บทที่ 73
สวนสนุก
มู่หรงเสวี่ยที่กำลังอธิบายอย่างระวังซึ่งดูมีเสน่ห์อย่างมากในสายตาของจางหลินหลี่ วันนี้มู่หรงเสวี่ยสวมชุดเดรสสีฟ้าพร้อมสายคาดสีฟ้าและขาว ดูสง่างามและมีเสน่ห์จริงๆ เธอสวมสร้อยหยกที่ฟ้าเรียบง่ายที่สีเดียวกับกระโปรงยาวซึ่งดูสวยและน่ามองจริงๆ
แม้แต่ผ้าพันแผลที่หัวและที่มือก็ยังบดบังความสวยของเธอไว้ไม่ได้แต่กลับเพิ่มความดูอ่อนหวานและน่าสงสารให้กับเธอขึ้นไปอีก
หัวใจของจางหลินหลี่เต้นรัว แม้แต่การฝังเข็มและการรมยาของการแพทย์จีนโบราณที่เขาอยากจะเรียนรู้อย่างลึกซึ้งกลับดูเหมือนว่าเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปเลย ในตอนนี้ ในใจเขาเต็มไปด้วยน้ำเสียงและการเคลื่อนไหวของเธอ
“พี่จาง…พี่จาง…เข้าใจไหมคะ…พี่จาง…” มู่หรงเสวี่ยโบกมืออยู่ตรงหน้าจางหลินหลี่
ทันใดนั้นเขาก็เหมือนจะได้สติกลับมา “เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ…”
มู่หรงเสวี่ยมองเขาอย่างโกรธๆ “ฉันพูดเนื้อหาไปตั้งนาน พี่ไม่ได้ฟังอะไรเลย…” เธอพูดจนปากแห้งแต่กลับเจอว่าคนที่บอกว่าหลงใหลเรื่องการแพทย์กลับไม่สนใจเนื้อหาเลย
ท่าทางโกรธๆแต่ก็ยังดูดีอยู่เลย ฮ่าฮ่า งี่เง่าจริงๆ! กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย! เธอเป็นแฟนของเพื่อนสนิทเขานะ…เขาส่ายหัวแรงๆเพื่อปลุกตัวเอง
มู่หรงเสวี่ยมองท่าทางแปลกๆอย่างเห็นได้ชัดของเขา นี่เขาอยากที่เรียนหรือไม่อยากกันแน่?!! “พี่จาง…”
“อ่า!? ผมขอโทษด้วยนะแต่ผมรู้การใช้จุดฝังเข็มที่เฉพาะเจาะจงอย่างที่คุณพูด แค่พูดมันฟังดูยากกว่าการฝังเข็มธรรมดามากเลย ผมกลัวว่าถ้าฟังผิดพลาด ก็คงจะทำให้เกิดเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมาก…” เขาไม่ใช่แค่พูดเล่นๆ ในทางการแพทย์ไม่มีใครกล้าที่จะผ่อนคลายหรอก ยังไงซะชีวิตคนก็เป็นเรื่องที่สำคัญ
มู่หรงเสวี่ยคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก ดูเหมือนว่ามันจะยากไปที่จะจำถ้าฟังแค่คำอธิบายอย่างเดียว “พี่จาง ฉันขอโทษด้วย ฉันไม่รู้เลย…ไม่งั้นฉันคงจะชี้จุดการฝังเข็มไปด้วยในระหว่างที่อธิบาย มันคงจะดีกว่านี้!”
ชี้จุดการฝังเข็ม ของใครล่ะ?! ของเธอ? หรือของเขาล่ะ?!!! หมายความว่าไงเนี่ย?! ต้องแก้ผ้าด้วยหรือเปล่า!!!!? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จางหลินหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น และหัวใจของเขาก็เต้นรัวยิ่งกว่าเดิมอีก
มู่หรงเสวี่ยเดินออกมาจากห้อง เธอเห็นสายตาของพี่จางดูเหม่อลอยและสีหน้าก็ดูแดงระเรื่อ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงจนต้องแตะที่หน้าผาก “พี่จาง เป็นอะไรหรือเปล่า? ไม่สบายหรือเปล่าคะ?” ตัวร้อนนิดหน่อย น่าจะเป็นเพราะไวน์กับอากาศเย็นหรือเปล่า?
มือเล็กเย็นๆที่หน้าผากเขา เพราะความใกล้ของเธอทำให้เขาสามารถได้กลิ่นตัวที่สดชื่นราวกับกลิ่นดอกเชอร์รี่แรกแย้มของเธอด้วย เขาไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดเลย คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อย อะไรทำให้คิ้วของเธอขมวดอย่างกังวลแบบนั้น ปากเล็กบางกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ทันใดนั้นก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ริมฝีปากนี้ดูน่าลิ้มรสจริงๆ ราวกับว่าจางหลินหลี่กำลังต้องมนต์สะกด เขาค่อยๆเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ
ทำไมถึงไม่ตอบ? งงอะไรหรือเปล่า? มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาแต่ก็ต้องพบว่าจางหลินหลี่ดูเหมือนจะยืนไม่ตรง ตัวร้อนขนาดนี้เลยเหรอ? มู่หรงเสวี่ยเดินตรงเข้าไปใกล้และช่วยพยุงเขา พร้อมทั้งพูดต่อว่า “ทำไมไม่บอกว่าตัวร้อนขนาดนี้ล่ะคะ? ก็จริงอยู่ที่คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่คุณไม่ดูแลตัวเองเลย…” เขาถูกบังคับให้นั่งลงที่โซฟา
เธอช่วยปลุกเขาให้ตื่นจากมนต์สะกดได้ในทันที จางหลินหลี่ดูเหมือนจะได้สติแล้ว เขาโมโหกับความคิดสกปรกของตัวเองจริงๆ เขา…เขาควบคุมตัวเองไม่ได้…เขาคิดถึงเพื่อนตัวเอง…ก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปอีก…เขาหลับตา…เขาไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้เลย
มู่หรงเสวี่ยหยิบน้ำแข็งและผ้าขนหนูมา “พี่จาง นอนลงทีนะคะ ฉันจะช่วยประคบน้ำแข็งให้” เธอเอาผ้าขนหนูชุบน้ำและหยิบขึ้นมาบิด
เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้ป่วยแต่ก็ทำตามที่เธอพูดและเอนหลังลงไป เขาไม่ปฏิเสธการดูแลจากเธอ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความรักซึ่งเขาอาจจะทำไปเพราะความเป็นเพื่อน แต่สำหรับเขานี่เป็นความทรงจำที่เขาอยากจะเก็บไว้ที่สุด เขาลืมเรื่องความเห็นแก่ตัวไปก่อน
มองท่าทางที่วุ่นว่ายของเธอโดยไม่กะพริบตา เขากลัวว่าตัวเองจะพลาดความทรงจำที่ดีที่สุดถ้าเผลอกะพริบตา ในเวลานี้เขาอยากที่จะฝังทุกร่องรอยของเธอไว้ในหัวใจและจิตใจของเขา ถึงแม้ความรู้สึกนี้จะพูดไม่ได้ เขาก็ยังอยากจะเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำที่ดีๆ
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะความคิดภายในของจางหลินหลี่เองหรือความปรารถนาที่อยากจะตรึงความทรงจำนี้ไว้นานๆ เขาเริ่มที่จะมีไข้สูงจริงๆแล้วและสติของเขาก็เริ่มที่จะรางเลือน มู่หรงเสวี่ยรู้สึกว่าหน้าผากของเขาที่ยังไม่ร้อนเท่าไรแต่ตอนนี้เริ่มที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ จางหลินหลี่หมดสติไปแล้ว เธอจ้องไปที่เขาแล้วรีบหยิบยาไทฟอยด์พิเศษจากมิติลับออกมาและพยายามที่จะป้อนให้เขากลืนเข้าไป อย่างไรก็ตามเธอก็รู้สึกว่าเขาไม่กลืนยาเพราะหมดสติไปแล้ว เธอเข้าไปในครัวเพื่อบดยาให้เป็นผงแล้วต้มลงไปในน้ำ เมื่อยาเริ่มเย็นเธอก็ใช้มือบีบปากของเขาและป้อนช้อนยาเข้าไปในปากเขา
โชคไม่ดีที่มันไม่สำเร็จ เขาไม่ยอมกลืนยา เธอจะทำยังไงดี? จะทำยังไงดี?
มู่หรงเสวี่ยเปิดฟันเขาและเทยาเข้าไปในปากของเขาและปิดปากของเขา เธอผายปอดเพื่อป้อนยาเข้าปากของเขา มันได้ผล อย่างน้อยเขาก็กลืนยาไปได้เยอะ
เธอเอายาใส่เข้าไปในปากตัวเองและป้อนให้เขาอย่างต่อเนื่อง แต่เธอไม่สังเกตเลยว่าขนตาของจางหลินหลี่เริ่มขยับและเขาค่อยๆลืมตาขึ้น เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปากเธอและรสขมของยา ในเวลานี้เขากลัวว่ามู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนเขาจะเป็นเพียงความฝัน เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มของริมฝีปากเธอ ความอ่อนนุ่มนี้ยิ่งทำให้หัวเขาสับสนจนแยกไม่ออกว่านี่คือฝันหรือความจริงกันแน่?
มู่หรงเสวี่ยตกใจมากและพยายามที่จะผลักเขาออกแต่เขากอดเธอไว้แน่น ความร้อนของร่างกายเขาทำให้ร่างกายของเธอราวกับถูกไฟเผา มันแตกต่างจากรสชาติวานิลลาอันอ่อนหวานของชางกวนโม่และรู้สึกแปลกๆ
เธอเริ่มที่จะขัดขืนด้วยมือและเท้า ต่อมาเธอก็พยายามที่จะเปิดประตูและอยากที่จะร้องให้ดัง อย่างไรก็ตามเธอก็พบว่าพี่จางยังไม่ฟื้นเลยและอีกครั้งที่เขาสลบไป เธอรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับไม่มีอากาศ มันก็แค่โชคร้าย บางทีเขาอาจจะแค่สับสนและคิดว่าเธอเป็นแฟนของเขา
ช่างมันเถอะ เธอจะโทษคนที่กำลังสับสนได้ยังไงล่ะ?!!
ร่างกายที่มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรต่อ
เช้าวันต่อมากับอากาศเย็นๆ
จางหลินหลี่ค่อยลืมตา จ้องมองเพดานที่ไม่คุ้นเคยพร้อมทั้งหันหัวไปและเจอกับมู่หรงเสวี่ยที่กำลังนอนอยู่ที่โต๊ะ หัวใจเขารู้สึกอ่อนนุ่ม
เขาไม่ได้ขยับเพียงแค่จ้องมองเธออย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปนานกว่าที่มู่หรงเสวี่ยจะตื่น ทันทีที่เธอลืมตา เธอหันไปเจอกับดวงตาของจางหลินหลี่ “พี่จาง ตื่นแล้วเหรอ ยังไม่สบายอยู่หรือเปล่าคะ?” แล้วเธอก็ลุกขึ้นไปแตะอุณหภูมิที่หน้าผากของเขา
“ดีจัง ไม่มีไข้แล้ว!” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งใจ
ดวงตาของจางหลินหลี่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและพูดออกมา “ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณนะเสี่ยวเสวี่ย!”
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและนวดไหล่ที่ปวดของเธอ เธอไม่ได้สนใจและตอบไปว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ นี่คือสิ่งที่หมอต้องทำ ถ้าเปลี่ยนกันเป็นพี่จาง คุณก็คงจะทำเหมือนกัน ไม่มีอะไรต้องขอบคุณหรอกค่ะ…”
เขารู้สึกขอบคุณกับความทรงจำที่มีค่าที่สุดที่เธอฝากไว้กับเขา เขาหัวเราะและลุกขึ้น “ผมจะกลับไปอาบน้ำที่ห้องก่อนแล้วเราค่อยออกไปข้างนอกกัน” เขามีไข้และเหงื่อออกทั้งคืน
“ได้ค่ะ…”
จางหลินหลี่ที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องตัวเอง นึกถึงความฝันที่ได้จูบเธอเมื่อคืน หัวใจของเขาเต้นรัว หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะกับตัวเอง จนตัวเองยังตกใจ
สองชั่วโมงต่อมา
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฝูงชนที่เดินพลุกพล่าน, หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน, สีหน้ามากหน้าหลายตา!
เขา…เขา…เขาพาเธอมาสวนสนุก
“พี่จาง คุณ…” คำพูดมากมายอยู่เพียงแค่ในใจ…เธอพูดไม่ออก
จางหลินหลี่อารมณ์ดี เขาเคยฝันว่าอยากจะมาสวนสนุกกับคนรักเหมือนกับพ่อแม่ของเขา ถึงแม้เขาและเสี่ยวเสวี่ยจะไม่ใช่คู่รักกันก็ตาม “มาเถอะ คุณต้องชอบแน่!” เขาแกล้งทำเป็นจับมือเธอ
มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะดึงมือออกแต่พี่จางจับเธอไว้อย่างแน่นมากและดึงเธอไปในที่ที่ผู้คนพลุกพล่าน
“นั่นคือที่ที่พ่อแม่ผมเจอกัน” จางหลินหลี่พาเธอไปที่รถไฟเหาะของสวนสนุกและพูดกับมู่หรงเสวี่ยพร้อมรอยยิ้ม
“คุณลุงกับคุณป้าน่ะเหรอคะ?! จริงเหรอ?” เมื่อคิดถึงคุณและคุณนายจาง มู่หรงเสวี่ยก็อารมณ์ดีและหัวเราะออกมา
เมื่อคิดถึงพ่อแม่ของเขา จางหลินหลี่เองก็ยิ้มเช่นกัน “ผมเคยได้ยินแม่เล่าว่าตอนที่แม่อยู่บนรถไฟเหาะ เธอร้องไห้และพ่อก็นั่งอยู่ข้างๆเธอแล้วพวกท่านก็ได้รู้จักกัน…”
คุณจางและภรรยามีความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งสามารถมองได้จากแสงแห่งความสุขบนใบหน้าของลู่จือหยาน อันที่จริง มู่หรงเสวี่ยอิจฉาความรู้สึกที่บริสุทธิ์ของพ่อแม่ของพี่จางจริงๆ ไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้องและไม่จำเป็นต้องคาดเดาอะไร ความรักที่สวยงามที่ช่วยพยุงกันและกันไม่มีความใคร่แต่เป็นความรักที่นุ่มนวล
“ไปกันเถอะมู่หรงเสวี่ย” เมื่อพูดจบเขาก็พาเธอเดินเข้าไปซื้อตั๋ว
…
ความฝันที่สวยงามช่างแตกต่างจากความจริงนี่จริงๆ จางหลินหลี่ที่เพิ่งลงมาจากรถไฟเหาะ ขาทั้งสองสั่นไปหมดจนต้องยืนพิงต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ มู่หรงเสวี่ยหัวเราะอย่างเสียมารยาท
สักพักหนึ่งจางหลินหลี่ที่รู้สึกดีขึ้นก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างอดไม่ได้ เธอกำลังยิ้มกว้าง “ผมไม่เคยเห็นใครที่หยามผมขนาดนี้เลยนะ…”
“พี่จาง คุณนี่ไม่ไหวเลย ใครกันที่ชวนอยากจะเล่นรถไฟเหาะ ฮ่าฮ่าฮ่า” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะอย่างภูมิใจ
จางหลินหลี่ตบหน้าผากตัวเอง ชื่อเสียงของเขาถูกรถไฟเหาะทำลายไปหมด ทันใดนั้นก็มีคู่หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา “ขอโทษนะครับ ช่วยถ่ายรูปให้เราหน่อยได้ไหมครับ?” เด็กหนุ่มถามพร้อมในมือถือกล้อง
มู่หรงเสวี่ยหยุดหัวเราะและพยักหน้าเบาๆ เธออายที่คนอื่นต้องมาเห็นเธอหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขนาดนี้ “ได้ค่ะ ฉันจะถ่ายรูปให้”
คลิก! เมื่อแสงแฟลชแวบขึ้นมา รูปถ่ายของคู่รักก็เรียบร้อย
“พวกคุณดูดีมากเลย ทำไมไม่ให้เราถ่ายรูปให้บ้างล่ะครับ?” เด็กหนุ่มพูดขณะที่รับกล้องมาก
มู่หรงเสวี่ยหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย พร้อมทั้งส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “เราไม่ใช่…”
“ขอบคุณนะครับ” จางหลินหลี่รีบพูดขัดเสียงของมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาทันที “ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นี่คือรูประหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ของเราเลยนะ” เขามองที่มู่หรงเสวี่ยพร้อมรอยยิ้ม อันที่จริงเขาเองก็รู้สึกกังวลด้วยเหมือนกัน
“โอเคค่ะ” มู่หรงเสวี่ยยืนถัดจากจางหลินหลี่
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมา “ใกล้อีกครับ ยิ้มนะ!”
จางหลินหลี่ยกมือขึ้นมาโอบไหล่เธอ มู่หรงเสวี่ยตกใจและเงยหน้ามองจางหลินหลี่ ในเวลานี้จางหลินหลี่ย่อตัวลงมาเล็กน้อยและพวกเขาต่างก็จ้องตากันและกัน รูปถูกถ่ายไว้เรียบร้อย
จางหลินหลี่เขาไปรับรูปจากคู่หนุ่มสาวและใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตตัวเอง “ผมจะเก็บรูปนี้ไว้เองนะ ผมคิดว่าจะเอาไปรูปนี้ไปตั้งไว้ที่โต๊ะและจุดธูปสามดอกเพื่อเคารพอาจารย์”
“ฮ่า!!! ว่าไงนะคะ? จางหลินหลี่ กล้าดียังไง” มู่หรงเสวี่ยวิ่งไล่ตามจางหลินหลี่อย่างไม่พอใจ กล้าดียังไงมาวิ่งหนีเธอ
วันนี้สวนสนุกทำให้พวกเขาสองคนหัวเราะกันตลอดทั้งวัน
ห่างออกไปที่ประเทศ C ชางกวนโม่กำลังอดทนกับการที่จะต้องจัดการกับธุรกิจท่าเรือที่น่ารำคาญของประเทศ C เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหลายครั้งและพยายามที่จะโทรหามู่หรงเสวี่ยแต่ก็ถูกรบกวนตลอด
เขาต้องพยายามดึงสติเพื่อที่จะรับมือกับความสูญเสียอย่างมากจากน้ำมัน นี่มันก็สองวันแล้ว เขาไม่รู้ว่าแผลของเธอดีขึ้นหรือยังและเธอคิดถึงเขาไหม
ที่อีกด้าน ไป๋เสวี่ยหลี่กำลังดูรูปที่นักสืบถ่ายมาในวันนี้และหัวเราะออกมาอย่างแปลกๆ
มู่หรงเสวี่ย เธอตายแน่ ครั้งนี้เธอต้องตายเพราะตัวเอง เธอไม่ต้องหาคนอื่นมาแสดงเลย แต่มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ทำให้ดีขึ้นเลย ไป๋เสวี่ยหลี่ไม่เชื่อว่าพี่โม่ถ้าเห็นรูปพวกนี้จะยังสนใจนังผู้หญิงราคาถูกคนนั้นอยู่ ฮ่าฮ่าฮ่า!!!!!
วันต่อมามู่หรงเสวี่ยก็ปฏิเสธที่จะไปกับจางหลินหลี่และไปที่การประชุมหินการพนันนานาชาติแทน เพราะเธอลงทะเบียนไว้แล้ว เธอไม่จำเป็นต้องได้รับคำเชิญอีกรอบ
การประชุมหินการพนันนานาชาติมีการขนส่งหินหยกแบบพิเศษ มู่หรงเสวี่ยเพียงแค่อยากที่จะจ่ายค่าขนส่ง หลังจากที่จัดการขั้นตอนเรียบร้อย มู่หรงเสวี่ยก็กลับไปที่ห้อง พยักหน้าให้คนของชางกวนโม่สองคนที่ประตูและเดินเข้าไป
หลังจากนั้นก็ล็อกประตูอย่างระวัง แล้วเธอก็เดินออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น