รถเมล์สาย 18 บทที่ 33 หลินเสี่ยว
บทที่ 33 หลินเสี่ยว
ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของคดีเมือง X เกือบหนึ่งสัปดาห์หลังจากมาถึงหลินเสี่ยวได้ทําการสอบสวนอย่างครอบคลุมทั้งหมด และใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งสัปดาห์ค้นพบว่า มีคดีที่ไร้เหตุผลมากมายที่เกิดขึ้นในเมืองนี้
“จากเบาะแสที่เรามีจนถึงตอนนี้ เย่ปินกับจางหลานได้ไปที่บริษัทรถเมล์หลายครั้ง เพื่อตรวจสอบและสอบถามเกี่ยวกับเส้นทางเดินรถของรถเมล์ “สาย 18” และรถเมล์สายนี้ก็คือ สิ่งที่ในอินเตอร์เน็ตเรียกว่า “รถเมล์ผี” หลินเสี่ยวในชุดสูทเรียบร้อยนั่งอยู่ที่โต๊ะวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะ พลางพูดอย่างใจเย็น และมองคนที่อยู่ด้านหน้าอย่างเฉยเมย
ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ มีชายหนุ่มสวมแว่นตาทรงกลมยืนอยู่ด้วยท่าทางเคารพ เขามีชื่อว่าฟางเฉิน เป็นมือขวาและผู้ช่วยทําคดีคนสนิทของหลินเสี่ยว เขาถูกเรียกว่า “หลีหยวนฟาง” และ “จั่นเจา” ในเวอร์ชั่นสมัยใหม่
(ผู้แปล – หลี่หยวนฟาง เป็นคนสนิทของตี๋เหรินเจี๋ย เป็นบุคคลในนิยาย ไม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์)
“คดีคราวนี้แปลกมาก ไม่ต้องพูดถึงแรงจูงใจในการฆาตกรรมของเย่ปิน แค่ผู้เสียชีวิตในคดีของเย่ปินจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีกรณีไหนที่สามารถค้นหาวิธีการฆ่าของฆาตกรได้ ผู้เสียชีวิตทั้งหมดถูกฆ่าโดยบังเอิญ โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ก็เป็นการฆาตกรรมโดยไม่ทราบสาเหตุ” หลังจากการสอบสวนหนึ่งสัปดาห์ฟางเฉินพบว่าคดีที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ธรรมดา มันทั้งแปลกและประหลาดมาก
“คุณคิดว่าไง?” หลินเสี่ยวพูดเรียบๆ
“เย่ปินไม่เหมือนฆาตกร” ฟางเฉินกล่าวความเห็นของตัวเอง
เมื่อได้ยินความคิดเห็นของฟางเฉิน ใบหน้าของหลินเสี่ยวยังคงสงบมาก ราวกับเขาคาดหวังถึงความคิดเห็นนี้จากอีกฝ่ายมานานแล้ว
“ดูเหมือนว่าคุณจะค้นพบอะไรบางอย่าง”
เมื่อได้ยินคํากล่าวของหลินเสี่ยว ฟางเฉินก็หยิบเอกสารออกมาวางลงบนโต๊ะ
หลินเสี่ยวหยิบเอกสารขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ ในเอกสารนั้นมีบันทึกรายละเอียดของการสืบสวนทั้งหมดของเย่ปินกับจางหลานเกี่ยวกับรถเมล์ “สาย 18” และหมู่บ้านเฮยสุ่ย
“ตามระบบการตรวจสอบ ผมพบว่าเส้นทางการสืบสวนของเย่ปินกับจางหลาน โดยพื้นฐานแล้ว ทุกครั้งที่มีผู้เสียชีวิต พวกเขาทั้งคู่ปรากฏตัวอยู่ที่อื่น ดังนั้นผมจึงสงสัยว่า ทั้งคู่อาจไม่ใช่ฆาตกรของคดี”
หลังจากฟังคําอธิบายของฟางเฉิน หลินเสี่ยวก็พยักหน้า สําหรับการค้นพบของฟางเฉิน ทําให้สีหน้าของหลินเสี่ยวมีการเปลี่ยนแปลงได้ไม่มากนัก “ไปกันเถอะ ไปพบใครบางคนกับผม”
หลังจากออกจากสถานีตํารวจ หลินเสี่ยวกับฟางเฉินก็ขับรถหรูรุ่นล่าสุดไปยังวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชานเมือง X นัก
“หลินเกอ พวกเรามาทําอะไรที่นี่?” หลังจากรถหยุดลงที่หน้าวัด ฟางเฉินก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย เขาอยู่กับหลินเสี่ยวมา 2-3 ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นหลินเสี่ยวไปวัดเลยสักครั้ง ดังนั้นฟางเฉินจึงคิดว่าหลินเสี่ยวไม่น่าจะเชื่อเรื่องโชคลาง
“ผมมีคนรู้จักอยู่ที่นี่ บางทีเขาอาจช่วยอะไรในคดีนี้ได้บ้าง” หลังจากจอดรถแล้ว หลินเสี่ยวก็เดินเข้าไปในวัด
อารามมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีเพียงไม่กี่ห้อง และแต่ละห้องมีพระพุทธรูปอยู่ไม่กี่องค์ พระพุทธรูปเหล่านี้มีลักษณะเหมือนจริงและเปล่งกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่ที่มองไม่เห็น
หลังจากเข้าไปในวัด หลินเสี่ยวก็มองไปรอบๆมองหาใครบางคน ผ่านไปนานก็มีนักบวชน้อยมาพนมมือโค้งคํานับให้หลินเสี่ยวด้วยรอยยิ้มใจดีบนใบหน้า
“ขอถาม ประสกมีธุระอะไรที่นี่?” นักบวชน้อยถามหลินเสี่ยวเบาๆ
หลินเสี่ยวพนมมือคํานับตอบ และพูดเบาๆว่า “อาจารย์น้อย อาจารย์คงเจวี๋ยอยู่วัดหรือเปล่า?”
พอได้ยินคําถามของหลินเสี่ยว นักบวชน้อยก็ผงะไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็นึกถึงบางอย่างได้ และรีบถามขึ้นว่า “ขอถามประสกคืออาจารย์ลุงหลินเสี่ยวใช่ไหม?”
“อาจารย์ลุง? ท่านเป็นศิษย์ของคงเจวี๋ยหรือ?”
“ศิษย์คงเหนียน เป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของอาจารย์คงเจวี๋ย อาจารย์ออกไปธุดงค์ไม่ได้อยู่ที่วัด แต่ก่อนจะไป อาจารย์บอกอาตมาว่า อาจารย์ลุงหลินเสี่ยวจะมา และให้อาตมาคอยอยู่ต้อนรับ” คงเหนียนกล่าว และแสดงท่าทางเชื้อเชิญ “อาจารย์ลุงหลินเสี่ยว โปรดมากับอาตมา”
หลินเสี่ยวได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไร พยักหน้าให้คงเหนียนและหันไปส่งสัญญาณให้ฟางเฉินที่อยู่ด้านหลังให้เดินตามมา
คนทั้งคู่เดินตามคงเหนียนเข้ามายังห้องพักที่อยู่ภายในวัด
“ประสกทั้งสองเชิญนั่ง อาตมาจะไปเอาของที่ท่านอาจารย์ฝากไว้มาให้” หลังจากหลินเสี่ยวกับฟางเฉินนั่งลง คงเหนียนก็ออกไปจากห้อง
หลังจากที่คงเหนียนออกไป ฟางเฉินก็หันมามองหน้าหลินเสี่ยวและถามขึ้นด้วยความสงสัย “หลินเกอ ทําไมนักบวชน้อยถึงเรียกคุณว่าอาจารย์ลุงล่ะ?”
“คงเจวี๋ยเป็นน้องชายของผม” ประโยคถัดมาของหลินเสี่ยวทําให้ฟางเฉินถึงกับมีสีหน้าตกใจ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าหลินเสี่ยวมีน้องชายอยู่จริงๆ
“ลูกพี่ลูกน้องเหรอครับ?” ฟางเฉินรู้สึกว่าคงเจวี๋ยไม่น่าจะใช่น้องชายจริงๆของหลินเสี่ยว แต่น่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องมากกว่า
หลินเสี่ยวส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องหรอก คงเจวี๋ยเป็นน้องชายของผมเอง” พูดจบหลินเสี่ยวก็ถอนหายใจราวกับกําลังนึกถึงอดีต
เมื่อเห็นท่าทางของหลินเสี่ยว ฟางเฉินก็พยักหน้าและไม่ได้ถามเรื่องนี้ต่ออีก แต่เปลี่ยนเรื่องพูด “หลินเกอ คุณคิดยังไงเกี่ยวกับคดีนี้?”
“เย่ปินคนนี้เก่งมาก เขามีอํานาจสูงในสถานีตํารวจ จากการประเมินของเจ้าหน้าที่ตํารวจต่างก็ระบุว่า บุคคลผู้นี้ซื่อตรงและตรงไปตรงมา ในกรณีนี้ เจ้าหน้าที่ตํารวจทุกคนในสถานีเกือบจะลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่ใช่ฝีมือของเย่ปิน”
ตั้งแต่วันแรกที่หลินเสี่ยวมาถึงสถานีตํารวจเมือง X เขาได้สอบถามเจ้าหน้าที่ตํารวจทุกคนที่เคยติดต่อกับเป็นอย่างละเอียด สุดท้ายก็ได้ ข้อสรุปว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจเกือบทั้งหมดในสถานี ไม่มีใครคิดว่าเย่ปินจะเป็นผู้ต้องรับผิดชอบกับคดีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
“ความจริงตามเบาะแสที่เราได้รับมาก็ไม่มีเงื่อนงําใดสามารถพิสูจน์ได้ว่า คดีครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเย่ปิน แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ในเมื่อคดีไม่เกี่ยวข้องกับเขา ทําไมเขาถึงยอมสารภาพผิด? มันจะเป็นการรับผิดแทนคนอื่นหรือไม่?” แม้ว่าฟางเฉินจะรู้สึกว่าคดีคราวนี้แปลกมาก แต่เขาก็ไม่ได้คิดไปทางเรืองของภูติผีปีศาจ
หลินเสี่ยวแค่ส่ายหน้าให้กับความคิดของฟางเฉิน “ผมได้ตรวจสอบเป็นอย่างละเอียดแล้ว ครอบครัวของเขามีสี่คน พ่อแม่ทํางานให้กับหน่วยงานของรัฐ ไม่มีการกระทําผิดกฎหมาย ส่วนน้องชายของเยี่ปุ่น เย่เหอ เขาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่มีผลการเรียนดีเด่น เป็นเป้าหมายหลักในการฝึกอบรมของโรงเรียน ไม่มีปัญหาเรื่องการผิดศีลธรรมใดๆ นอกจากนี้เย่ปินยังไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก โดยพื้นฐานแล้ว ก็มีเพียงแต่ผู้ร่วมงานบางคนในสถานีตํารวจเท่านั้น และเมื่อผมถามพวกเขา พวกเขาก็ให้คะแนนเย่ปินเหมือนกัน คือเป็นตํารวจที่ดีมีความซื่อสัตย์สุจริต”
ในหนึ่งสัปดาห์มานี้หลินเสี่ยวไปเยี่ยมครอบครัวของเย่ปินมาแล้วหลายครั้ง และไปพบเพื่อนร่วมงานที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเย่ปิน ซึ่งรวมถึงเฉินฮุ่ยและทีมที่เขาไปเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัวด้วย
“แล้วอีกคนล่ะ?”
“โดยพื้นฐานแล้วเขาก็เหมือนกับเย่ปิน แม้ว่าจางหลานจะมีเพื่อนมากกว่า แต่ส่วนใหญ่ก็ให้คําประเมินในแบบเดียวกัน ว่าเขาเป็นคนจริงจัง พิถีพิถัน เป็นมิตร และเป็นมิตรกับผู้อื่น ไม่มีอะไรที่เหมือนกับฆาตกร” หลินเสี่ยวพูดอย่างธรรมดามากบรรยายการประเมินของคนอื่นๆที่มีต่อคนทั้งคู่
“แม้ว่าอาชญากรบางคนจะดูเหมือนคนซื่อสัตย์ ในขณะที่พวกเขากําลังลอบสังหารผู้คน แต่คราวนี้สัญชาตญาณของผมบอกตัวเองว่า เย่ปินกับจางหลานไม่ใช่คนแบบนั้น คดีคราวนี้ไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเขาโดยตรง” จากการสืบสวนของเขากับหลินเสี่ยว ทําให้ฟางเฉินรู้สึกมากขึ้นว่าคดีคราวนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเย่ปินและจางหลาน
“ก่อนที่จะมีหลักฐานชี้ชัด สัญชาตญาณจะถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิง” หลินเสี่ยวกล่าวเตือน แม้ว่าสัญชาตญาณของเขาจะบอกกับเขาเช่นนี้เหมือนกันก็ตาม แต่หลินเสี่ยวก็ไม่เคยตัดสินใครหรือคดีใดๆ ด้วยสัญชาตญาณจนกว่าจะมีหลักฐานแน่ชัด