บทที่ 98
การเล่นเครื่องร่อน
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชางกวนโม่ที่ไม่มีไหวติงอะไร
แต่ชูอี้เสิ่นกลับเอ่ยปากชวนเธอและเธอก็ปฏิเสธเพื่อนตัวเองไม่ได้ด้วย
“ได้ค่ะพี่ชู!” หลังจากนั้นเธอก็เดินไปอีกฝั่งกับชูอี้เสิ่น
“เสี่ยวเสวี่ยเคยเล่นมาก่อนหรือเปล่า?”
ชูอี้เสิ่นถามด้วยเสียงเบา
“ไม่ค่ะ
นี่เป็นครั้งแรกของฉัน…” มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว นี่เป็นครั้งแรกของเธอจริงๆ
ในชีวิตที่แล้ว เสี่ยวเข่อลี่มักจะพาเธอไปแต่บาร์และสถานที่อื่นๆ
หลังจากนั้นเธอกับฟางฉีฮัวก็ไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนดีๆกันเลย
ครั้งเดียวที่เธอได้ไปช้อปปิ้งคือตอนที่เธอต้องอ้อนวอนอยู่นานกว่าที่ฟางฉีฮัวจะยอมให้เธอไปแต่ผลที่ได้ก็ไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไร
ในชีวิตนี้เธอก็มัวแต่ยุ่งกับการสร้างธุรกิจจนแทบไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย
ชูอี้เสิ่นเห็นว่าในที่สุดเธอก็ร่าเริงขึ้นมาหน่อยแล้ว
จึงอดไม่ได้ที่จะแตะไปที่หัวน้อยๆของเธอ “ไม่ต้องห่วงอยู่กับฉันซะอย่าง
ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”
หลังจากนั้น
ชูอี้เสิ่นก็ค่อยอธิบายโครงสร้างของเครื่องร่อนให้มู่หรงเสวี่ยฟังแล้วก็พามู่หรงเสวี่ยไปออกกำลังกายเพื่อวอร์มร่างกายก่อน
พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกัน จนบรรยากาศเริ่มจะดีขึ้น
ชางกวนโม่ที่อยู่อีกฝั่งมองมาที่ฝั่งของมู่หรงเสวี่ย
เขาค่อยๆกำหมัดแน่น เพราะการควบคุมตัวเองที่ดีเยี่ยมทำให้เขาไม่เดินเข้าไปแยกสองคนนั้นออกจากกัน
ไป๋เสวี่ยหลี่รู้สึกโกรธอย่างมาก เมื่อเห็นว่าชางกวนโม่ไม่สนใจ
เธอก็แวบประกายสายตาโหดเหี้ยมขึ้นมา แล้วก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแสนหวาน “พี่โม่
พี่ยังไม่ได้สอนวิธีเล่นฉันเลยนะ?”
หลังจากได้ยินเสียง
ชางกวนโม่ก็กลับมาได้สติ “โอเค พี่จะสอนเดี๋ยวนี้แหละ…”
อย่างไรก็ตามทันทีที่พวกเขาหันกลับมาคุยกัน
มู่หรงเสวี่ยเองก็หันมามองพวกเขาเช่นกัน…พระเจ้าดูเหมือนจะเล่นตลก
ไม่งั้นสายตาของพวกเขาจะคล้าดกันตลอดได้ยังไง
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเข้มขึ้นและรอยยิ้มก็จางลง
ในตอนนี้หัวใจของเธอมีแต่เรื่องสับสนและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ดังนั้นเธอจึงไม่สังเกตเห็นสายตาที่เปลี่ยนไปของชูอี้เสิ่นที่ทั้งปวดใจและเต็มไปด้วยความรัก
ช่างเป็นความลึกซึ้งที่มีเสน่ห์จริงๆ
ทิวทัศน์ทั่วไปจะเป็นชายหาดที่สวยงามของเมืองหลวง
เป็นวิวที่สวยมากจริงๆ
ที่ริมหน้าผามีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเริ่มที่จะร่อนออกไปชมวิวแล้วสองหรือสามคู่
“พร้อมจะไปหรือยัง?”
ชูอี้เสิ่นถาม
มู่หรงเสวี่ยที่ขึ้นไปนั่งอยู่ในเครื่องร่อนเรียบร้อย
มองไปที่ความสูงที่ห่างออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา
และเกิดความเกร็งแต่ก็ตอบออกไปเสียงเบา “ค่ะ ไปเลย”
ชูอี้เสิ่นหันหัวกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ต้องเกร็ง ค่อยๆผ่อนคลาย ทุกอย่างฉันจัดการเอง”
มู่หรงเสวี่ยหน้าแดงเพราะความอาย
“ฉันไม่ได้เกร็ง…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ชูอี้เสิ่นยิ้มอย่างมีความสุข “เกาะแน่นๆนะเตรียมพร้อมที่จะไปแล้วนะ!”
เครื่องร่อนร่อนออกไปจากขอบหน้าผาและพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้าสีฟ้าพร้อมด้วยเมฆขาว
หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเองก็บินไปกับพวกนกที่บินผ่านไปด้วย เมฆขาวลอยอยู่ข้างๆ
ลมพัดมากระทบหู หัวใจของเธอเริ่มที่จะสดใสขึ้นมาแล้ว
เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกไปอย่างมีความสุข “ท้องฟ้าช่างสวยอะไรขนาดนี้เนี่ย!”
ชูอี้เสิ่นมองไปข้างหน้า
แว่นกันแดดสีฟ้าบดบังดวงตาคู่สวยของเขาไว้และที่มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย
เผยให้เห็นความอารมณ์ดีของเขาในตอนนี้ “ใช่ ครั้งหน้าเรามากันอีกนะ”
พวกเขาเริ่มที่จะร่อนไปทางตะวันตก
หลังจากที่ร่อนไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง น้ำทะเลสีฟ้าก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
เรื่อยไปตามทะเล เครื่องร่อนกำลังร่อนเข้าไปในทะเลลึก
น้ำทะเลที่ไม่สิ้นสุดช่างสวยงามราวกับอัญมณี
ใต้แสงอาทิตย์น้ำทะเลเปล่งประกายราวกับหมู่ดาว มันช่างสวยงามเหลือเกิน
“พี่ชู
นี่สวยจริงๆเลย”
“ฮ่าฮ่า
เดี๋ยวถึงพื้นแล้ว ฉันจะพาเธอไปดูที่ที่สวยกว่านี้อีก…” ชูอี้เสิ่นพูดพร้อมรอยยิ้ม
“พี่ชู
เราไม่ได้ลงจอดที่ชายหาดเหรอคะ? พี่เข้ามาในทะเลทำไม?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างประหลาดใจ
“เดี๋ยวก็ได้รู้…”
ทิศทางของเครื่องร่อนเริ่มที่จะต่ำลงและความเร็วก็ค่อยๆช้าลงแล้วด้วย
มู่หรงเสวี่ยมองออกไปนอกหน้าต่างของเครื่องร่อนและเห็นเกาะ “นั่นมันเกาะเหรอคะ?”
เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น
เธอจึงได้เห็นสภาพของทั้งเกาะ เกาะนี่ไม่เล็กเลย มีต้นไม้สีเขียวและพื้นที่มากมาย
แล้วยังมีวิลล่าสีขาว พร้อมด้วยชายหาดสีทองที่เชื่อมต่อกับน้ำทะเลสีฟ้าอีกด้วย
ช่างเป็นสรวงสวรรค์ที่เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆ
เครื่องร่อนมาลงจอดใกล้ๆกับพื้นลาดบนเกาะ
ชูอี้เสิ่นถอดแว่นกันแดดออกและมองมาที่มู่หรงเสวี่ย “ถึงแล้วล่ะ”
“ที่นี่มันที่ไหนกันคะเนี่ย?”
มู่หรงเสวี่ยถามอย่างสงสัย
มู่หรงเสวี่ยก้าวลงจากเครื่องร่อนและเหยียบลงไปที่ชายหาดสีทองแสนสวย
ชายหาดราบเรียบและไม่มีร่องรอยของการเดินเลย
เกลียวคลื่นพัดขึ้นมาและค่อยๆหมุนกลับลงไป เหลือไว้แต่รอยจางๆ
เกลียวคลื่นที่ชายหาดฟังดูคล้ายเสียงพูดคุย
นกนางนวลมากมายบินวนอยู่ในอากาศและมีเรือจอดอยู่ไม่ไกลจากชายหาดไปทางใต้
มู่หรงเสวี่ยถอดรองเท้าออกและถือพวกมันไว้
เธอค่อยๆรับรู้ถึงกรวดทรายที่อยู่ใต้เท้าอันเปลือยเปล่าของเธอ
รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก
สถานที่แบบนี้เป็นใครจะไม่ชอบกันล่ะ “พี่ชู ที่นี่สวยมากเลยแต่ทำไมถึงไม่มีคนเลยละคะ?”
มู่หรงเสวี่ยหันกลับมาถามชูอี้เสิ่นที่อยู่ข้างหลังเธอ
ชูอี้เสิ่นค่อยๆเดินมาข้างๆมู่หรงเสวี่ยแล้วจึงหยุดลง
“นี่เป็นเกาะส่วนตัวของฉันเอง!”
น้ำเสียงของชูอี้เสิ่นมีความเศร้าและความรู้สึกผิดอยู่ในน้ำเสียงด้วย
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ?
พี่ชู
ที่นี่สวยมากเลยนะคะแต่ฉันรู้สึกว่าพี่ดูเหมือนจะเศร้าๆ…”
มู่หรงเสวี่ยถามอย่างระวัง
“ตอนที่ฉันยังเด็ก
แม่มักจะบอกว่าแม่จะพาฉันมาสถานที่ที่เงียบๆ ที่มีเพียงแค่แม่กับฉัน
ที่ที่มีท้องฟ้าสีฟ้า เมฆสีขาวและน้ำทะเลสวยๆ
จะไม่ต้องกังวลเรื่องที่ต้องหลบๆซ่อนๆอีก แม่เอาแต่เล่าถึงความฝันที่ดีที่สุดที่อยู่ในหัวใจซ้ำแล้วซ้ำอีก
การเชื่อในเรื่องความฝันนั้นทำให้เราผ่านวันที่แย่ๆมากมายนับไม่ถ้วนมาได้…แต่มันก็เป็นชีวิต
พระเจ้าไม่เคยปรานี แม้แต่ชีวิตเพียงชีวิตเดียว…หลังจากเวลาผ่านไปนาน
ในที่สุดฉันก็มีความสามารถที่จะหาที่ที่สวยที่สุดในใจของแม่และซื้อมันมาได้…”
แต่แม่ก็ไม่อยู่แล้ว เสียงของชูอี้เสิ่นสะดุดไป ตอนนี้เขาลืมหน้าแม่ตัวเองไปแล้ว
สิ่งเดียวที่เขาจำได้อย่างแม่นยำคือดวงตาที่เปล่งประกายเวลาที่แม่พูดถึงสถานที่เงียบๆในฝัน
พร้อมด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและรักใคร่ที่ส่งมาให้เขา
“พี่ชู…”
มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะปลอบเขาแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้เลย
ชูอี้เสิ่นยิ้มอ่อน
“รู้อะไรไหม? ฉันไม่เป็นไร
มันก็เป็นแค่สถานที่แสนสวยที่ไม่มีใครรู้จัก มันน่าเสียดายฉันเลยพาเธอมาที่นี่
เพื่อมาดู…”
มู่หรงเสวี่ยเองก็ยิ้ม
เธอรู้ว่าวันนี้พี่ชูไม่อยากให้เธอปลอบใจ เธออ้าแขน ก้าวเท้าและเดินไปข้างหน้า
สนุกไปกับเกลียวคลื่นที่ซัดเข้ามาจนพัดเธอล้มไป
น้ำทะเลทั้งเย็นและสบาย
ความรู้สึกตึงเครียดของเธอค่อยๆผ่อนคลายและเริ่มที่จะสนุกอย่างที่หาได้ยาก
นกนางนวลสองตัวบินมาข้างๆเธอ กระพรือปีกและบินต่ำๆเรี่ยไปกับน้ำทะเล ช่างสวยงามและมีสีสันจริงๆ
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกหลงใหลอย่างมากแต่เธอไม่รู้เลยว่าชูอี้เสิ่นกำลังมองมาที่เธอตลอดเวลาและสายตาของเขาก็ไม่แม้แต่จะกะพริบ
ในชีวิตที่แล้วบ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วนที่เธอฝันถึงฉากแบบนี้
เฝ้ามองหาผู้ชายที่พร้อมจะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต เดินตามชายหาดไปพร้อมกับเธอและจับมือกันอย่างมีความสุข
ถึงแม้มันจะหวือหวาแต่เธอก็รู้สึกอบอุ่น
ในเย็นนั้นได้นั่งลงที่ชายหาดและดูดวงดาวเปล่งแสงอยู่บนท้องฟ้า
เธอเคยคิดว่าตลอดว่าผู้ชายคนนั้นคือฟางฉีฮัวแต่เธอไม่คิดว่าผลมันจะเป็นแบบนั้น
หัวใจของเธอต้องแตกสลาย
ถึงแม้เธอจะได้กลับมาเกิดใหม่แต่หัวใจของเธอก็ไม่สมบูรณ์อีกแล้ว
ตอนนี้เธอเข้าใจความฝันแม่ของพี่ชูแล้ว
หัวใจของเธอแตกสลายและเธออยากที่จะหาที่เงียบๆเพื่ออยู่ตามลำพัง
จะได้ไม่มีใครมาเห็นตอนที่เธอกำลังอ่อนแอ
เวลาผ่านไปนาน
ชูอี้เสิ่นที่อยู่ข้างหลังก็เรียกเธอ มู่หรงเสวี่ยหันกลับไป
เผยให้เห็นอารมณ์บนใบหน้าของเธอ ลมทะเลพัดผมของเธอปลิวไสวย ในวินาทีนั้น
หัวใจของชูอี้เสิ่นหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“มาเถอะ
ฉันจะพาเธอเข้าไปดูข้างในวิลล่า!”
ในตอนนั้นเธอดูเหมือนว่าห่างไกลจากเขามาก…ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ห่างจากเธอ…ชูอี้เสิ่นพูด
ในตอนนี้แสงอาทิตย์ยังแรงอยู่ หน้าของมู่หรงเสวี่ยเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ค่ะ!”
มู่หรงเสวี่ยยิ้มจางๆให้ชูอี้เสิ่น
ที่ฝั่งมุมสูงของเกาะ
มีวิลล่าสีขาวขนาดสามชั้นตั้งอยู่
เป็นรูปแบบสไตล์ยุโรปซึ่งเข้ากับสีฟ้าและขาวของท้องทะเล
ตลอดทางจะมีต้นไม้สีเขียวปลูกไว้มากมาย ดอกไม้ก็เบ่งบานเป็นสีสันสดใส
ที่ทางเดินปูด้วยหินสีฟ้า
ตามถนนมีพวกวัชพืชขึ้นบ้างแต่มันก็ช่วยเพิ่มความสวยของธรรมชาติ
ระหว่างทางพวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก
เพียงแค่เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม หลังจากที่เข้าไปในวิลล่า
ชูอี้เสิ่นและมู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆเดินดูรายละเอียดของวิลล่าซึ่งรวบรวมของทุกอย่างที่แม่เขาเคยฝันไว้ทั้งหมด
มู่หรงเสวี่ยตั้งใจฟัง
ทันใดนั้นดวงตาก็เริ่มเอ่อล้น ในชีวิตที่แล้วเธอทำให้พ่อแม่ต้องตาย
เธอเสียใจเรื่องนี้ที่สุด หัวใจของพี่ชู
เธอรู้สึกได้เลยว่าเขารักแม่อย่างมากและของทุกชิ้น
ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านก็คือความคิดถึงของเขาที่มีต่อแม่…เมื่อเทียบกับเขา
เธอยังห่างไกลอีกมาก
อย่างไรก็ตาม
ชูอี้เสิ่นเห็นน้ำตาที่มุมห่างตาของเธอและก็รับหันมาจับมือเธอทันที “เสี่ยวเสวี่ย
เป็นอะไรหรือเปล่า?! ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?
ฉันขอโทษนะ
เป็นความผิดฉันเอง…”
มู่หรงเสวี่ยส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด
สะอื้นและพูดไม่ออก เมื่อมีคนมาปลอบใจ
น้ำตาของเธอก็ยิ่งไหลไม่หยุดและก็ยิ่งไหลมากขึ้นอย่างรุนแรง
“เสี่ยวเสวี่ย
อย่าร้องไห้…ที่รัก…อย่างร้องไห้เลยนะ…”
ชูอี้เสิ่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดในหัวใจเธอ
เขาค่อยกอดมู่หรงเสวี่ยอย่างอ่อนโยน…ใครทำให้เธอร้องไห้แบบนี้
มู่หรงเสวี่ยพิงอยู่ที่หน้าอกของชูอี้เสิ่นและร้องไห้อย่างเงียบๆ
ที่อีกฝั่ง
ชางกวนโม่และไป๋เสวี่ยหลี่ร่อนลงจอดที่ชายหาดของทะเลสติกซ์เรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เครื่องร่อนหยุดลง
ชางกวนโม่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆเพื่อหาร่างของมู่หรงเสวี่ย บ้าจริง
สองคนนั้นหายไปไหนกัน
ไป๋เสวี่ยหลี่ดึงแขนเสื้อของชางกวนโม่และพูดว่า
“พี่โม่ มีอะไรเหรอคะ?”
“กำลังหาเสี่ยวเสวี่ย
ทำไมไม่เห็นเธอเลย…” ตอนที่ชูอี้เสิ่นกับเสี่ยวเสวี่ยออกมา
เขาเองก็อยากที่จะตามพวกเขาให้ทันแต่เสวี่ยหลี่เอาแต่บอกว่าเธอกลัว
แต่เมื่อเขาออกมาชูอี้เสิ่นกับเสี่ยวเสวี่ยก็หายไปแล้ว
“พี่โม่
มาที่นี่ก็เพื่อมาสนุกกันนะคะ เสี่ยวเสวี่ยก็มีเพื่อนคอยดูแลอยู่แล้ว ไม่มีอันตรายอะไรหรอก
อีกอย่าง พวกเขาสองคนก็สนิทกันมากด้วย ฉันเองยังอิจฉาอยู่หน่อยๆเลย…” ไป๋เสวี่ยหลี่พูดพร้อมรอยยิ้ม
เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นแหละเขาถึงได้เป็นห่วง
เขาเองก็เป็นผู้ชาย เขารู้ดีว่าสายตาแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง
เขาไม่เชื่อหรอกว่าชูอี้เสิ่นไม่ได้คิดอะไรกับเสี่ยวเสวี่ย ด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ
ชางกวนโม่หยิบโทรศัพท์ออกมาและรีบกดโทรหามู่หรงเสวี่ย
อย่างไรก็ตามเบอร์ปลายสายกลับติดต่อไม่ได้
เขารีบเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
มองหาไปในกลุ่มฝูงชนและไป๋เสวี่ยหลี่ก็เดินตามชางกวนโม่มาด้วยติดๆ
ไม่คิดเลยว่าพี่โม่จะเป็นกังวลขนาดนี้…บ้าจริง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ชางกวนโม่แทบจะเดินทั่วหาดแต่ก็ยังไม่เจอสองคนนั้นเลย
ตอนนี้เขาเริ่มจะกังวลขึ้นมาจริงๆแล้ว เธอจะไปเจอปัญหาอะไรหรือเปล่านะ?! เกิดอันตรายอะไรขึ้นหรือเปล่า?!!
เขายิ่งกังวลมากขึ้นไปอีก
ทันใดนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก “หาตำแหน่งของมู่หรงเสวี่ยเดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่พูดจบ
เขาก็พยายามมองหาจนทั่ว เป็นเพราะเขาละเลยเอง ไป๋เสวี่ยหลี่เดินตามมาด้วยความโกรธ
ที่เท้าของเธอเป็นแผลพุพอง เธอดึงชางกวนโม่ที่ยังสอดส่ายสายตามองหาอยู่ “พี่โม่
เท้าฉันจ็บ…”
ชางกวนโม่สังเกตเห็นว่าไป๋เสวี่ยหลี่เดินตามเขามาตลอดทาง
คิ้วของเธอขมวดเล็กน้อยราวกับว่าเท้าเธอจะเดินไม่ไหว
ชางกวนโม่มองไปที่เธออย่างขอโทษ “เสวี่ยหลี่ เธอไปนั่งพักตรงที่นั่งก่อนก็ได้นะ
ทำไมทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ล่ะ?! ไม่ต้องมาเดินตามพี่ตลอดหรอก…”
“พี่โม่
จะให้ฉันไปนั่งคนเดียวได้ยังไงล่ะ? ฉันอยู่ช่วยพี่ตามหาดีกว่านะ ฉันไม่เป็นไร…”
เธอกัดริมฝีปากและแกล้งทำเป็นกังวล
“ไม่ต้อง
เธอไปนั่งพักก่อนเถอะ!”
“ฉันไม่อยากไปนี่พี่โม่
เราหามาทั่วทั้งหาดแล้วนะ เสี่ยวเสวี่ยคงไม่อยู่ที่นี่หรอก
ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินสองคนนั้นพูดว่าจะไปที่อื่นด้วยกันลำพัง
บางทีพวกเขาอาจจะไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆก็ได้ ก็เล่นไปเที่ยวที่ที่มันเงียบๆแทน
พี่โม่น่าจะเหนื่อยแล้ว งั้นไปนั่งพักด้วยกันดีกว่านะคะ…”
จริงๆแล้วเธอไม่ได้ยินเรื่องพวกนั้นหรอก
แต่สองคนนั้นก็ไม่อยู่ที่นี่และการพูดแบบนั้นไปก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนด้วย