บทที่ 93
ปัญหาที่เมืองหลวง
“ดีใจสิคะ คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอคะ? ถึงได้ว่างมารับฉันได้แบบนี้?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เขา
“ฉันคิดถึงเธอ ไปกันเถอะ” ชางกวนโม่ดึงเธอและเตรียมที่จะไป
“เดี๋ยวค่ะ ฉันต้องอธิบายเรื่องนี้กับอาจารย์ก่อน” มู่หรงเสวี่ยปล่อยมือชางกวนโม่ แต่เขาจับมือเธอไว้ “ไม่ต้อง เดี๋ยวเย่เฟิงจะจัดการเรื่องนี้เอง ขึ้นรถได้แล้ว!”
“…”
ทั้งสองกลับมาที่วิลล่าของชางกวนโม่ ชางกวนโม่ไม่ได้อยู่กับเธอนานนักเพราะเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามาจนนับไม่ถ้วนแล้ว ก่อนที่เขาจะไปเขายังขอโทษกับมู่หรงเสวี่ย แต่เธออายุ 15 แล้ว ไม่ใช่เด็กเล็กๆ เธอรู้ว่าชางกวนโม่ไม่ค่อยว่างและเธอก็ไม่อยากที่จะทำตัวไร้เหตุผล
เธอเพียงแค่เบื่อที่ต้องอยู่คนเดียว อีกสองวันกว่าการแข่งขันจะเริ่มขึ้น และเหตุผลที่ทางโรงเรียนเลือกที่จะพานักเรียนมาก่อนเวลาก็เพราะอยากให้นักเรียนได้ผ่อนคลายก่อนและเพื่อเป็นการเลี่ยงปัญหาทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นแล้วทำให้การแข่งขันต้องล่าช้าไปด้วย นี่ไม่เป็นเป็นการให้เกียรติมหาวิทยาลัยแต่ยังเป็นการให้เกียรติกีฬานานาชาติด้วย
หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณฮวง บอกว่าเขาอยากที่จะคุยถึงเรื่องข้อมูลของคู่แข่งและเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันด้วย
ไม่นานมู่หรงเสวี่ยก็มาถึงโรงแรมที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้ หัวหน้าของโรงเรียนและนักเรียนจะได้พักในห้องเดียวกันเพื่อพูดคุยถึงเรื่องการแข่งขัน เมื่อมู่หรงเสวี่ยเข้าไป เธอก็รู้สึกได้ถึงความไม่เป็นมิตรของนักเรียนบางคนอย่างชัดเจน
“บางคนก็แค่มาเที่ยว ไม่ได้สนใจเรื่องการแข่งขันจริงๆหรอก” ห้องมันเล็กมากจนเธอสามารถได้ยินสิ่งที่พูด
“ใครจะไม่อยากมาล่ะ เหมือนได้มาเที่ยวฟรีๆแบบนี้ ใครกันล่ะที่ไม่ใช่เด็กหัวกะทิของโรงเรียน? ฉันอยากให้คนพวกนั้นอ่านหนังสือหนักๆทุกวัน ฝึกตัวเองในทุกๆด้านจะได้ไม่อยู่รั้งท้าย และบางคนก็ได้รับการยกเว้นเรื่องการสอบแล้วก็ไม่ต้องเข้าเรียนแค่เพราะเป็นลูกคุณหนู ขนาดได้มาร่วมในการแข่งขันที่สำคัญขนาดนี้แต่ก็ยังหายหัวออกไปโดยไม่สนใจทีมเลย คนแบบนี้จะสติดีอยู่ได้ยังไง”
“เงียบได้แล้ว ตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนมาที่นี่กันหมดแล้ว มาพูดถึงเหตุการณ์การแข่งขันและสถานการณ์ของคู่แข่งดีกว่า ในการแข่งขันระดับนานาชาตินี้ นักเรียนจากทุกประเทศต่างก็เป็นหัวกะทิ เป็นอันดับหนึ่งในห้ากันทั้งนั้น” อาจารย์ใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนักเรียน เปิดปากพูดถึงเรื่องข้อมูล
มู่หรงเสวี่ยเปิดเอกสารข้อมูลที่อยู่ในมือ นักเรียนคนแรกของเมือง B คือเออโลฉี่ ท่าทางเขาไม่ได้มีอะไรพิเศษแต่ดวงตาของเขาเปล่งประกายจนแค่มองแวบเดียวก็จำได้แล้ว เขาเป็นนักเรียนมากความสามารถคนดังของเมือง B เขาเริ่มการแข่งขันระดับโลกตั้งแต่อายุ 8 ขวบ หลายปีที่ผ่านมาเขากวาดรางวัลมานับไม่ถ้วนแล้ว
คนที่สองเป็นผู้หญิง ชื่ออ้ายหนาจู่เลา เธอเป็นนักเรียนเกรดซีที่มีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า เธอสวยมากๆ อย่างไรก็ตามไม่เหมือนมู่หรงเสวี่ย เธอดูโตเป็นสาวมากกว่า สิ่งที่ทำให้ มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจคือเธอมีบางอย่างที่ดูคล้ายกับชายที่ลักพาตัวเธอไปก่อนหน้านี้
หลังจากอันดับต่อๆมาก็ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเพียงนักเรียนหัวกะทิธรรมดาๆ
“การแข่งขันนี้ส่วนใหญ่เป็นการแข่งขันทางวิชาการซึ่งแบ่งออกเป็นสามประเภท การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก, ความทรงจำและการอภิปราย มีนักเรียนเข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 12 คน ส่วนนักเรียนที่เหลือได้ถูกจัดประเภทการแข่งขันให้แล้วเมื่อวานนี้ และยังมีมู่หรงเสวี่ย สำหรับมู่หรงเสวี่ยอาจจะลำบากหน่อย เธอได้ลงแข่งขันในทั้งสามประเภทเลย…”
มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก เธอต้องพยายามดึงความสามารถทั้งหมดออกมาใช้ ซึ่งนักเรียนคนอื่นๆจะลงแข่งขันกันแค่เพียงประเภทเดียวแต่เธอต้องลงแข่งทั้งสามประเภท…มู่หรงเสวี่ยกลอกตาและมองไปที่คุณฮวงอย่างเงียบๆ
ฮวงยักไหล่ใส่เธอและพูดว่าเขาก็ไม่มีทางเลือก ตอนที่ มู่หรงเสวี่ยมาที่โรงเรียนเพื่อฝึกล่วงหน้า เธอทำได้ยอดเยี่ยมในทุกด้าน และทางโรงเรียนก็ยืนยันว่าจำเป็นจะต้องส่งนักเรียนลงแข่งในทุกความสามารถ สุดท้ายทางโรงเรียนก็ตัดสินใจให้มู่หรงเสวี่ยลงแข่งทั้งสามประเภท นอกจากนี้การแข่งขันก็ไม่ตรงกันจึงไม่กระทบกับการที่มู่หรงเสวี่ยจะลงแข่งในทั้งสามประเภท
หลังจากนั้น อาจารย์ใหญ่ก็พูดถึงเรื่องที่ต้องให้ความสนใจในแง่มุมต่างๆและอื่นๆอีก หลังจากนั้นการประชุมก็จบลง
“มู่หรงเสวี่ย ช่วยรออยู่ก่อนนะ” เด็กสาวผมยาวสวมชุดสีขาวเรียกมู่หรงเสวี่ยไว้ตอนที่เธอกำลังจะลุกออกไป
มู่หรงเสวี่ยจึงถามกลับมาด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอ?”
“ฉันชื่อหวู่หมิน ฉันมาจากห้องเรียนข้างๆ” เด็กสาวพูดเสียงเบา
“แล้วไงเหรอ?” เธอยังคงไม่เข้าใจ
ทันทีที่หวู่หมินเห็นท่าทางไม่สนใจของเธอ เธอก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อยและน้ำเสียงของเธอก็เข้มขึ้นมาด้วย
“มู่หรงเสวี่ยควรที่จะอยู่ฝึกกับพวกเราเพราะการแข่งขันไม่ใช่เรื่องของเธอคนเดียวถูกไหม? การแข่งขันอภิปรายต้องแข่งเป็นทีมไม่ใช่เหรอ? ถ้าเธอไม่ฝึกด้วยกันแล้วเราจะเข้าขากันได้ยังไงล่ะ?” สิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง เมื่อกี้อาจารย์ใหญ่ชมมู่หรงเสวี่ยซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ยุติธรรม พวกเธอต้องฝึกอย่างหนักทุกวันมากกว่ามู่หรงเสวี่ยมากซึ่งไม่รู้ว่ามัวไปเล่นอยู่ที่ไหน?!!!
เมื่อได้ยินสิ่งที่หวู่หมินพูด นักเรียนคนอื่นอีก 10 คนต่างก็เริ่มหันมามองที่มู่หรงเสวี่ยและดูเหมือนจะมองด้วยสายตาที่แตกต่างกันไปด้วย
มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้ว เด็กสาวตรงหน้าเธอยังเด็กแต่ความอิจฉาในสายตาก็เห็นได้อย่างชัดเจน “ถึงฉันไม่ซ้อม ฉันก็ทำให้ทีมชนะได้อย่างสบายๆ พูดง่ายๆนะฉันไม่เป็นตัวถ่วงพวกเธอแน่นอน ไม่ต้องห่วงนะ อีกอย่างอาจารย์บอกแล้วว่าฉันไม่ต้องซ้อมกับพวกเธอ ฉันขอตัวก่อนนะ เธอ…นี่เบอร์โทรฉัน!” ถึงเธอจะอยู่นักเรียนพวกนี้ก็ไม่ฝึกกับเธออยู่ดี เธอรู้ก็ตอนที่เธอไปฝึกที่โรงเรียนเด็กนักเรียนพวกนี้เมินเธอทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ ตอนแรกเธอกล่าวทักทายแต่หลังๆมาเธอก็ไม่สนใจแล้ว
ไม่นานหลังจากที่เธอออกมาจากโรงแรม ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็นึกถึงชูอี้เสิ่น สองวันนี้เธอยังพอมีเวลาและเอกสารเรื่องสัญญาของห้างลิซซี่พาวิลเลี่ยนก็ยังไม่เรียบร้อย เธออาจจะทำสัญญากับเขาก่อนแล้วค่อยส่งหยกมาให้เขาทีหลัง
เมื่อมู่หรงเสวี่ยกลับมาที่วิลล่า เธอก็เข้าไปในห้อง ล็อกประตูแล้วก็หายตัวเข้าไปในมิติลับที่ที่เธอเก็บหยกพรทั้งห้าประการไว้ เธอตัดสินใจที่จะใช้ส่วนหนึ่งของมันเพื่อเป็นของขวัญให้เขา ในมิติลับเธอเตรียมเครื่องมือแกะหินไว้แล้ว ตอนแรกก็แค่เตรียมเผื่อไว้เฉยๆแต่ดูเหมือนตอนนี้จะมีประโยชน์ซะแล้ว
โชคดีที่เวลาในมิติลับกับข้างนอกแตกต่างกันเธอจึงมีเวลาพอที่จะแกะหิน เพราะนี่เป็นการแกะหินครั้งแรกของเธอ มู่หรงเสวี่ยจึงยังไม่ค่อยคล่อง เมื่อนึกถึงท่าทางของชูอี้เสิ่นทำให้เธอนึกถึงราชาเสือดุร้ายในป่า เธอจึงตัดสินใจที่จะแกะหินเป็นรูปเสือ
หลังจากเวลาผ่านไปนานมู่หรงเสวี่ยก็วางมีดแกะสลักลงและมองไปที่แหวนอย่างพอใจ ถึงแม้มันจะไม่ได้ดีเหมือนกับช่างแกะสลักมืออาชีพ แต่มันก็เป็นรูปเป็นร่างสวยงาม อย่างน้อยก็ไม่ได้ดูแย่เท่าไรและเธอก็ไม่ลืมความจริงที่ว่าเธอแกะมันด้วยมือของตัวเอง
มู่หรงเสวี่ยหยิบแหวนเสือขึ้นมาอย่างมีความสุขและแวบออกมาจากมิติลับ แล้วจึงโทรหาชูอี้เสิ่น
“ฮัลโหลมู่หรงเสวี่ย!” ชูอี้เสิ่นรับสายอย่างมีความสุข ไม่คิดว่ามู่หรงเสวี่ยจะโทรมาหาเขา
“พี่ชู ตอนนี้ว่างหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม พร้อมเล่นกับแหวนที่อยู่ในมือไปด้วย
“ว่างสิ มีอะไรเหรอ?” โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที
“พี่ชู ตอนนี้ฉันอยู่ในเมืองหลวง สะดวกมาเจอกันหน่อยไหม? ครั้งที่แล้วพี่พูดเรื่องการร่วมงานกับห้างลิซซี่พาวิลเลี่ยนค้างไว้ใช่ไหม?! เอาสัญญาติดมือมาด้วยนะคะ” มู่หรงเสวี่ยรีบพูดเข้าเรื่องทันที
เป็นเพราะเรื่องงานนี่เอง ดวงตาที่เป็นประกายของชูอี้เสิ่นหม่นลงไปเล็กน้อยแต่เขาก็ยังมีความสุขจึงพูดออกไป “โอเค งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันที่ร้านอาหารฝรั่งเคราตินนะ?” ในระหว่างที่เขาพูด เขาก็ทำมือบอกให้เลขาจองโต๊ะให้เขาด้วย
เลขาเสี่ยวจางติดตามชูอี้เสิ่นมานานหลายปี เขาจึงเข้าใจความหมายของชูอี้เสิ่นในทันที เขารีบโทรไปที่ร้านและจองโต๊ะทันที
“ได้ค่ะ เดี๋ยวเจอกัน”
“ดีเลย” แล้วก็วางสายไป
หลังจากวางสายไป สายตาของชูอี้เสิ่นก็กลับมาจ้องไปที่พนักงานในห้องประชุมด้วยสายตาเย็นชา พนักงานต่างก็เงียบลงในทันทีและต่างก็ทำท่าไร้เดียงสาไม่รู้อะไรเลยทั้งนั้น
หลังจากเงียบไปสักพัก ชูอี้เสิ่นก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “วันนี้การประชุมพอแค่นี้แล้วค่อยต่อกันใหม่พรุ่งนี้”
หลังจากที่พูดจบ ชูอี้เสิ่นก็หันไปบอกกับเลขาจาง “ปริ้นสัญญาและรายละเอียดของการร่วมงานระหว่างบริษัทอ้ายเสวี่ยและลิซซี่แล้วเอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“โอเคครับ” เสี่ยวจางรับคำในทันที เขารู้นิสัยของชูอี้เสิ่นดี โดยปกติเขาจะนิ่งเฉยหรือไม่งั้นก็จะเพียงแค่ตำหนิเท่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นท่าทางแบบนั้นของชูอี้เสิ่น แล้วก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ชูอี้เสิ่นเลิกประชุมกลางคัน และเหตุผลของการเลิกประชุมกลางคันก็คงเป็นเพราะปลายสายที่น่าสงสัยนั้น นี่เป็นแค่บริษัทใหม่ แต่เราต้องให้ความสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะถามออกไป
ไม่นานเสี่ยวจางก็เอาเอกสารทั้งหมดมาให้ชูอี้เสิ่น
“ยกเลิกงานช่วงบ่ายและเย็นทั้งหมดแล้วค่อยทำนัดใหม่อีกทีด้วย” ชูอี้เสิ่นที่รับเอกสารทั้งหมดมา สั่งงานแล้วเดินออกไป
ไม่นานมู่หรงเสวี่ยกับชูอี้เสิ่นก็มาเจอกันที่ร้านเคราติน โต๊ะที่เสี่ยวจางจองเป็นห้องที่ดีที่สุดอยู่ในชั้นสาม
“เสี่ยวเสวี่ย ทำไมไม่บอกล่ะว่าจะมาเมืองหลวงฉันจะได้ไปรับ?” ชูอี้เสิ่นนั่งลงและถามออกมา
“ฮ่าฮ่า พี่โม่ไปรับฉันแล้ว และที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันวิชาการของมหาวิทยาลัยนานาชาติ อีกสองวันฉันก็เริ่มแข่งแล้ว พอมีเวลาฉันเลยรีบโทรหาพี่ก่อน ฉันรบกวนงานของพี่หรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม
ชูอี้เสิ่นบ่นมู่หรงเสวี่ยเสียงเบา “ฉันก็คิดว่าเธอจะมีกะจิตกะใจนึกถึงฉันบ้าง ที่ไหนได้ก็แค่โทรมาเพราะเรื่องงานนี้เอง นี่หัวใจฉันเจ็บปวดไปหมดแล้วนะ” เขาเอามือกดไปที่หน้าอกข้างซ้าย แกล้งทำเป็นเศร้า
“พี่ชู มาเจอพี่ก็เป็นเรื่องหลักแหละ เรื่องธุรกิจก็แค่ผลพลอยได้ ฮ่าฮ่า!!! อีกอย่างนะ นี่สำหรับพี่ค่ะ…” มู่หรงเสวี่ยหยิบกล่องออกมาจากกระเป๋าแล้วข้างในกล่องก็คือของที่เธอพึ่งจะแกะวันนี้เอง
“อะไรเหรอ?” ชูอี้เสิ่นถาม
“พี่เปิดดูเองสิ” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มที่เธอเชื่อว่าพี่ชูจะต้องชอบแน่ๆ