บทที่ 7 คำถามจากสังคม
“ เอาลูกชายของฉันคืนมา ! คืนลูกชายของฉัน ! ใครก็ได้ช่วยลูกชายของฉันด้วย !”
หน้าสถานีตำรวจมีชายหญิงยกป้ายผ้าสีขาว บนป้ายมีอักษรที่เขียนด้วยของเหลวสีแดงว่า “ตำรวจไร้ประโยชน์ ! คืนลูกชายมาให้ฉัน !”
“ หัวหน้าเย่ เป็นพ่อแม่ของเด็กที่หายตัวไป”
ชายหญิงที่มายืนประท้วงอยู่หน้าสถานีตำรวจเป็นพ่อแม่ของเด็กในคดีเด็กหายก่อนหน้านี้ เนื่องจากเวลาได้ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว แต่ตำรวจก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆที่จะไขคดี ทำให้พ่อแม่ของเด็กที่หายไปเชื่อว่าตำรวจไม่เอาจริงเอาจังกับคดีนี้
แม้ใบหน้าของเย่ปินจะดูสงบนิ่ง แต่คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย เผยให้เห็นความลำบากใจ เกือบเดือนแล้วที่เด็กได้หายตัวไป ตลอดเวลาที่ผ่านมา เย่ปินและคนอื่นๆ สืบสวนคดีนี้แทบไม่ได้หลับได้นอน แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักเพียงใด ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
“ บัดซบ ! เพื่อคดีนี้ หลายวันมานี้เราแทบจะไม่ได้นอน กันเลย แต่ก็ไม่มีใครมาเห็นใจ ตอนนี้กลับมาโทษพวกเราอีก มันจะมากไปหน่อยแล้ว!” จางหลานกัดฟันกรอด และพูดขึ้นด้วยความโกรธสุดขีด เขาทำงานอย่างหนักเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้กลับมาได้รับการปฏิบัติและการตั้งคำถามแบบนี้
“ เฮ้อ ปล่อยวางเถอะ ใครใช้ให้เราเป็นตำรวจกันล่ะ” เฉินฮุ่ยส่ายหน้าและถอนหายใจ ราวกับสิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดา
“ ถูกต้อง ผ่านมาเป็นเดือนแล้วคดียังไม่คืบหน้า ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ตั้งคำถามและเข้าใจแบบนี้เหมือนกัน” เย่ปินพูดขึ้นเรียบๆ และดูสงบนิ่ง
“ นายไม่ควรพูดแบบนั้น ! เพื่อคดีนี้เราพยายามสืบสวนอย่างดีที่สุดแล้ว พวกเขามาเอะอะกันแบบนี้ ฉันก็ไม่สนใจมันแล้ว !” ความโกรธเคืองในใจของจางหลานไม่ได้บรรเทาลง
กรณีการหายตัวไปของเด็กหนุ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถเมล์ ‘สาย 18’ และสำหรับการสืบสวนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับรถเมล์ ‘สาย 18’ มีอันตรายมาก จนถึงตอนนี้ก็มีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปแล้วถึงสามราย
“ เฮ้อ… !” เย่ปินถอนหายใจยาว เอนหลังพิงเก้าอี้และหลับตาลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น
เนื่องจากความปั่นป่วนที่พ่อแม่เด็กที่หายตัวไปสร้างขึ้น สถานีตำรวจเมือง X จึงถูกสังคมตั้งคำถาม ประกอบกับการประโคมข่าว ทำให้ตำรวจในโรงพักได้รับผลกระทบในขนาดที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเย่ปินที่ถูกกดดันอย่างหนัก เขาถูกขู่ว่าหากอีกหนึ่งสัปดาห์คดียังไม่คืบหน้า เย่ปินจะถูกพักงาน
“ พักงาน ? ทำงานเต็มที่จนแทบแลกด้วยชีวิตอยู่แล้ว นี่หรือคือผลตอบแทนที่ได้รับ ?” หลังจากได้ยินข่าวเรื่อง ‘พักงาน’ ของเย่ปิน จางหลานแทบจะอาละวาดด้วยความโกรธ พยายามสืบสวนคดีกันอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายก็ถูกคุกคามด้วยการถูก ‘พักงาน’
“ เอาน่า อย่าตื่นเต้นไปหน่อยเลย เรายังเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์” ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวว่าเขาจะถูก ‘พักงาน’ เย่ปินรู้สึกโกรธมาก และต้องการเข้าพบผู้บังคับบัญชาเพื่อชี้แจง แต่สุดท้ายเย่ปินก็สงบลงและเลือกที่จะประนีประนอม
“ หัวหน้าเย่ คดีนี้เดิมทีก็ไม่ใช่คดีธรรมดาอยู่แล้ว หนึ่งเดือนมาแล้วที่เราทำการสืบสวนกันทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตอนนี้จะมาให้เราหาเบาะแสให้ได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ มันจะเป็นไปได้ยังไง !” จางหลานกล่าวอย่างพยายามระงับความโกรธ
เย่ปินไม่ตอบ เขาเข้าใจในสิ่งที่จางหลานพูด กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นับประสาอะไรกับเวลาหนึ่งอาทิตย์ ต่อให้มีเวลามากกว่านั้นเป็นสิบเท่า ก็อาจไม่สามารถหาเบาะแสใดๆได้เลย ท้ายที่สุดแล้วคดีนี้มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ขัดแย้งกับสามัญสำนึก
“ หลานเกอ ฉันอยากไปที่หมู่บ้านเฮยสุ่ย” เย่ปินนึกถึงบางสิ่งและมองจางหลานอย่างจริงจัง
“ นายเคยไปที่นั่นมาแล้วไม่ใช่เหรอ ?” จางหลานถามด้วยความสงสัย ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยไปตรวจสอบที่หมู่บ้านเฮยสุ่ยมาแล้ว แต่หมู่บ้านเฮยสุ่ยได้กลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่อาจหาเบาะแสใดๆได้อีก
“ ฉันรู้สึกว่าเราอาจพลาดบางอย่างไป”
“ โอเค งั้นฉันจะไปตามเจ้าเด็กเฉินฮุ่ย จะเดินทางเมื่อไหร่ ?”
“ ตอนนี้เลย”
“ ได้” จางหลานเลิกถาม แล้วออกจากห้องทำงานของเย่ปินไปตามเฉินฮุ่ย หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ขับรถไปยัง ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’
หมู่บ้านเฮยสุ่ยถูกไฟไหม้ไปเมื่อ 5 ปี ก่อน คนในหมู่บ้านเล็กๆมากกว่า 100 คน ตายหมดไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว
หลังจากภัยพิบัติ แม้ว่าจะได้รับการจัดการจากรัฐบาล แต่เนื่องจากการตายแบบล้างเผ่าพันธุ์ของหมู่บ้านเฮยสุ่ย ทำให้หมู่บ้านนี้ได้กลายเป็น ‘สถานที่ต้องห้าม’ ในใจของผู้คน ทุกคนคิดว่า ความแค้นที่มีอยู่ที่นี่หนักหนาเกินไป จึงไม่มีใครอยากมาเหยียบที่นี่อีก ปัจจุบัน สถานที่นี้ได้ถูกทิ้งร้างโดยสมบูรณ์
ซากบ้านที่ถูกไฟเผาทำลายจนดำเป็นตอตะโก วัชพืชหนาแน่นเติบโตอยู่ทุกที่ ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านเฮยสุ่ยกลายเป็นสวรรค์ของวัชพืชไปแล้ว ไม่ไกลจากหมู่บ้านเฮยสุ่ยมีสุสาน ว่ากันว่าสุสานที่อยู่ติดกับหมู่บ้านเฮยสุ่ยแห่งนี้ได้ฝังกระดูกที่ถูกค้นพบจากซากหมู่บ้านหลังไฟไหม้
“ ฉันขนลุกทุกครั้งที่มาที่นี่ !” เฉินฮุ่ยตัวสั่น ในสามคนนี้เฉินฮุ่ยเป็นคนที่มีความกล้าน้อยที่สุด
“ ฉันก็รู้สึกหดหู่เหมือนกัน” จางหลานขมวดคิ้ว เขาเคยมาที่หมู่บ้านเฮยสุ่ยแล้วสองครั้ง แต่ทุกครั้งเขาก็ยังคงรู้สึกหดหู่เหมือนเดิม
เมื่อเทียบกับจางหลานและเฉินฮุ่ยแล้ว เย่ปินดูสงบที่สุด ตอนนี้เย่ปินกำลังกวาดสายตามองหมู่บ้านเฮยสุ่ยกับสุสานที่อยู่ใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง
“ ปินจื่อ นายไม่กลัวเลยเหรอ ?” เฉินฮุ่ยหันไปถามเย่ปินที่อยู่ข้างๆ
“ กลัวทำไม ! ตอนนี้มันกลางวันแสกๆ !” เย่ปินรู้สึกว่า ‘วิญญาณ’ หรืออะไรทำนองนั้นจะไม่ปรากฏตัวตอนกลางวัน
“ ไอ้หนู ใครบอกว่าผีไม่หลอกตอนกลางวัน ฉันเคยเห็นข่าวเหนือธรรมชาติแบบนี้มาก่อน ผีมันออกมาตอนกลางวันได้เหมือนกันนะ” จางหลานปฏิเสธความคิดของเย่ปิน เพราะเขาเคยอ่านข่าวเหนือธรรมชาติเรื่องผีที่ออกมาหลอกหลอนตอนกลางวันแสกๆมาก่อน ตอนนั้นเขาไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่หลังจากได้รับประสบการณ์ ‘วิญญาณ’ เป็นการส่วนตัวแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อแล้วว่าข่าวที่เคยอ่านมาอาจไม่ใช่ความเท็จ
“ เอาล่ะ อย่าคิดมาก ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เราก็ไม่เคยมีความแค้นกับพวกเขามาก่อน แล้ววันนี้เราก็มาแบบสันติ ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะมาหลอก สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือ ใช้เวลาที่มีค้นหาเบาะแสอย่างรอบคอบ” เย่ปินกล่าว หลังจากนั้นทั้งสามคนก็เริ่มมองหาเบาะแสอย่างระมัดระวัง
ครั้งนี้พวกเขาตรวจสอบละเอียดกว่าครั้งที่แล้ว ทั้งสามคนเข้าไปในหมู่บ้าน ค้นบ้านที่ถูกไฟไหม้แต่ละหลังอย่างรอบคอบ
ตั้งแต่เช้าไปถึงบ่าย นอกจากเวลากินมื้อเที่ยงเล็กน้อยในรถแล้ว เวลาทั้งหมดพวกเขาใช้ไปในการตรวจตราหมู่บ้านเฮยสุ่ยและบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังหาเบาะแสใดๆไม่พบ
“ ไม่เจออะไรเลย” จางหลานกางมือมองไปยังคนทั้งคู่
เฉินฮุ่ยตอบสนองเช่นเดียวกับจางหลาน เขาเองก็ไม่พบเบาะแสใดๆ
“ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างคดีกับหมู่บ้านเฮยสุ่ย” ในที่สุดจางหลานก็ลงความเห็น
เฉินฮุ่ยพยักหน้า ลงความเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เย่ปินไม่ตอบ เขากวาดสายตามองหมู่บ้านเฮยสุ่ยและสุสานที่อยู่ข้างๆ แล้วจมอยู่ในความคิด ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ และรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาค้นหาข้อมูลบางอย่าง หลังจากได้ข้อมูล เย่ปินก็มองไปยังป่าทึบที่อยู่ห่างหมู่บ้านเฮยสุ่ยออกไป
“ ตามมา !” เย่ปินไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ หลังจากบอกพรรคพวก เขาก็รีบวิ่งไปยังป่าทึบแห่งนั้นทันที
จางหลานกับเฉินฮุ่ยไม่มีเวลาแม้แต่จะเอ่ยปากถาม พวกเขารีบวิ่งตามเย่ปินไปทันที