รถเมล์สาย 18 บทที่ 26 เงินกระดาษที่เผาไปเพียงครึ่งเดียว
บทที่ 26 เงินกระดาษที่เผาไปเพียงครึ่งเดียว (บทแถมฟรี)
“ผี! ผี! ผี! มีผี!” เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวหยุดลงอย่างกะทันหัน พร้อมกับร่างที่ร่วงหล่นกลายเป็นศพจมกองเลือดอยู่บนพื้น
“มีคนตาย! มีคนตาย!” ไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่ว
“เขตหยิงเจ๋อ ดูเหมือนจะมีคดีการตายเกิดขึ้น” เฉินฮุยเห็นข่าวแบบเรียลไทม์บนโทรศัพท์มือถือและรีบส่งไปยังโทรทัศน์ในบ้านทันที
หลังจากได้ยิน ทุกคนก็มาล้อมวงดูข่าวอยู่หน้าโทรทัศน์
“ผม นักข่าวจากสถานีโทรทัศน์ XXX เมือง X ตอนนี้เราอยู่ในเขตหยิงเจ๋อ เมื่อเช้าวันนี้ พลเมืองดีได้พบศพอยู่ที่ข้างถนนสายนี้” ในข่าว นักข่าวได้ชี้ไปยังถนนที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เขตหยิงเจ๋อ ไม่น่าจะมีเส้นทางเดินรถของ “สาย 18” ทุกคนจําเส้นทางเดินรถของรถเมล์สาย 18” ได้เป็นอย่างดี ในบรรดาเส้นทางเหล่านั้นไม่มีเส้นทางไหนที่ผ่านเขตหยิงเจ๋อ
“บางทีอาจเป็นคดีการตายธรรมดา ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับรถเมล์สาย 18” จ้าวเจิ้นวางมือข้างหนึ่งบนหน้าอก อีกข้างจับที่คาง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ
“หลายวันมานี้ สภาพจิตใจของพวกเราอ่อนล้าเกินไป” เหล่าสวีกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสภาพจิตใจของทุกคน การสืบสวนในทุกวันนี้ ตราบใดที่มีสิ่งรบกวนเพียงเล็กน้อย ทุกคนก็จะนึกถึงรถเมล์สาย 18” ทันที
“เฉียนฉิง นายคิดยังไง?”
ในบรรดาทุกคน ลู่เฉียนฉิงเป็นเพียงคนเดียวที่เฝ้าดูข่าวในทีวีโดยไม่พูดไม่จา ราวกับว่าเขากําลังมองหาบางอย่าง
ลู่เฉียนฉิงไม่ได้ตอบเย่ปิน แต่ยังคงมองดูรายงานข่าวอย่างจริงจัง
ในการรายงานข่าว แม้ว่าสถานที่เกิดเหตุจะถูกถ่ายด้วยก็ตาม แต่เนื่องจากมีเลือดมากเกินไป จึงถูกทําเป็นภาพโมเสค ทําให้ไม่สามารถมองเห็นภาพในที่เกิดเหตุได้ชัดเจน
“เราต้องไปที่เกิดเหตุ” พอจบข่าว ลู่เฉียนฉิงก็หันไปพูดกับเย่ปิน
เยู่ปินพยักหน้าตอบรับอย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นทีมก็ขับรถไปยังที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเฉินฮุยนัก ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ทุกคนก็มาถึงที่เกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุถูกตํารวจปิดกั้นแล้วอย่างสมบูรณ์ และบริเวณรอบนอกก็ถูกกลุ่มนักข่าวปิดล้อมไว้ หากเย่ปินไม่รู้จักกับตํารวจที่ทําคดี การเข้าไปดูที่เกิดเหตุคงจะเป็นปัญหาใหญ่
“เย่จื่อ นายมาที่นี่ทําไม?” ตํารวจอายุประมาณ 35-36 ปีที่อยู่ในที่เกิดเหตุ พอเห็นเย่ปินกับทีมก็มีสีหน้าประหลาดใจและงุนงง
ตํารวจวัยกลางคนคนนี้มีชื่อว่าเหรินเจิ้งหยุน เขาอยู่ในตําแหน่งเดียวกับตําแหน่งเดิมของเย่ปิน คือเป็นหัวหน้าทีมสืบสวน และมีสถานะสูงในกองกําลังตํารวจ ครั้งหนึ่งเหรินเจิ้งหยุนกับเย่ปินเคยทํางานร่วมกันในการไขคดีฆาตกรรม จากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนกัน แต่ทั้งคู่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เนื่องจากแต่ละคนต่างยุ่งอยู่กับงาน
“หยุนเกอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เย่ปินยิ้มและพูดกับเหรินเจิ้งหยุนอย่างสุภาพ ทั้งคู่เคยร่วมกันทําคดี และเย่ปินก็ได้เรียนรู้มากมายจากเหรินเจิ้งหยุน
“ลมอะไรหอบมาล่ะเนี่ย?” เหรินเจิ้งหยุนถามด้วยความสง
สัย
“จริงสิ หยุนเกอ ผมกําลังทําคดีนึงอยู่” เย่ปินไม่ได้ปิดบังเหรินเจิ้งหยุน เขารู้สึกว่า ถ้าให้เหรินเจิ้งหยุนช่วยก็อาจค้นพบเบาะแสใหม่บางอย่าง
“คดีรถเมล์ผีที่อัพโหลดอยู่บนอินเตอร์เน็ตใช่ไหม? ได้ยินว่านายลาออกจากงานเพราะเรื่องนี้” อันที่จริงเหรินเจิ้งหยุนเคยได้ยินเรื่องของเย่ปินอยู่ไม่มากก็น้อย
เย่ปินตอบสนองด้วยรอยยิ้มเหยเก “เฮ้อ เรื่องมันยาว”
เหรินเจิ้งหยุนตบไหล่เก่ปินเบาๆ ในฐานะตํารวจเหรินเจิ้งหยุนเข้าใจภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของเย่ปินดีว่าหนักขนาดไหน
หลังจากทักทายกันไม่กี่คํา เย่ปินก็อธิบายความตั้งใจของเขาให้เหรินเจิ้งหยุนฟัง และยังเตือนเหรินเจิ้งหยุนเกี่ยวกับรถเมล์สาย 18” ด้วย
หลังจากฟังเรื่องราวของรถเมล์สาย 18″ สีหน้าของเหรินเจิ้งหยุนก็มืดมนลงเช่นกัน
“ฉันเข้าใจคดีนี้อยู่บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้” แม้เหรินเจิ้งหยุนจะไม่เชื่อถือเรื่องราวเหนือธรรมชาติ แต่เขาเชื่อคําพูดของเยู่ปิน
หลังจากเย่ปินคุยกับเหรินเจิ้งหยุน เขาก็ได้รับอนุญาตให้พาลู่เฉียนฉิงเข้ามาในที่เกิดเหตุได้
ในที่เกิดเหตุ ศพของผู้เสียชีวิตได้ถูกนําออกไปแล้ว เหลืออยู่เพียงรอยเลือดที่สาดกระเซ็นอยู่ไปทั่ว ทั้งที่ตรงจุดเกิดเหตุหัวมุมถนน และที่กําแพงปูน ทําให้สามารถจินตนาการได้ว่าการตายของผู้เสียชีวิตจะน่าสังเวชขนาดไหน
ลู่เฉียนฉิงตรวจสอบบริเวณกําแพงปูนโดยรอบอย่างละเอียด ในที่สุดก็พบว่าที่ขอบกําแพงปูนมีกระดาษยันต์ที่ยังไหม้ไม่หมด เขาหยิบกระดาษยันต์ที่เหลืออยู่ขนาดเท่าหัวแม่มือขึ้นมาดู ลู่เฉียนฉิงก็เข้าใจแล้วว่าคดีนี้คงจะไม่ธรรมดา
หลังจากพูดคุยกับเหรินเจิ้งหยุนแล้ว เย่ปินกับทีมก็ร่วมเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุด้วย
“เฉียนฉิง นายพบอะไรแล้วเหรอ?” เมื่อเห็นลู่เฉียนฉิงนั่งย่อตัวอยู่ที่มุมกําแพงปูน เย่ปินจึงเดินไปข้างๆและถามขึ้นด้วยความสงสัย
ลู่เฉียนฉิงยื่นกระดาษยันต์ที่เผาไหม้ไม่หมดให้เย่ปินดู พอเย่ปินเห็นกระดาษยันต์ ดวงตาของเขาก็ดูจริงจังขึ้นทันที“นี่มัน!”
“ยันต์นี้มีชื่อว่า “ยันต์ปราบผี” ใช้สําหรับปราบผีอาฆาต”
“ผอาฆาต? มีผีเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยเหรอเนี่ย?” เย่ปินถาม ส่วนเหรินเจิ้งหยุนที่อยู่ด้านข้างพอได้ยินสิ่งที่ลู่เฉียนฉิงพูด สีหน้าของเขาก็มืดมนลงทันที
“นอกจากผู้เสียชีวิตแล้ว คุณพบอะไรในบริเวณใกล้เคียงบ้างไหม?” ลู่เฉียนฉิงไม่ตอบคําถามของเย่ปิน แต่กลับไปตั้งคําถามกับเหรินเจิ้งหยุน
สําหรับลู่เฉียนฉิง ด้วยการแนะนําของเก่ปินก่อนหน้านี้ ทําให้เหรินเจิ้งหยุนไม่กล้าดูถูกเขา เพราะอย่างไรก็ตาม ในสังคมปัจจุบันมีคนไม่มากที่เข้าใจเรื่องของภูติผีวิญญาณ
“นอกจากของส่วนตัวของผู้เสียชีวิตแล้ว ก็ไม่พบอะไรอีก”
พอลู่เฉียนฉิงได้ยินก็ไม่ได้ถามต่ออีก เขามองไปรอบๆเหมือนกําลังมองหาอะไรบางอย่าง ประมาณ 10 นาทีต่อมา ลู่เฉียนฉิงก็ไปรอทุกคนอยู่ในที่โล่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุตรงนั้น มีหลุมลึกประมาณ 1 ฟุต และมีถุงพลาสติกสีดําอยู่ในหลุมนั้น
หลังจากเปิดถุงพลาสติกออกดู ทุกคนก็ประหลาดใจที่พบว่า ภายในถุงมี “เงินกระดาษ” ที่เผาไหม้ไปเพียงครึ่งเดียวอยู่ภายใน
“ทําไมเงินกระดาษพวกนี้ถึงถูกเผาไปเพียงครึ่งเดียวล่ะ?” เฉินฮุยยื่นหน้าไปดูในถุงพลาสติกสีดํา แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นว่าเงินกระดาษเหล่านั้นถูกเผาไปเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งไม่มีความเสียหาย
เห็นแบบนั้นทุกคนก็รู้สึกแปลกใจ แล้วสายตาของทุกคนก็หันไปมองลู่เฉียนฉิง
ลู่เฉียนฉิงมองเงินกระดาษที่อยู่ในถุงด้วยสีหน้ามืดมน
“เฉียนฉิง เกิดอะไรขึ้น? พูดให้ฟังได้ไหม?” เย่ปินถาม
ลู่เฉียนฉิงไม่ตอบ แต่สายตายังคงจับจ้องไปยังเงินกระดาษที่อยู่ในถุง เนิ่นนานหลังจากนั้นเขาก็ส่ายหน้า “นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมพบเงินกระดาษที่ถูกเผาเพียงครึ่งเดียวแบบนี้ ผมไม่มีอะไรจะพูด” ลู่เฉียนฉิงขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าทําไมเงินกระดาษเหล่านี้ถึงได้ถูกเผาไปเพียงครึ่งเดียว
พอได้ยินคําตอบของลู่เฉียนฉิง ทุกคนก็หมดคําพูด หากลู่เฉียนฉิงยังไม่รู้ แล้วคนอื่นจะรู้ได้อย่างไร