บทที่ 95
ความขัดแย้ง
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เมื่อคืนเธอไม่น่าดื่มจนเมาขนาดนั้นเลย “ตลกงั้นเหรอ?!! เมื่อคืนฉันทำอะไร?”
“ความลับ โอ้ มันเป็นความลับ ฉันบอกเธอไม่ได้หรอก!” ชูอี้เสิ่นยิ้มเล็กน้อยแต่ก็นึกถึงท่าทางที่แสนเศร้าของมู่หรงเสวี่ยเมื่อคืน
มู่หรงเสวี่ยทำปากจุจุ และเปลี่ยนเรื่องพูดทันที! “ฉันกลับดีกว่า เมื่อฉันรบกวนพี่ชูมาเยอะแล้ว…”
ดวงตาของชูอี้เสิ่นเข้มขึ้น “โอเค ฉันจะไปส่งเอง!”
ไม่นานมู่หรงเสวี่ยก็กลับมาถึงวิลล่า ชูอี้เสิ่นมอง มู่หรงเสวี่ยที่เดินกลับเข้าไปในวิลล่า หัวใจครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่นานเขาก็ขับรถกลับออกไป
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยเดินเข้ามาในวิลล่า เธอก็เจอชางกวนโม่ที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างมีความสุข “พี่โม่ วันนี้ไม่ยุ่งเหรอคะ?”
รอยยิ้มที่สดใสของเธอ เสื้อผ้าชุดเดิม เขาเห็นได้อย่างชัดเจนตอนที่มารถขับเข้ามาส่งเธอที่วิลล่า เธอกล่าวลากับอีกฝ่ายอย่างมีความสุขเหลือเกิน แล้วตอนนี้ยังทำมาเป็นทักทายเขาอย่างสนิทสนมอีก เธอจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไงกัน?! เขาพยายามที่จะเก็บกดความเจ็บปวดในหัวใจและแกล้งทำเป็นถามออกไปว่า
“เมื่อคืนเธอไปไหนมาเหรอ? พอเธอไม่กลับมา ฉันโทรไปก็ไม่รับสาย…” ตราบใดที่เธออธิบาย เขาจะเชื่อ
มู่หรงเสวี่ยนึกถึงความเมาที่น่าอับอายเมื่อคืนและเธอก็อยู่กับผู้ชายคนอื่นจริงๆ ถึงแม้จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงนึกถึงครั้งที่แล้วที่เขาโกรธ ทันใดนั้นเธอก็กลืนคำอธิบายที่เธออยากจะพูดกลับเข้าไป
อย่าพูดนะ เธอไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย “เมื่อคืน ฉันเหนื่อยมากเลยออกไปเที่ยวผ่อนคลายข้างนอก บางทีฉันอาจจะเผลอหลับไปเลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ฉันขอโทษนะคะพี่โม่…” เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและยื่นให้เขาดูว่ามีสายไม่ได้รับเป็นสิบสาย จนกระทั่งเช้านี้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกผิดอย่างมากและสาบานไว้กับตัวเองว่าต่อไปในอนาคตเธอจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกเด็ดขาด
เพราะเธอก้มหัวลงจึงไม่เห็นหน้าและสายตาของ ชางกวนโม่ที่แวบประกายแห่งความผิดหวัง
“จริงเหรอ?! กินอาหารเช้ามาหรือยัง? ห้องครัวทำอาหารเตรียมไว้แล้วนะ ไปกินอะไรก่อนสิ…” ชางกวนโม่คิดว่าตัวเองต้องอดทนมากๆและรอให้เธอค่อยๆยอมรับเขาเอง…จนกระทั่งตอนนี้…เขาก็รู้สึกว่าตัวเองรับไม่ไหว…เขาวางเธอไว้เป็นหนึ่งในหัวใจ…แต่เธอยังรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม
ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมาราวกับว่าเพื่อเดินผ่านหนุ่มหล่อ แต่ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงรู้สึกแปลกออกไป “ฉันกำลังหิวพอดีเลย…”
พวกเขาเดินไปที่โต๊ะเพื่อกินอาหารเช้าด้วยกัน ที่โต๊ะมีอาหารเช้าจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว
ทั้งโต๊ะนั่งกินกันเงียบๆ มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะพูดอะไรบางอย่างแต่รู้สึกว่าไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ชางกวนโม่ก็จะยิ้มเบาๆและตอบสั้นๆเท่านั้น
ไม่นานมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ชางกวนโม่ไม่ปกติ ถ้าเป็นปกติเขาก็คงจะพูดกับเธอไม่หยุดแล้ว ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเขาก็มักจะเห็นด้วยเสมอ
แต่ตอนนี้ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร เขาก็ดูเหมือนจะเหม่อลอย ถึงขนาดไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ…เกิดอะไรขึ้นกับเขา เกิดอะไรขึ้นกัน? เพราะปัญหาเรื่องธุรกิจหรือเปล่า? “พี่โม่ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” เธอมองไปที่ชางกวนโม่ด้วยความเป็นห่วง
ชางกวนโม่หันมาบอกมู่หรงเสวี่ย ดวงตาซับซ้อน วันนี้เขาอยากที่จะถามออกไปว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใครแต่เมื่อคิดดูแล้วก็ไม่รู้ว่าจะถามยังไง จึงบอกไปพร้อมส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีอะไร”
เขาดูไม่เหมือนไม่เป็นไรแต่เธอรู้ว่าเขาไม่อยากที่จะพูด เธอไม่มีอารมณ์ที่จะกิน เธอเขี่ยอาหารที่อยู่ตรงหน้าสักพักแล้วก็เอาแต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับชางกวนโม่ ทันใดนั้นก็นึกได้ว่าเขาดูแปลกไปหลังจากที่เธอตอบเขาเมื่อเช้านี้ เขาโกรธเธอหรือเปล่า?! “พี่โม่ พี่โกรธฉันหรือเปล่า?” เธอถามเขาด้วยความสงสัย
ชางกวนโม่พูดพร้อมรอยยิ้มปลอบใจ “เปล่า อย่าคิดมากเลย…” เขาไม่ได้โกรธจริงๆเพียงแค่ความต้องการที่มากขึ้น…และความรักของเธอที่มีให้เขาตอนนี้มันไม่ทำให้เขาพอใจ
“งั้นพี่ก็ต้องบอกอะไรฉันบ้างสิ…”
หลังจากนั้น ชางกวนโม่ก็ไปทำงานที่บริษัทแต่มู่หรงเสวี่ยยังอยู่ที่บ้านพร้อมด้วยความรู้สึกงุนงง ในหัวว่างเปล่าและเอาแต่นึกวนไปวนมาถึงท่าทางแปลกๆของชางกวนโม่
เวลาผ่านไปนานแต่มู่หรงเสวี่ยก็ยังคิดไม่ออก เธอกลับเข้าไปในห้อง ล็อกประตูและเข้าไปในมิติลับ ถึงแม้เธอจะค่อนข้างมั่นใจเรื่องการแข่งขันแต่เธอก็ยังตั้งใจซ้อมและเตรียมตัวให้พร้อมหลังจากที่ได้กลับมาเกิดใหม่
เวลาผ่านไปนาน หลายวันผ่านไปในมิติลับ มู่หรงเสวี่ยแอบออกมาจากมิติลับ ยังไงซะที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านของเธอและเธอไม่กล้าที่จะอยู่ในนั้นนานเกินไป
ท้องฟ้ามืดลงแล้วแต่ชางกวนโม่ก็ยังไม่กลับ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็นอกลงที่เตียง หยิบหนังสือมาและอ่านรอเขา
เวลาผ่านไปนานจนดึกมากแล้ว มู่หรงเสวี่ยอดรู้สึกง่วงไม่ได้เลยเผลอหลับไปบนเตียง
ในเวลานี้ชูอี้เสิ่นกำลังอ่านข้อมูลการสืบสวนในมือและเส้นเลือดที่แขนเขาก็เด่นชัดขึ้นมาทันที
เสี่ยวเสวี่ยเคยพยายามฆ่าตัวตายจริงๆด้วย เขาไม่อยากจะเชื่อและอ่านข้อมูลซ้ำไปซ้ำมา เขานึกถึงน้ำตาของเสี่ยวเสวี่ยในตอนที่เธอเมาและเสียงกระซิบร้องไห้…ในหัวใจเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก…เสี่ยวเสวี่ยต้องสิ้นหวังขนาดไหนถึงคิดที่จะกรีดข้อมือตัวเอง…เหตุผลที่ทางโรงพยาบาลใส่ไว้คือเธอประสบอุบัติเหตุถูกเศษแก้วบาด…เขาจะเชื่อคำโกหกที่เห็นกันชัดๆอยู่แล้วแบบนั้นได้ยังไง
ชางกวนโม่ ในเมื่อนายไม่ทะนุถนอมมู่หรงน้อยที่ฉันมองเป็นสมบัติล่ำค่า งั้นฉันก็จะไม่พูดดีด้วยแล้วนะ เขาเคยคิดว่าชางกวนโม่จะเป็นคนดีกับเสี่ยวเสวี่ย เขายังจำได้ว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวเสวี่ยเคยพูดถึงความสุขที่มีกับชางกวนโม่ เขาเคยคิดว่าตราบใดที่เสี่ยวเสวี่ยมีความสุข เขาก็จะยอมแพ้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาเห็นวันนี้ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดไว้เลย เขาไม่รู้เลยว่ามู่หรงเสวี่ยจะเศร้าขนาดนี้
เช้าวันต่อมามู่หรงเสวี่ยดันตัวเองที่นอนหลับไปกับพื้นขึ้นมา มองไปที่เตียงเรียบและก็ต้องประหลาดใจ เมื่อคืนชางกวนโม่ไม่ได้กลับมาเหรอเนี่ย?
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เธอก็เดินไปที่ห้องทำงานเพื่อดูชางกวนโม่แต่ก็ไม่เจอใครเลย
ในหัวใจมู่หรงเสวี่ยรู้สึกเศร้าและเพียงแค่คืนเดียวเธอก็รู้สึกได้แล้วว่าทุกอย่างมันผิดไปหมด
หลังจากที่กินอาหารเช้าด้วยอาการซึมกะทือ มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะโทรหาชางกวนโม่ อย่างไรก็ตามเธอพยายามที่จะพูดด้วยเสียงที่มีความสุข แต่เขาก็ตอบมาเพียงสั้นๆว่าตอนนี้กำลังยุ่งอยู่แล้วก็วางสายไป มู่หรงเสวี่ยถือโทรศัพท์ค้างอยู่แบบนั้นอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาวางสายเธอ
ตอนนี้เสวี่ยหลี่ที่อยู่ในคฤหาสน์เองก็ได้ข่าวเรื่องนี้แล้ว เธอกำหมัดด้วยความเกลียดที่ได้รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยหนังเหนียวไม่ยอมตายซะทีและเธออยู่กับพี่โม่
เธอเริ่มแต่งตัวทันที ใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการแต่งหน้าแล้วก็สวมชุดโปรด เธอดูสวยและสง่าอย่างมาก แต่เธอก็เป็นแค่ตุ๊กตาและรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย
เธอรีบไปหาพี่โม่ที่บริษัทในทันทีและเมื่อไปถึงก็เดินตรงเข้าไป “พี่โม่!” ไป๋เสวี่ยหลี่ตะโกนพร้อมรอยยิ้มใส่ชางกวนโม่ที่กำลังยุ่งอยู่
ชางกวนโม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยความแปลกใจ “เสวี่ยหลี่ มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?”
เสวี่ยหลี่กระทืบรองเท้าส้นสูงและทำปากเบะ พร้อมบ่นออกมาเบาๆ “ฉันจะมาเยี่ยมพี่โม่บ้างไม่ได้เหรอคะ? พี่โม่ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้วนะคะ…”
ชางกวนโม่นวดหัวที่กำลังปวด เมื่อคืนเขาไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆเขาก็ไม่อยากที่จะเผชิญหน้ามู่หรงเสวี่ย เขาจึงค้างที่ออฟฟิศทั้งคืนจนถึงตอนนี้ เขาไม่ได้หลับเลยและรู้สึกเพลียนิดหน่อย “เราเพิ่งจะกินอาหารค่ำด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นมันอาทิตย์ที่แล้วแต่อาทิตย์นี้เรายังไม่ได้กินด้วยกันเลยนะคะ ฉันเบื่อจะกินข้าวคนเดียวแล้วนะ…”
ชางกวนโม่มองไปที่นาฬิกาและมันก็เกือบจะได้เวลาแล้วด้วย ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เขาปิดเอกสาร “ไปกันเลยป่ะ” ชางกวนโม่ยังไม่ลืมเรื่องที่เธอเข้าไปรับกระสุนแทนเขาดังนั้นเขาจึงมักจะตามใจเธออย่างมาก แต่โดยทั่วไปเขาก็พยายามที่จะไม่ตามใจเธอเกินไปนัก
“ดีเลย ไปกันเถอะค่ะ ฉันหิวแล้ว…” เธอควงแขนชางกวนโม่อย่างมีความสุข คนที่พบเห็นต่างก็พูดกันว่าพี่น้องคู่นี้สนิทกันอย่างมาก แต่เมื่อคนที่ไม่รู้จักเห็นก็มักจะคิดว่าพวกเขาเป็นคู่รักกัน ผู้หญิงดูสง่าและสวยมาก ส่วนผู้ชายดูหล่อแต่ก็เย็นชา พวกเขาดูเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก
ชางกวนโม่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้และไป่เสวี่ยหลี่ก็สนิทกับเขาอยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เธออาจจะเคยชินเลยไม่ได้คิดว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร
ไป๋เสวี่ยหลี่มีความสุขมาก พี่โม่ไม่เคยปฏิเสธที่จะอยู่ใกล้ๆเธอ งั้นก็หมายความว่าเธออยู่ในใจเขาด้วยเหมือนกัน
ทั้งสองเข้าไปในร้านอาหารฝรั่ง สั่งอาหาร ไป๋เสวี่ยหลี่ทำเป็นพูดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ “พี่โม่ ฉันไม่เห็นมู่หรงเสวี่ยนานแล้ว ไม่ชวนเธอมากินข้าวด้วยกันเหรอคะ?” อันที่จริงเธออยากให้มู่หรงเสวี่ยได้เห็นว่าเธอสนิทกับพี่โม่มากแค่ไหน เธอจึงยินดีที่จะ ชวนมาด้วย
อย่างไรก็ตามสีหน้าของชางกวนโม่ดูเข้มขึ้นและพูดออกมาเพียงสั้นๆ “จะชวนเธอมาด้วยทำไม?!! เรากินกันเองเถอะ…” ไม่ใช่ไม่อยากเจอเธอแต่เขากลัวปากตัวเอง เขากลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้จนต้องทำร้ายเธออีก
เรื่องนี้ทำให้เสวี่ยหลี่ค่อนข้างตกใจ พี่โม่พูดแบบนั้นได้ยังไง? สองคนนี้ทะเลาะกันเหรอ?! แล้วเธอก็รู้สึกมีความสุข ตราบใดที่พวกเขาทะเลาะกัน เธอก็มีโอกาสที่จะช่วยเพิ่มความขัดแย้งให้อีก