคุณอย่าสู้กันเลย คุณชางกวนโม่ฉันขอกลับบ้านก่อนได้ไหม?” พร้อมอ้อนวอนด้วยสายตา
ชางกวนโม่อยากที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อได้เห็นการขอร้องในสายตาของเธอและนึกถึงเธอที่เพิ่งร้องไห้อย่างเจ็บปวด อยากที่จะพูดแต่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ยังไงซะหนทางมันก็ยังอีกยาวไกล “ไปเถอะ…”
โม่จื่อเหวินไม่อยากจะเสียเวลาพูดไร้สาระ เขาอุ้มมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาและพาเดินออกไปที่จอดรถด้านนอก
ชางกวนโม่ส่งสัญญาณให้หนึ่งในคนของเขาตามไปและส่งเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัย เมื่อมองที่มู่หรงเสวี่ยที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของโม่จื่อเหวินแต่ไม่ได้ขัดขืนอะไรเลย เขาจำวิธีที่เธอขัดขืนตอนที่เขากอดเธอไว้ได้ หัวใจเขาเจ็บปวดและบีบคั้นและร่างทั้งร่างของเขาก็รู้สึกหนาวเย็น ในตอนนี้พวกลูกน้องทั้งหลายที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเกือบจะไม่กล้าที่จะหายใจ พวกเขาต่างก็ก้มหัวและนั่งคุกเข่าอย่างเงียบๆ พร้อมร้องขอการลงโทษ
“ทุกคนไปที่ถ้ำปีศาจเพื่อรับการลงโทษ ไร้ประโยชน์จริงๆ!!!”
ลูกน้องทั้งห้าคนหน้าซีดเผือดในทันทีแต่ไม่มีใครกล้าที่จะโต้กลับ “ครับ!”
ถ้ำนี้เป็นสถานที่ที่ตระกูลขุนนางของชางกวนโม่ใช้ลงโทษคนรับใช้ที่ทำผิดร้ายแรง ถึงแม้จะไม่ถึงกับตายแต่ความโหดร้ายของการลงโทษก็ทำให้คนที่ผ่านมาแล้วต้องพูดถึงไปตามๆกัน เรื่องนี้เป็นอะไรที่รับไม่ได้อย่างที่สุด ถึงขนาดที่มีบางคนที่ทนรับการลงโทษไม่ได้และยอมตายด้วยการกัดลิ้นตัวเอง
โม่จื่อเหวินเร่งขับรถไปตลอดทางเพื่อรีบพามู่หรงเสวี่ยกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์มู่หรงเสวี่ยฝังหน้าตัวเองลงไปที่แขนของโม่จื่อเหวิน เธอไม่กล้าที่จะมองหน้าคนอื่นหรือไม่งั้นเธอคงทำให้ตระกูลมู่หรงขายหน้าได้
เขารีบเปิดประตูที่ล็อก หลังจากที่เข้ามาแล้ว โม่จื่อเหวินกอดมู่หรงเสวี่ยแน่น รอยแดงที่คอของมู่หรงเสวี่ยทำให้เขาไม่กล้าที่จะถาม เขาเอาแต่พูดว่า
“ผมขอโทษ ผมไปช้าเอง ผมขอโทษ…”
ในตอนนี้ อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของมู่หรงเสวี่ยเย็นลงมากแล้ว หลังจากที่ร้องไห้แล้ว เธอก็ผ่อนคลายจากความทรงจำที่เลวร้ายแล้วจริงๆ
เมื่อมองที่ท่าทางสำนึกผิดของจื่อเหวิน เธอก็รู้สึกอับอายนิดหน่อย อันที่จริงเธอไม่เคยเห็น…เมื่อมองดูท่าทางตื่นตระหนกของจื่อเหวิน นี่อาจจะเป็นเพราะท่าทางของเธอ
เธอรู้ว่ามันคงต้องใช้ความพยายามอย่างมากสำหรับพี่จื่อเหวินที่จะหาตำแหน่งของเธออย่างรวดเร็ว บางทีเขาอาจจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของชางกวนโม่แล้วแต่เขาก็ยังรีบเข้าไปช่วยเธอไม่ว่าจะยังไงซึ่งทำให้เธอประทับใจอย่างมาก จากช่วงเวลานี้มันทำให้เธอรู้สึกว่ามันคงจะดีถ้ามีพี่ชาย ถึงแม้เขาจะไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดแต่เขาทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นราวกับพ่อแม่ของเธอเอง มู่หรงเสวี่ยผลักเขาเบาๆ พี่เหวินกอดเธอไว้ในอ้อมแขนแน่นและพูดออกมาด้วยเสียงนุ่ม “พี่จื่อเหวิน ฉันไม่เป็นไรแล้ว อย่าโทษตัวเองเลย…”
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง?! ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วเธอร้องไห้เรื่องอะไร?!
เขายังจำได้ชัดเจนว่าเธอดูเหมือนจะร้องไห้จนเสียสติ, ร้องไห้เหมือนใจจะขาด การร้องไห้ทำให้เขาปวดหัวใจ เขาจะยกโทษให้ตัวเองที่ปล่อยให้เธอถูกทำร้ายมากมายขนาดนั้นได้ยังไง แต่ตอนนี้ยังทนยิ้มอย่างเศร้าๆเพื่อทำให้เขาสบายใจ ตอนนี้ควรจะเป็นเขาที่ปลอบใจเธอ
เด็กน้อยแสนซื่อที่เป็นเจ้านายของเขาซึ่งควรที่จะลงโทษเขา ตอนนี้เขาเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ประโยชน์เลยจริงๆ ถ้าลงโทษเขามันอาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เขาอยากให้เธอตะโกนด่าใส่เขา, โวยวายใส่เขา, ชกทำร้ายเขา และนั่นคงจะเป็นหนทางในการระบายความโกรธได้อย่างดี
เมื่อมู่หรงเสวี่ยเห็นว่าพี่จื่อเหวินเงียบไป เขาอดที่จะโทษตัวเองไม่ได้ เขาไม่ฟังสิ่งที่เธอพูดเลย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในเวลานั้นเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เลย “พี่จื่อเหวิน ฉันไม่ได้ถูก…จะพูดว่าไงดี พี่มาทันเวลา…”
ทันใดนั้นโม่จื่อเหวินก็เงยหน้าขึ้นมาทันที “จริงเหรอ?” เขากลัวนี่จะเป็นแค่คำพูดที่มู่หรงเสวี่ยพูดเพื่อปลอบใจเขา เขาจ้องหน้ามู่หรงเสวี่ยใกล้ๆ ราวกับว่าเขาจะหาสิ่งผิดปกติในสีหน้าของเธอ เขายอมฆ่าตัวตายเพื่อเป็นการขอโทษเลยจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยยิ้ม ราวกับว่าในที่สุดก็ได้ปลดปล่อยรอยยิ้มที่ผ่อนคลายออกมา เหมือนกับลูกบ๊วยสีขาวในฤดูหนาว ในที่สุดก็สามารถเอาชนะสถานการณ์ที่ยากที่สุดมาได้ รอยยิ้มเหมาะกับสิ่งที่สวยงาม
“มันโอเคจริงๆนะ ฉันไม่ได้โกหก ถ้าฉันโกหกขอให้เป็นหมาเลยก็ได้นะ”
ทันใดนั้นหัวใจของโม่จื่อเหวินก็เต้นรัวแรงเพราะรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ที่อยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมาและเพราะเขาแอบเห็นเนื้อขาวนวลที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมตัวหลวม ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นสีแดงขึ้นมาทันที เขารีบหันไปมองทางอื่นทันทีและไม่กล้าที่จะหันกลับมามองอีกครั้ง
“คุณ…คุณไปอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนเถอะ คืนนี้ผมจะอยู่ในห้องนั่งเล่น นอนที่โซฟา…” ถึงแม้เสี่ยวเสวี่ยจะบอกว่ามันโอเค แต่เขาก็ยังกังวลอยู่ดี จะให้พูดยังไง ก็เสี่ยวเสวี่ยเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 15 เอง เขากลัวว่าเธอจะขาดสติชั่วขณะ
มู่หรงเสวี่ยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของโม่จื่อเหวิน เธอรู้แค่ว่าเขาเป็นห่วงเธอจริงๆและมันคงไม่ดีที่จะบอกว่าเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอและบอกให้เขากลับไปซะ มันเหมือนกับว่าเขายังโทษตัวเองอยู่ “งั้นฉันไปอาบน้ำและนอนก่อนนะ” เธอเหนื่อยมาก เหนื่อยทั้งกายและใจและตอนนี้เธอแค่อยากจะเข้านอน
หลังจากนั้นไม่นานห้องของมู่หรงเสวี่ยก็มีเสียงของน้ำที่สาดลงบนพื้น
เป็นเวลานานกว่าแสงในห้องของมู่หรงเสวี่ยจะดับลงและโม่จื่อเหวินก็ขยับเพียงเล็กน้อย เขานั่งอยู่ในท่าเตรียมพร้อม
นึกได้ว่าวันนี้เพื่อนเก่าบอกข่าวกับเขาว่า: ชางกวนโม่! เจ้าชายแห่งเมืองหลวง! เพื่อนที่ดีของเขาเตือนเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ควรยั่วยุชางกวนโม่และอย่ารนหาที่เด็ดขาด
เขาไม่กลัวที่จะรุกรานชางกวนโม่ เขาเพียงแต่กลัวว่าเขาจะไม่สามารถปกป้องเสี่ยวเสวี่ยได้และเขาไม่เคยโหยหาอำนาจมากเท่าในตอนนี้มาก่อนเลย
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามและปกป้องบ้านของมู่หรงเสวี่ยแล้ว ชางกวนโม่ก็ทุบแจกันโบราณที่อยู่ข้างๆเขาด้วยมือข้างเดียว และหมัดของเขาก็ถูกเศษแจกันแตกบาด เขาไม่สนใจและปล่อยให้เลือดไหลไปเรื่อยๆ
พวกเขาอยู่ด้วยกันเหรอ?! ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจอเรื่องแบบนี้นะ! บ้าเอ๊ย!!! บ้าเอ๊ย!!! มู่หรงเสวี่ย เธอทำแบบนี้ได้อย่างไร?!
จากนั้นเขาก็พยายามยับยั้งแรงกระตุ้นที่จะไม่ฆ่าคนทั้งสองที่แอบคบกัน เขาโทรศัพท์และพูดว่า “รีบเช็กเรื่องชายคนนี้ทันที เขาชื่อจื่อเหวิน…”
เขาไม่เคยสูญเสียสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ว่ามู่หรงเสวี่ยจะเคยเป็นใคร หรือแม้แต่แต่งงานแล้วก็ตาม เขาก็ยังต้องการเธออยู่
พวกเขากลายเป็นชู้ได้อย่างไร??? ดูเหมือนว่าคนอื่นจะไม่รู้จักเธอดีซะแล้ว แล้วการจะได้เป็นเมียชางกวนโม่มันไม่ดียังไง?!