บทที่ 65
ความรู้สึกนี้มันมาจากไหน
ในระหว่างทางชางกวนโม่ไม่สนใจคำพูดของมู่หรงเสวี่ยและขับตรงไปที่โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองปักกิ่ง
“ฮัลโหล อยู่ที่ไหน?” ทันทีที่เขาลงจากรถ ชางกวนโม่ก็โทรศัพท์
“มาเดี๋ยวนี้ ฉันให้เวลานาย 3 วินาที ใช่”
มู่หรงเสวี่ยตะลึง เขาหยาบคายจริงๆ ชางกวนโม่จูงมือเธอและวิ่งตรงไปที่ห้องฉุกเฉินโดยไม่มีใครขวางแล้วก็อุ้ม มู่หรงเสวี่ยขึ้นนอนบนเตียงโรงพยาบาล
หลังจากนั้นสักพักก็มีร่างในชุดขาวรีบวิ่งเข้ามา “นายเป็นอะไร?” เมื่อพูดจบก็แตะตั้งแต่หัวจรดเท้าของชางกวนโม่
ชางกวนโม่ดึงเขาออก “ไปไกลๆเลย เมียฉันต่างหากที่ไม่สบาย นายตรวจเธอเบื้องต้นได้เลย!”
ชายที่สวมชุดขาวคือเพื่อนสนิทของชางกวนโม่ที่รู้จักกันมานานหลายปี จางหลินหลี่ ประธานของโรงพยาบาลอันดับหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงที่กำลังสวมแว่นตัดขอบทองอยู่ เขาดูสุภาพและสง่างามแบบนักวิชาการ เขาแตกต่างจากชางกวนโม่อย่างสิ้นเชิง
“บ้าเอ๊ย! นายมีเมียตั้งแต่เมื่อไรว่ะ?! ไม่เห็นบอกฉันเลย!”
หลังจากนั้นเขาก็หันหัวไปแล้วเห็นว่าผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงซึ่งอายุเพียง 15 เท่านั้น
ถึงแม้เธอจะยังดูเด็กมากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอมีความสวยที่หาตัวจับได้ยากมากจริงๆ ดวงตาของจางหลินหลี่เบิกขึ้นมาและพูดว่า
“ไงครับ! สวัสดี ผมชื่อจางหลินหลี่ อายุ 25 ยังไม่ได้แต่งงาน หล่อ มีความสามารถและรวยด้วยนะ! คุณสวยมากเลยนะครับ”
เมื่อชางกวนโม่เห็นว่าเพื่อนกำลังทำอะไร เขาก็กำหมัดแน่นและตะคอกขึ้นมา
“ตรวจได้แล้ว แล้วก็เลิกทำตัวไร้สาระซะที!”
จางหลินหลี่จ้องไปที่ชางกวนโม่ เขาทำเป็นไปสนใจเพื่อนแล้วจึงหันมาตรวจมู่หรงเสวี่ยอย่างจริงจัง
หลังจากเวลาผ่านไปนาน จางหลินหลี่ก็มองรายงานการตรวจร่างกายของมู่หรงเสวี่ย และที่ห่างตาก็อดไม่ได้ที่จะทำเป็นเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อที่จะแกล้งเขา!!!
อย่างไรก็ตามชางกวนโม่ก็ถามออกมาอย่างเป็นกังวล “เป็นไง เสี่ยวเสวี่ยเป็นอะไรหรือเปล่า?”
จางหลินหลี่ล้มเลิกแผนที่จะแกล้งเขาและตอบไปว่า “ปัญหาเดียวของเสี่ยวเสวี่ยก็คือเธอแข็งแรงเป็นม้าเลย…นี่นายเร่งฉันเพื่อให้มาตรวจคนที่แข็งแรงงั้นเหรอ!!!? ชางกวนโม่นี่นายไม่สบายหรือไง”
มู่หรงเสวี่ยหน้าแดงด้วยความอายและจ้องไปที่ชางกวนโม่ด้วยสายตาไม่พอใจ เป็นความผิดของเขา ก็เธอบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร
ชางกวนโม่ไม่สนใจเรื่องนี้แล้วตอบออกไปอย่างง่ายๆ “นายเป็นหมอไม่ใช่หรือไง? มันก็เป็นเรื่องปกติของหมอที่จะต้องตรวจคนไข้สิ!”
จางหลินหลี่กัดฟันด้วยความเกลียด เขาคิดว่าตัวเองสู้ไม่ได้และเถียงไม่ออก จึงทำได้เพียงคิดว่าเป็นความซวยของเขาเอง
แต่เพียงแวบเดียวดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา “คุณชื่อเสี่ยวเสวี่ยใช่ไหมครับ? รู้หรือเปล่าว่าชางกวนโม่เลวแค่ไหน? เขา…” ก่อนที่จะได้ทันพูดจบ เขาก็ถูกชางกวนโม่ปิดปากและลากออกไป
หลังจากนั้นสักพักชางกวนโม่ก็กลับเข้ามา และมู่หรงเสวี่ยเองก็สวมรองเท้าพร้อมที่จะไปแล้วเช่นกัน เธออายจะตายอยู่แล้ว เมื่อได้เห็นชางกวนโม่จึงอดไม่ได้ที่จะจ้องอีกครั้ง
ชางกวนโม่แตะที่หัวเธอและพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องจ้องเลย ถ้าจ้องอีกทีจะถูกจับแก้ผ้าแล้วนะ…”
มู่หรงเสวี่ยรีบสวนขึ้นมาทันที “ไม่ต้องมาพูดเรื่องแก้ผ้าเลย! คุณนะแหละจะอดจับ…”
ชางกวนโม่ทนความทรมานแสนหวานของมู่หรงเสวี่ยได้ เขาเพียงแค่ไม่ชอบที่ภรรยาของเขาเด็กเกินไปที่จะพูดถึงได้
หลังจากกลับมาที่ห้อง ชางกวนโม่ไม่ได้ถามเธอถึงเรื่องไป๋เสวี่ยหลี่ บางทีอาจเป็นเพราะเขากังวลว่าเธอจะกดดันเกินไป
หลังจากที่คิดเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงเอ่ยปากพูดก่อน “พี่โม่ เรื่องไป๋เสวี่ยหลี่…”
“มีอะไรเหรอ?! ถ้าเธอรู้สึกว่ามันยาก เธอควรจะปล่อยและอย่ากดดันตัวเองมากเกินไปนะ ปัญหาของเสวี่ยหลี่มีหมอหลายคนเข้ามาดูแล้วแต่ก็ยังไม่มีความหวัง งั้นเธอไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอกนะ…” ถึงแม้ชางกวนโม่จะหวังว่าเธอจะรักษาไป๋เสวี่ยหลี่ได้ แต่เขาก็เข้าใจถ้าเธอไม่อยากที่จะรักษาเสวี่ยหลี่ เขาไม่อยากให้เธอต้องกดดันมากเกินไป
“มันไม่ใช่แบบนั้น ถึงแม้ฉันจะยังไม่ถึงระดับ 10 แต่ก็ยังอยู่ระดับ 7 ฉันต้องเตรียมของบางอย่างก่อนที่จะช่วยรักษาไป๋เสวี่ยหลี่…”
“ฉันจะเตรียมของให้เอง ตราบใดที่มันไม่เครียดเกินไป”
มู่หรงเสวี่ยคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็เปิดปากพูด “ฉันต้องการพื้นที่ส่วนตัวสักวันแล้วก็ค่อยเตรียมชุดเข็มทองคำไว้ให้ฉันที” ถึงแม้ในมิติลับเธอจะมีเข็มทองคำอยู่แล้ว แต่เธออยู่กับ ชางกวนโม่ตลอด เลยไม่รู้จะอธิบายที่มาของเข็มทองคำกับเขายังไง เลยวางแผนที่จะเตรียมไว้อีกชุด
“ฉันหาเข็มทองคำกับพื้นที่ส่วนตัวให้ได้ เธอมั่นใจได้เลยว่าที่ที่เราอยู่จะได้รับการคุ้มกันอย่างดีและจะไม่มีใครเข้ามารบกวนแน่” ชางกวนโม่อธิบาย
มู่หรงเสวี่ยกัดปากและหยุดพูด
ชางกวนโม่เข้าใจผิดในทันที สีหน้าของเขาเปลี่ยน “แม้แต่เธอก็ไม่เชื่อฉันงั้นเหรอ?! เธอกลัวว่าฉันจะขโมยยาของเธองั้นเหรอ” ชางกวนโม่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและรู้สึกปวดหัวใจ เขาคิดว่าพวกเขาสนิทกันมากจนไม่มีอะไรต้องปิดบังกัน ดูเหมือนจะมีเพียงเขาที่คิดไปเอง
มู่หรงเสวี่ยใจสั่นและรีบพูดอย่างกังวล “ไม่ใช่แบบนั้นพี่โม่ แต่ฉันมีปัญหาของตัวเอง…”
ชางกวนโม่นั่งรอเธอพูดอยู่นาน แต่ก็ไม่เห็นว่าเธอจะอธิบายไอ้สิ่งที่เรียกว่าปัญหาเลยว่าคืออะไร?! ปกปิดความเจ็บปวดไว้ในก้นบึ้งของหัวใจแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะไปแล้ว ฉันจะไม่กลับมาที่นี่สองวัน ฉันจะให้คนมาเฝ้าประตู…” แล้วเขาก็ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง เขาหยิบเสื้อโค้ตที่โซฟาขึ้นมาและเดินออกประตูไป
มู่หรงเสวี่ยรีบลุกขึ้นและวิ่งตรงไปกอดเอวของชางกวนโม่ “พี่โม่ อย่าทำแบบนี้ได้ไหม?! น้ำเสียงคุณโกรธฉัน มันมีความไม่พอใจที่ปิดไม่มิดอยู่”
ชางกวนโม่ตัวสั่นแต่ก็ไม่ได้หันกลับมา “ฉันจะโกรธเธอได้ยังไง…”
“งั้นทำไมอยู่ดีๆคุณถึงบอกว่าจะคุณจะทิ้งฉันไป…”
ชางกวนโม่รู้สึกโกรธ ผิดแล้ว ไม่ใช่แล้ว
“เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากได้พื้นที่ส่วนตัว? งั้นก็ปล่อยสิ ฉันจะไปทำงานแล้วอีกสองวันฉันจะกลับมาหาเธอ…” ยังไงซะ เธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขาเสียใจ ชางกวนโม่จึงพูดอย่างอ่อนโยน
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆปล่อยมือ กะพริบดวงตากลมโต “จริงเหรอคะ?”
แล้วชางกวนโม่ก็หันกลับมา “จริงสิ!” ถอนหายใจ เธอนี่มันน่าจับกินจริงๆ แล้วก็จูบเธอที่หน้าผาก
“อย่าคิดเรื่องไร้สาระ ฉันจะไปทำงาน ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรหาฉัน เข้าใจไหม?”
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย “ค่ะ! ขับรถระวังด้วยนะคะ…”
หลังจากที่ชางกวนโม่ออกไป มู่หรงเสวี่ยก็กลับมาที่ห้องและล็อกประตูห้องอย่างระวังแล้วจึงหายเข้าไปในมิติลับ สำหรับปัญหาของไป๋เสวี่ยหลี่ เธอยังต้องอ่านหนังสือแพทย์และเลือกสมุนไพรจากมิติลับเพื่อนำมาปรุงยาให้เธอด้วย
ชางกวนโม่ขับรถกลับมาที่วิลล่า ตั้งแต่ที่เขาตกหลุมรักเสี่ยวเสวี่ย เขาก็อยากได้เพิ่มขึ้นๆและไม่เคยพอใจซะที เขาไม่รู้ว่าจะเติมเต็มความรู้สึกไม่มั่นใจ, ไม่มั่นคงและความกังวลในหัวใจตัวเองยังไง
เสี่ยวเสวี่ยมีความลับ เขารู้มาตลอด ตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่เธอหายตัวไปเฉยๆอย่างกับอากาศได้ยังไง เรื่องนี้ติดอยู่ในใจของเขามาตลอด เขากลัวว่าอยู่ดีๆสักวันเธอจะหายไปอีก จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาถ้าวันหนึ่งเธอหายไปอีก เขาคิดภาพไม่ออกเลย
เขากลัวมากขึ้นไปอีกว่าเขาจะควบคุมตัวเองไม่ได้และอยากที่จะหักปีกของเธอและควบคุมให้อยู่ในกำมือของเขา
ในวันที่สาม มู่หรงเสวี่ยนำยาที่ใช้รักษาและขวดน้ำแห่งจิตวิญญาณออกมาด้วย แล้วจึงโทรหาชางกวนโม่
เพียงเสี้ยววินาที เขาก็รับสาย “ฮัลโหล มู่หรงเสวี่ย”
ระหว่างระยะเวลาในมิติลับ เธอคิดถึงเขาอย่างมากและร่างของเขาก็มักจะมาปรากฏอยู่ในใจของเธอบ่อยครั้ง เธอรู้ดีว่ายังกลับไปไม่ได้ จึงทำได้แค่เพียงหวังว่าเขาจะไม่ทรยศเธอเหมือนฟางฉีฮัวในชีวิตที่แล้ว
“พี่โม่ คิดถึงจัง…”
มือของชางกวนโม่จับโทรศัพท์แน่นและหัวใจก็เต้นรัว “ฉันก็คิดถึงเธอนะเสี่ยวเสวี่ย…”
ความรู้สึกอบอุ่นก่อตัวขึ้นในหัวใจของพวกเขา
“พี่โม่ ฉันพร้อมแล้ว เตรียมเข็มทองคำให้ฉันหรือยังคะ?” มู่หรงเสวี่ยพูดออกมาหลังจากผ่านไปนาน
“เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวฉันจะเอาไปให้” ชางกวนโม่มองไปที่งานที่อยู่บนโต๊ะ แล้วทิ้งงานในทันที!
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ “โอเคค่ะ ฉันจะรอนะคะ!”
หลังจากนั้นสักพัก กริ่งที่ประตูก็ดังขึ้น ไม่นะ ทำไมมาถึงเร็วจัง?! มู่หรงเสวี่ยวิ่งไปที่ประตู “พี่โม่ คุณกลับแล้วเหรอ…?”
ที่ประตูคือชางกวนหลิน “มีอะไรเหรอ? ผิดหวังเหรอที่ไม่ใช่พี่ใหญ่น่ะ…”
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างอายๆ “มีอะไรเหรอ?! มาหาพี่โม่เหรอ? เขายังไม่กลับมาเลย…” มือเธอยังจับอยู่ที่ประตูและไม่ได้จะชวนให้เขาเข้ามานั่งรอข้างใน
ดวงตาสีม่วงของชางกวนหลินเปล่งประกาย “ฉันมาหาเธอ จะไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งก่อนเหรอ?” ชางกวนหลินเขยิบเข้ามาขวางร่างของเธอที่ประตู
“ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร มีอะไรพูดมาเลยได้ไหม?” พูดชัดเจนว่าไม่ให้เข้ามา ถ้าชางกวนโม่กลับมาจะต้องเข้าใจผิดแน่ๆ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองแคร์ชางกวนโม่มากแค่ไหน
“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะถามว่าเธอจะว่างไปดูดอกยี่เข่งเมื่อไรดี?” พร้อมด้วยดวงตาสีม่วงที่แสดงถึงความหวังเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและมองไปข้างๆอย่างตระหนก “ฉัน…ฉัน..ฉันไม่ค่อยว่างเลยอ่ะช่วงนี้…”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันรอให้เธอว่างก่อนแล้วกัน เธอไม่ได้หลบหน้าฉันเพราะพี่ใหญ่ใช่ไหม?”
มู่หรงเสวี่ยเผยอรอยยิ้ม “จะเป็นไปได้ไง? ฉันไม่ว่างจริงๆ…”
ชางกวนหลินเห็นรอยยิ้มเกร็งๆของเธอ เขาจึงพูดขึ้น
“ไม่ต้องฝืนทำเป็นขำหรอกถ้าไม่อยาก น่าเกลียดจะตาย!”
มู่หรงเสวี่ย “…ใครจะไปทำเป็นมีความสุขแบบนายได้ล่ะ! บ้ารึเปล่า!!!”
เธอเริ่มรู้สึกว่าพูดมากเกินไปแล้ว
“เปล่า คือ…ถ้าเธอไม่อยากหัวเราะ ไม่อยากยิ้มต่อหน้าฉัน…ก็ไม่จำเป็นต้องฝืน…”