บทที่ 89
ความรู้สึกรัก
“ฮ่าฮ่า ทำไมบรรพบุรุษของตระกูลชูจะเป็นคนก่อตั้งห้างลิซซี่ไม่ได้ล่ะ ตอนนี้ฉันเข้ามารับช่วงต่อ แต่อะไรที่เป็นของส่วนรวมก็กลับไปเป็นของส่วนร่วม อะไรที่เป็นของเอกชนก็เป็นของเอกชน ฉันเพียงแค่ทำตามเงื่อนไขต่างๆ เธอคิดว่าไงล่ะ?! เห็นด้วยไหม?”
ห้างลิซซี่ ถึงแม้เขาจะเข้ามารับช่วงต่อ แต่ก็ยังตัดสินใจเองอะไรไม่ได้ ยังไงซะก็ยังมีหุ้นส่วนคนอื่นอีก
มู่หรงเสวี่ยจะไม่เข้าใจได้ยังไง เธอไม่อยากทำให้พี่ชูต้องลำบากใจ “ค่ะ เรื่องนั้นฉันเห็นด้วย”
“ลิซซี่พาวิลเลี่ยนกระจายไปอย่างกว้างขวางและจำเป็นที่จะต้องคุยถึงเรื่องปัญหาการจัดหาอีก ในนี้บอกว่าบริษัทของเธอเป็นบริษัทใหม่ใช่ไหม? ฉันอยากที่จะรู้ว่าสินค้าของบริษัทเธอคืออะไร?”
มู่หรงเสวี่ยเองก็อยากจะอธิบายให้เขาเข้าใจตรงกัน “บริษัทเพิ่งจะถูกตั้งขึ้นมาในนามอ้ายเสวี่ยซึ่งจะกระจายสินค้าให้ลิซซี่พาวิลเลี่ยนในเมือง A เท่านั้นภายในสามเดือน หลังจากสามเดือนลิซซี่พาวิลเลี่ยนจะค่อยๆเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องและจะตอบสนองความต้องการทั้งหมดของลิซซี่พาวิลเลี่ยน”
“ใช่ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะบอกเธออีกทีนะเมื่อสัญญาเรียบร้อย อย่าลืมเรื่องค่าชดเชยของฉันด้วยล่ะ!”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
“…”
คืนนั้น มู่หรงเสวี่ยกลับไปที่อะพาร์ตเมนต์ ทันทีที่เธอเดินเข้าไปในห้อง อยู่ดีๆเย่เฟิงก็พยักหน้าให้เธอและชี้นิ้วส่งสัญญาณเข้าไปในห้องเธอแล้วก็หันหลังกลับออกไป เธอผลักประตูเปิดออกและเห็นชางกวนโม่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงของเธอ มู่หรงเสวี่ยตกใจกับร่างที่เห็น! ทันใดนั้นหัวใจเธอก็เริ่มเต้นรัวและขาก็แทบจะควบคุมไม่ได้ตอนที่เดินเข้าไปหาเขา เพียงแค่ไม่กี่วันแต่เธอรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอเขามานานมากแล้ว
ชางกวนโม่ยังมีท่าทางที่ดูอ่อนล้า ที่ใต้ตามีรอยเงาคล้ำที่เห็นได้ชัดและร่างกายเขาดูผอมลงกว่าเดิมอีกแล้ว…แม้แต่เธอเองก็ยังมองเห็นได้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะเหนื่อยขนาดไหน
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ เธอค่อยๆเดินเข้าไปที่เตียง เอื้อมมือออกไปแตะที่ขอบตาดำคล้ำอย่างไม่รู้ตัวแต่ก็กลัวว่าจะปลุกให้เขาตื่นขึ้นมา
สัมผัสของปลายนิ้วมีทั้งความคุ้นเคยและความไม่คุ้นเคย ดูเหมือนว่าระหว่างเธอกับเขาจะยังมีเรื่องที่ขัดแย้งกันอยู่มากมาย มือเธอค่อยๆเลื่อนลงไปที่จมูกโด่งของเขาอย่างควบคุมไม่ได้พร้อมทั้งไล้ไปที่ขอบปากบางอย่างเบามือ เธอยังจำได้ชัดเจนว่าริมฝีปากบางนี้มีทั้งความรุ่มร้อนและอบอุ่นในคราวเดียวกัน
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยกำลังจะดึงมือตัวเองกลับแต่ชางกวนโม่เร็วกว่าเธอ เขาคว้ามือเธอและดึงเข้าไปหาเขา มู่หรงเสวี่ยขึ้นไปทับอยู่บนตัวชางกวนโม่
“คุณจะทำอะไร?! คุณหลับอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“ฮ่าฮ่า ฉันหลับอยู่แต่อยู่ดีๆก็รู้สึกได้ถึงความรักของบางคนก็เลยตื่นขึ้นมา…” ปลายนิ้วของชางกวนโม่เสยเข้าไปในผมเข้มและอ่อนนุ่มของเธอ ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างมากจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยนอนอยู่ด้านข้างของเขา จ้องมาที่เขา ดวงตาสีเข้มของเขาแวบประกายราวกับกระจกที่งดงาม ทำให้เธอเห็นได้อย่างชัดเจนถึงดวงตาแห่งความคิดถึง ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อ และพูดด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา “ทำไมอยู่ดีๆคุณถึงมาที่เมือง A ได้ล่ะคะ?”
“ฉันเป็นห่วงเธอ ผู้หญิงของฉันต้องออกไปเสี่ยงเพื่อผู้ชายคนอื่นเลยต้องรีบมาหา…” เสียงแหบต่ำของเขาพร้อมการถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
มู่หรงเสวี่ยเบิกตากว้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นการแสดงออกแบบนี้ของเขา ไม่ใช่ความโกรธหรือความอ่อนโยน แต่เป็นการประนีประนอมเหมือนทำอะไรไม่ถูก “คุณกำลัง…พูดเรื่องอะไร? ผู้ชายคนอื่นที่ไหนคะ?”
มือของชางกวนโม่กอดเธอไว้แน่น “ตอนที่ฉันรู้ว่าเธอยอมเอาตัวเองมาเสี่ยงกับเรื่องอันตรายเพราะหยางเฟิง สิ่งแรกที่ฉันรู้สึกคือเป็นห่วงอย่างที่สุด ถึงแม้จะรู้ว่าเธอปลอดภัยแต่ฉันก็ควบคุมความตื่นตระหนกในหัวใจไม่ได้ แล้วฉันก็อดคิดไม่ได้ว่าในหัวใจเธอเขาสำคัญกับเธอขนาดไหน ถึงได้ยอมพาร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงมาช่วยเขาแบบนี้…”
เขาได้ฟังรายงานจากเย่เฟิงทุกรายละเอียดและหัวใจเขาก็เกิดความอิจฉาและความโกรธ เขาเสียใจที่ไม่ได้มาเมือง A กับเธอ เขาอยากที่จะบินมาหาเธอทันทีแล้วขังเธอไว้ไม่ให้ชายคนไหนมาแย่งสมบัติล้ำค่าของเขาไปได้
เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขายกขึ้นเป็นที่หนึ่งในหัวใจ เขาเคยจัดการปัญหาในครอบครัวได้อย่างใจเย็นแต่กลับต้องมาเสียการควบคุมต่อหน้าเธอ เป็นครั้งแรกที่เขาต้องใจสั่นและมีอารมณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นครั้งแรกที่เขาอยากจะเก็บใครสักคนไว้เป็นของเขาเพียงคนเดียว
มู่หรงเสวี่ยนิ่งอึ้งไปและจ้องไปที่หน้าของชางกวนโม่ ความซับซ้อนและการไร้ตัวตนของเขาดูเหมือนจะหายไปชั่วขณะ เธอมองเห็นความรู้สึกแตกสลายที่บริสุทธิ์ได้อย่างชัดเจนจากในตาของเขา…อย่างไรก็ตาม เธอมักจะยอมรับเขาด้วยความรู้สึกที่ต้องระวังเสมอ…มันไม่ค่อยยุติธรรมกับเขาเท่าไร…เธอเป็นคนแบบนั้นและวิญญาณเธอก็ไม่ได้บริสุทธิ์อีกแล้ว
“คุณ…คุณ…คุณโกรธหรือเปล่า?” เสียงแผ่วเบา ค่อยๆพูดออกมาทีละคำ
ชางกวนโม่จ้องเธออยู่เงียบๆเป็นเวลานานจนความสงบในดวงตาของเขากลายเป็นความทนไม่ได้, ตื่นเต้นและทำอะไรไม่ถูก
เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ตอนที่มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะเลิกกับเขา เขาค่อยๆพูดออกมาช้าๆ “ฉันโกรธตัวเอง ทำไมถึงดีกว่านี้ไม่ได้เพื่อที่จะให้เธอไม่ทิ้งฉันไปอีก…”
ความรู้สึกของชางกวนโม่ตรงไปตรงมาและไม่มีอะไรปิดบังซึ่งทำให้เธอตกใจขึ้นมาทันที ราวกับว่าเธออยู่ในชีวิตที่แล้ว เธออยากที่จะปลอดปล่อยความรู้สึกในใจของตัวเอง อย่างไรก็ตามเพราะทุกอย่างมันเก็บสะสมมามากเกินไป จนดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถที่จะพูด 1% ของทั้งหมดออกมาได้อบอุ่นอย่างที่ต้องการ
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยและอยากที่จะถอยกลับ เธอมอบความรู้สึกเหมือนที่เธอเคยมีในชีวิตที่แล้วให้เขาไม่ได้ หลังจากที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่เธอไม่ควรที่จะทำแบบนั้นอีกแล้ว “เพียงแค่ไม่กี่วัน แต่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นศตวรรษ ไม่เคยรู้สึกว่าเวลามันยากลำบากขนาดนี้มาก่อนเลย…”
น้ำเสียงแผ่วเบาทำให้เธอรู้สึกจุกในคอ
เวลาที่เขาต้องรออยู่ที่เมืองหลวงมันช่างราวกับว่าโลกไร้สีสันและอาหารก็ไร้รสชาติ เขาต้องจมอยู่กับตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเขา ที่รู้สึกว่าวิญญาณของตัวเองช่างเป็นกังวลและไม่สบายใจ ราวกับว่าตัวเองกำลังจมอยู่ในหลุมโคลนและตื่นตระหนกเพราะไม่รู้ว่าจะพาตัวเองให้หลุดออกมาได้ยังไง
หัวใจเขามองเธอเป็นของล้ำค่าขนาดนั้นได้ยังไง?! ในดวงตาของเธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกลึกซึ้งนี้ “ชางกวนโม่ เขาเป็นแค่เพื่อนจริง ระหว่างเราไม่มีอะไรเคลือบแคลงเลย คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเขาหรอก…ฉันชอบคุณคนเดียวเท่านั้น…”
คิ้วของชางกวนโม่เลิกขึ้นด้วยท่าทางสดใสและพูดที่ข้างหูเธอ “มู่หรงเสวี่ย เธอต้องบอกว่า…เธอเป็นของฉันได้คนเดียวเท่านั้น…”
มู่หรงเสวี่ยตกใจ หัวใจของเธอผ่อนคลายและเครียด เธอเริ่มที่จะตื่นตระหนก หายใจไม่ออกและเลือดก็เริ่มไหลเวียน ความรู้สึกอบอุ่นและบ้าคลั่งกำลังค่อยๆเติบโตทีละนิด
เธอหายใจเข้าลึกๆ ความรักของเขาช่างบริสุทธิ์ เธอ… “พี่โม่ ฉัน…ฉันไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งเหมือนที่คุณมีให้ฉัน…ฉันไม่คิดว่ามันยุติธรรมกับคุณ…”
ในชีวิตที่แล้ว เธอรักฟางฉีฮัวจนหมดหัวใจ ยอมมอบให้ทุกอย่าง ถึงขนาดยอมเอาหัวใจไปไว้แทบเท้าเขาและยอมให้เขาเหยียบย่ำ…เพื่อผู้ชาย เธอยอมสูญเสียตัวเองอย่างสิ้นเชิงและหลงไปมากมายขนาดนั้น
ดังนั้นหลังจากที่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ เธอไม่อยากที่จะสูญเสียตัวตนของตัวเองแบบนั้นอีก…ถึงแม้เธอจะลบความรู้สึกที่มีกับฟางฉีฮัวไปจนหมดแล้วก็ตาม ถึงแม้เธอจะรับความรักของชางกวนโม่ แต่เธอจะค่อยเป็นค่อยไปที่ละสเต็ป…เธอจะระวังในทุกก้าวที่เดินเสมอ…เพื่อเป็นการไถ่บาปให้ตัวเอง…เธอจะยอมให้ตัวเองปล่อยใจไปกับสิ่งที่เธอทนได้เท่านั้น
ชางกวนโม่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฉันรู้ ฉันรู้มาตลอดแต่ไม่ต้องห่วงนะ เธอยังเด็ก สักวัน…จะต้องมีวันนั้นแน่ๆ…”
ไม่มีคำอธิบายว่าวันนั้นจะมาเมื่อไรแต่ทั้งสองต่างก็เข้าใจ
ชางกวนโม่พลิกตัวไปกอดเธอและก้มลงจูบเธออย่างร้อนแรงราวกับคลื่นภูเขาและท้องทะเล
สัญชาตญาณที่บ้าคลั่งและกระตือรือร้นของเขาไหลไปที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มแดงระเรื่อของเธอเพื่อส่งต่อความรู้สึกที่หนักแน่นของเขาให้เธอ
มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะลูบไหล้ไปที่คอของเขา มือของเธออยู่ไม่นิ่ง ลมหายใจของเขาแผดเผาหัวใจเธอ ทำให้เธอรู้สึกถึงความจริงใจของเขา
ดูเหมือนว่าหลังจากเวลาที่ผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยจะรู้สึกว่าริมฝีปากของเขามีรสเปรี้ยวเล็กน้อยแล้วเขาก็ปล่อยเธอออก ดวงตาคมเข้มของเขาจ้องตรงมาที่เธอ “มู่หรงเสวี่ย ฉันจะคอยอยู่ข้างหลังเธอจนกว่าเธอจะพอใจ…”
“งั้นฉันจะตั้งตารอนะคะ…” เธอจะตั้งตารอได้ไหม!? หลังจากที่ชางกวนโม่พูดออกมามากมาย
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ไม่มีใครอยากที่จะทำลายความอบอุ่นของช่วงเวลานี้
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ชางกวนโม่ก็มองที่นาฬิกา “ฉันต้องไปแล้ว…ฉันเลี่ยงไม่ได้…”
มู่หรงเสวี่ยนิ่งไป “หมายความว่าไงคะ?”
“มีบางเรื่องที่ต้องไปจัดการ จะรอช้าไม่ได้ด้วย…” เสียงของชางกวนโม่พูดพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย
มู่หรงเสวี่ยนึกถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างตระกูลชั้นสูงของเขา ธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลและเครือข่ายที่ไม่ได้จัดการได้ง่ายๆและรอบๆตัวเขายังมีพวกที่จ้องจะคอยแย่งตำแหน่งอีก แล้วหัวใจเธอก็กดดันขึ้นมาเล็กน้อย “ยุ่งขนาดนี้แล้วทำไมยังมาที่เมือง A อีกล่ะคะ?”
“เธอสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้ไง!” ชางกวนโม่พูดพร้อมรอยยิ้ม
“พี่โม่ ขอบคุณนะคะ!” ขอบคุณที่มอบของมีค่าที่สุดที่ฉันร้องขอในชีวิตที่แล้วให้ฉัน
“โง่น่า…”
ไม่นานชางกวนโม่ก็ออกไป เย่เฟิงยังอยู่กับมู่หรงเสวี่ย ถึงแม้จะไม่มีเย่เฟิงแล้วที่ทำงานก็มีเรื่องวุ่นวายมากมายแต่เพื่อปกป้องมู่หรงเสวี่ย นอกจากเย่เฟิงและเย่หลิวแล้วเขาก็ไม่ไว้ใจใครอีก
วิเศษจริงๆ! มู่หรงเสวี่ยซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและนึกถึงภาพของชางกวนโม่กับเธออยู่ในหัว