บทที่ 69
อาจารย์ด้านแพทย์แผนจีนโบราณที่ จางหลินหลี่เคารพ
จะไม่ประหลาดใจได้ยังไง ช่างเป็นเทคนิคการฝังเข็มที่เทพอะไรขนาดนี้ ถ้าเรื่องนี้ได้รับการโฆษณาออกไปรับรองได้เลยว่าจะต้องมีคนไข้มากมายที่อยากจะเข้ามารับการรักษาแน่ๆ สายตาของจางหลินหลี่เปลี่ยนไปและเริ่มที่จะคิดถึงเรื่องความเป็นไปได้ที่จะชวนให้มู่หรงเสวี่ยเข้ามาอยู่ในสถาบันการแพทย์และรับเขาเป็นลูกศิษย์จะดีไหม?!! เฮ้!!
แล้วท่าทางของจางหลินหลี่ก็เปลี่ยนเป็นประจบมากขึ้น ใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นลามกแปลกๆ “คือ…เฮ้ เฮ้…คือ…”
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว สีหน้าแสดงอาการไม่ปกติ “คุณ…คุณจะทำอะไร!” น้ำเสียงสั่น
จางหลินหลี่ยิ้มอย่างสุภาพมากขึ้น เขารู้สึกว่ามู่หรงเสวี่ยคือสมบัติอันมีค่าของโลกแห่งวงการการแพทย์ เขาเผยรอยยิ้มต่อหน้าเธอ หยิบแก้วน้ำมาแล้วยื่นส่งให้มู่หรง
“เสี่ยวเสวี่ย คุณท่าทางจะหิ้วน้ำ ดื่มน้ำเยอะๆนะ เหนื่อยหรือเปล่า? ให้ผมนวดไหล่ให้ไหม?” สมองกระทบกระเทือนหรือไง? อยากให้ผมนวดไหล่ให้ไหมงั้นเหรอ? โอ้ใช่เลย! มันมากไปหน่อยหรือเปล่า? ช่างมันเถอะ หัวเราะกลบเกลื่อนไปแล้วกัน
มู่หรงเสวี่ยเดินถอยหลังไป “ไม่ต้องค่ะ คุณแปลกๆไปนะ! มีอะไรจะบอก…” เธอมองตรงไปที่เขา
จางหลินหลี่หยิบเก้าอี้มาและนั่งลงตรงข้ามมู่หรงเสวี่ย เอามือเท้าคาง กะพริบตาถี่ๆด้วยดวงตากลมโต เขายิ้มอย่างใสซื่อ “คุณคิดว่าผมเป็นยังไง?”
ฮ่า?!! “ไม่ยังไง!” มู่หรงงงนิดหน่อย ถอยหลังไปเรื่อยๆ
จางหลินหลี่ขยับเก้าอี้เข้ามาและก็เดินตรงเข้ามาใกล้ “คุณคิดว่าผมหล่อ, หน้าตาดี, สง่า, มีความสามารถ, เป็นมือหนึ่ง เหมาะที่จะเป็นลูกศิษย์คุณบ้างหรือเปล่า?” ดวงตากลมโตกะพริบเป็นประกาย
เปล่งประกายจนตาเธอเกือบจะบอด!!! “ไม่เลย แล้วคุณอยากจะพูดอะไร?!!”
“เฮ้ เฮ้ ผมแค่อยากจะให้คุณรับผมเป็นลูกศิษย์แค่นั้นเอง”
มู่หรงเสวี่ยไม่มีคำพูด เขาพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง นี่กำลังล้อเล่นหรือเปล่า?!! หมอชื่อดังที่ชนะรางวัลนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์มามากมายและได้รับคำชื่นชมจากคนทั่วโลกมาบอกว่าจะขอเป็นลูกศิษย์เธอ นี่เรื่องตลกหรือเปล่าเนี่ย?!!! “ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ และฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอาจารย์ของคุณได้ด้วย!”
จางหลินหลี่ยืดตัวตรงและไม่ได้หัวเราะออกมาอีก “ผมพูดจริงนะ ผมศรัทธาเรื่องการฝังเข็มของคุณและอยากที่จะเรียนวิชา ช่วยสอนผมทีได้ไหม? มีสอนกันเฉพาะในครอบครัวของคุณ ไม่สอนคนนอกงั้นเหรอครับ?” มันก็เป็นไปได้เพราะแพทย์จีนรุ่นเก่าบางรุ่นใช้ยาแผนโบราณของจีนจึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกลูกศิษย์มากขึ้น
มู่หรงเสวี่ยมองท่าทางจริงจังของเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขำอะไร อันที่จริงเธอรู้เรื่องเทคนิคฟีนิกซ์เก้าเข็มมากกว่าคนอื่นๆ แต่หนึ่งในกฎของเทคนิคฟีนิกซ์เก้าเข็มนั่นคือห้ามส่งต่อให้คนภายนอก ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษ ซึ่งบทลงโทษยังไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ แต่บันทึกทางการแพทย์สามารถส่งต่อได้ เธอไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะเปิดเผยเรื่องมิติลับนี้ได้ เธอเองก็หวังที่จะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้แต่ก็ไม่กล้าที่จะละเมิดกฎที่เขียนไว้ในมิติลับฟินิกซ์ อย่างเรื่องเทคนิคฟีนิกซ์เก้าเข็ม
จางหลินหลี่รอให้มู่หรงเสวี่ยพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปในทันทีเป็นขมวดคิ้ว แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนจะมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกัน หัวใจของ จางหลินหลี่เต้นรัว เขาทนไม่ได้อีกแล้วจึงถามออกไป “ว่ายังไง?”
มู่หรงเสวี่ยแสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาในทันทีจนพลั้งมือตบเข้าที่หน้าเขา! แล้วพวกเขาทั้งคู่ก็นิ่งไป
มู่หรงเสวี่ยมองหน้าจางหลินหลี่ที่แดงเป็นรอยมือ เธอยิ้มอย่างเขินอาย “คือ…คือ…โทษฉันไม่ได้นะ…คุณดูเหมือนแมลงวัน…ฉันอดไม่ได้เลย…เฮ้…”
ฮ่ะ!? ว่าไงนะ? ขอโทษนะที่หน้าฉันเหมือนแมลงวัน!!! จางหลินหลี่น้ำตาซึม ไม่ใช่เพราะหน้าตาสะสวยของเธอแต่เป็นเพราะเธอไม่ใช่คนที่เลวร้าย โดยเฉพาะตอนที่เขาเห็นว่าเธอลืมว่าตัวเองเพิ่งจะเจออะไรมา ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เขาแอบโล่งอกอยู่เงียบๆแต่เรื่องการรับเป็นศิษย์ยังไม่จบ
“คุณตบหน้าผม คุณจะต้องรับผมเป็นลูกศิษย์…”
แค่ตบทีเดียวเอง! ไม่ได้ตั้งใจด้วยนะ! มู่หรงอยากจะตีมือตัวเองจริงๆ “ฉันก็อยากนะ แต่อย่างที่เห็นฉันไม่ค่อยว่าง ฉันไม่ได้อยู่ที่เหมืองหลวง อีกสองวันฉันก็จะกลับไปที่เมือง A แล้วด้วย…”
จางหลินหลี่ประหลาดใจ “คุณไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงเหรอ?”
เธอส่ายหัวอย่างใสซื่อ “เปล่าค่ะ!”
“ไม่สำคัญหรอก ง่ายๆแค่คุณสัญญาว่าจะรีบผมเป็นลูกศิษย์ก็พอ” ถึงแม้จะไม่ใช่คนที่นี่แต่ชางกวนโม่ก็อยู่ที่เมืองหลวง เธอเป็นแฟนของโม่งั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลับมาที่เมืองหลวงอีก อีกอย่างเมือง A ก็ไม่ได้ไกลเท่าไร
“แต่…” ยังกังวลอยู่เธอจึงรีบพูดออกมา!
“คุณไม่อยากปฏิเสธผมหรอก ดูหน้าผมสิ!!!” จางหลินหลี่รีบยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ทันทีซึ่งขึ้นเป็นรูปรอยมือเลย
โอ้ ใช่สิ! “คือมันก็ขึ้นอยู่กับเรื่อง…เวลา”
“อ่า!” ก่อนที่จะพูดจบ จางหลินหลี่ก็กระโจนเข้ามาด้วยความตื่นเต้น สองคนล้มลงไปที่เตียงด้วยกัน ทันใดนั้นประตูของห้องตรวจก็ถูกเปิดออก “นายจะทำอะไร?!” ชางกวนโม่มองไปที่คนสองคนที่กำลังกอดกันด้วยความโกรธ
จางหลินหลี่รีบลุกขึ้นด้วยความตกใจทันที เขาลุกขึ้นอย่างอายๆ “โม่ นานมาแล้ว!” เขาขี้เกียจที่จะอธิบาย แล้วคิดเอาเองว่าหลายปีที่เป็นเพื่อนกันมาคงทำให้เขาไม่เข้าใจผิด
มู่หรงเสวี่ยมองชางกวนโม่ แล้วทันใดนั้นความเจ็บที่หัวก็ปวดขึ้นมาอีกและรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
ชางกวนโม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยตอนที่ไอ้หมาบ้านี่กำลังกอดเธออยู่ เธอไม่ขัดขืนและกลับยิ้มด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้เขาจะหายโกรธได้ยังไง “ฉันถามว่าพวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่?!!”
จางหลินหลี่ประหลาดใจ เขาโกรธงั้นเหรอ?!!! “หมายความว่าไง?! แค่ล้อเล่นกันเฉยๆ แค่สะดุดล้มเฉยๆ ฮ่าฮ่า!” เดิมทีเขาอยากที่จะบอกว่าตัวเองมีความสุขมากที่ได้กอดมู่หรงเสวี่ยแต่กลัวว่าเพื่อนจะเข้าใจผิด เขาจึงเปลี่ยนเรื่องที่พูด
น้ำเสียงเบาลงหน่อยแต่ก็ยังดูไม่พอใจ “โอ้! ฉันไม่รู้เลยนะว่าพวกนายต้องกอดกันล้มพร้อมกันเลยเหรอ?!!” น้ำเสียงถามอย่างแคลงใจ
นี่เขาไม่เชื่อใจเขางั้นเหรอ? พวกเขาเป็นเพื่อนกันมามากกว่าสิบปีแล้วไม่ใช่เหรอ?!!! “โม่ นายเป็นอะไรไป? นายไม่ควรที่จะสงสัยพวกเราเลยนะ!!!”
ชางกวนโม่เองก็รู้ว่าเพื่อนเขาไม่ใช่คนแบบนั้นแต่ความหึงมันก็ไม่เข้าใครออกใครจึงแกล้งทำเป็นมองไปที่พื้น ไม่กล้าที่จะมองมู่หรงเสวี่ย แล้วจะมัวแต่จ้องที่พื้นเพื่ออะไรเนี่ย! มันมีทองหรือไง? ถึงได้มองนานขนาดนี้
“เปล่า มู่หรงเสวี่ยเป็นไงบ้าง?” เมื่อเห็นผ้าพันแผลหนาที่หัวและมือของมู่หรงเสวี่ย เขาก็อดไม่ได้ที่จะเจ็บปวด
“หัวกระแทกอย่างแรง เสียเลือดไปเยอะ บวมอยู่บ้างคาดว่าจะมีการกระทบกระแทกเล็กน้อยควรจะพักดูอาการในโรงพยาบาลต่ออีกสักสองวันน่าจะดีกว่า…” ในน้ำเสียงโทษไปที่เพื่อนเล็กน้อย
สีหน้าของชางกวนโม่เปลี่ยนไป รีบเดินตรงเข้ามาและไม่สนใจสิ่งที่ทั้งสองคนเพิ่งจะกอดกันกลมเมื่อกี้ “ยังเจ็บอยู่ไหม?”
มู่หรงเสวี่ยยังปล่อยให้เขาจับหัวที่ถูกห่อด้วยผ้าพันแผลและกระซิบตอบมา “โอเคค่ะ…” เจ็บแล้วยังไง นี่ก็เกือบจะชั่วโมงแล้วกว่าที่เขาจะนึกถึงเธอ
ชางกวนโม่อยากที่จะแตะตัวเธอและดูที่ผ้าพันแผล เขามองเห็นเลยว่าแผลบวมจนน่ากลัว เขารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ เขาอยากที่จะขอโทษแต่ก็ไม่รู้ที่จะพูดยังไงดี เขาไม่รู้จริงๆ…เพราะยังไงเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะผลักเธออยู่แล้ว…แต่ตอนที่เขาลุกขึ้นเขาไม่รู้ว่าทำไมเท้าตัวเองถึงพุ่งเข้าไป เขาอยากที่จะช่วยดูมือของเธอแต่กลับกลายเป็นผลักเธอออกไป
มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเห็นเขา เธอจึงพูดออกไปอย่างระวัง “ฉันอยากที่จะพัก คุณออกไปก่อนนะคะ…” แล้วเธอก็เอนตัวลงที่เตียงและหันหลังให้ชางกวนโม่ เธอเห็นว่าเขาปลอบใจไป๋เสวี่ยหลี่ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความหลงใหล ท่าทางเรียกร้องความสนใจอย่างเห็นได้ชัดจนแม้แต่เธอเองก็ยังอิจฉา ถึงแม้เธอจะแค่ถูกลวก เขาก็ยังเลือกที่จะเข้าไปดูไป๋เสวี่ยหลี่ก่อน เขาไม่ได้สนใจเธออย่างเห็นได้ชัด
หัวใจเธอเจ็บปวด…
เหมือนกับในชีวิตที่แล้ว แผลเก่ายังไม่ทันหายก็ต้องมาเจอกับแผลใหม่อีกแล้ว
บางทีชางกวนโม่อาจจะไม่ได้ชอบเธอ แต่เขาชอบน้องสาวที่โตมาด้วยกันมากกว่า
เธอก็อยากจะคิดว่าพวกเขาก็แค่รักกันแบบครอบครัวแต่เมื่อเช้านี้ เสวี่ยหลี่เห็นได้ชัดว่าหว่านเสน่ห์โดยการจับแขนและหน้าเขาตลอด เธอเหมือนคู่รักมากกว่าอีก แล้วเธอจะต้องทำยังไง? เธออยากที่จะหนีไปซะ หนีไปซ่อนในที่ที่ไม่มีใครเห็น เพื่อหลบไปเลียแผลใจของตัวเอง
ในชีวิตนี้เธอทนกับความพ่ายแพ้ไม่ได้ ถ้ามันไม่ดีพอเธอก็จะไม่มีวันเปิดใจ ถ้าไม่มีความรักก็จะไม่มีเรื่องให้ปวดใจ มู่หรงเสวี่ยดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดที่หัว กลัวว่าตัวเองจะเก็บอาการไว้ไม่ได้และรู้สึกว่าหัวเธอยังปวดอยู่…” จางหลินหลี่เข้าใจอารมณ์ของมู่หรงเสวี่ย รู้ว่าตอนนี้เธออยากที่จะอยู่เงียบๆจึงห้าม ชางกวนโม่ไว้โดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่ได้เห็นมู่หรงเสวี่ยที่ตอนนี้โผล่ออกมาแค่ครึ่งหัวแล้วเมื่อได้ยินที่จางหลินหลี่พูด เขาคิดว่าอยากที่จะขอโทษเธอแต่ก็เก็บคำพูดไว้ เขาคิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม “เสี่ยวเสวี่ย เธอพักก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันออกไปโทรศัพท์ก่อน…” ที่บริษัทมีเรื่องด่วนที่เขาต้องจัดการ เขาจะอยู่ที่โรงพยาบาลตลอดไม่ได้ เขารออยู่สักพักแต่ก็ยังไม่ได้ยินคำตอบจากมู่หรงเสวี่ย ชางกวนโม่จึงทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆและ จางหลินหลี่ก็ออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้เธอได้พัก