ตอนที่ 162 : นกสีนิลแผดเสียง
ทั้งสองเดินไปที่ข้างลานเพื่อเตรียมตัว
เย่ฉิวเกาฮึดฮัดออกมา “หวังเย่า แกบอกว่าแกจะเรียนจบแล้วไม่ใช่หรือ ? ฮ่าฮ่า แค่เด็กปี 1 ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่กลับโกหกทุกคนว่าเรียนจบแล้ว แกยังบอกอีกว่าเกณฑ์คะแนนที่แกใช้ในการสอบอยู่ที่ 80 คะแนน แกคงกลัวว่าทุกคนจะรู้ว่าเกณฑ์คะแนนของแกโดนลดสินะ ถึงได้กุเรื่องหลอกทุกคนและเพิ่มคะแนนขึ้นมาเอง แต่ยังไงมันก็ดูไม่เข้าท่าอยู่ดี “ เสียงของเย่ฉิวเกาไม่ได้ดังนักแต่มันเล็กแหลมจนทำให้นักเรียนโดยรอบต่างก็พากันได้ยินและหันไปมองทั้งสองคน
“มันเรื่องของฉัน แล้วเกี่ยวอะไรกับแก ? แกมายุ่งอะไร ? ”
ถึงหวังเย่าจะยังเรียนไม่จบรึโกหก มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเย่ฉิวเกา อีกทั้งเย่ฉิวเกาก็ใช้คำพูดที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำเสียงของเล็กแหลมของเขาเต็มไปด้วยเจตนาร้าย อีกฝ่ายทำเหมือนกับว่าหวังเย่าเป็นฆาตกรที่สมควรถูกประณามอย่างไรอย่างนั้น
“งั้นแกก็ยอมรับมาสินะว่าแกโกหก ? ” เย่ฉิวเกาเริ่มมั่นใจและพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “นักศึกษาของมหาวิทยาลัยหัวเซี่ยนั้น แม้จะให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่ง แต่ความประพฤติก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะละเลยได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นแล้วหากนักศึกษาที่จบออกไปแล้วเที่ยวกุเรื่องหลอกคนอื่นเขาไปทั่ว มันจะไม่สร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยหรือ ? ”
เย่ฉิวเกาที่คิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นไปอีก เสียงของเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ
“ฉันขอบอกตรงนี้ว่าคนที่นิสัยแย่อย่างหวังเย่าจะต้องได้รับการสั่งสอน หากยังทำซ้ำแบบเดิมก็ควรไล่ออก”
ไม่ต้องเดาเลยว่าบทลงโทษนี้ฟังดูหนักหนา พวกคนที่ไม่ชอบรึเกลียดหวังเย่าอยู่แล้วต่างก็พากันคล้อยตาม พวกเขาถึงกับพากันตะโกนออกมา
หวังเย่าสีหน้าอึมครึมยิ่งกว่าเดิม ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะมีลูกไม้แบบไหน แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก
“แกพูดจบรึยัง ? ” หวังเย่าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ทำไม ? แกทนไม่ได้งั้นหรือ ? แกมั่นใจในตัวเองมากไม่ใช่รึไง ? หน้าไม่อาย ! ” เย่ฉิวเกายังคงถากถางออกมาไม่หยุดหย่อน
หวังเย่าไม่คิดจะอธิบายอะไร เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายนั้นคงไร้ความหมาย บางทีมันอาจจะทำให้เรื่องใหญ่ขึ้นไปอีก
ดังนั้นหวังเย่าจึงมองไปที่กรรมการ ตอนนี้ในใจของเขาร้อนรุ่มเป็นอย่างมาก เขาอยากจะระบายความโกรธที่มีออกมาแทบแย่ และเย่ฉิวเกาก็คือตัวรองรับอารมณ์ที่ดีที่สุดของเขาในตอนนี้
แม้กรรมการจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจจะรีรอได้อีก
เขาเป่านกหวีดก่อนจะพูดขึ้น “นักศึกษาสาขาตรวจสอบขึ้นมาบนลานและเริ่มสู้ได้”
เมื่อกรรมการพูดจบ หวังเย่าก็รีบเดินขึ้นไปบนลานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนเย่ฉิวเกานั้นคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายชนะไปแล้ว เขาจึงเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยความมั่นใจ
เนื่องจากหวังเย่าไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองโกหก ฉะนั้นการที่อีกฝ่ายเอาชนะฮวงจินเทียนได้ ก็อาจจะมีกลอุบายบางอย่างซ่อนอยู่ ดีไม่ดี หวังเย่าอาจจะซื้อตัวฮวงจินเทียนไว้ เพื่อที่ตัวเองได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งก็เป็นได้
แม้ว่าตระกูลของฮวงจินเทียนจะร่ำรวย แต่ยังไงซะเขาก็ไม่ได้พึ่งพาครอบครัวมานานแล้ว เขาหาเงินด้วยตัวเอง ส่วนหวังเย่านั้นมีเงินถึง 50,000 ล้าน เขากลายเป็นเศรษฐีใหญ่ ดังนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากอีกฝ่ายจะซื้อตัวฮวงจินเทียน
“ฮ่าฮ่า เชิญแกหลงตัวเองไปเถอะ หลังจากนี้ฉันจะให้แกได้เห็นความสิ้นหวังเอง” ในใจของเย่ฉิวเกากลับมีความมั่นใจอย่างล้นพ้นขึ้นมา
“ไม่จำเป็นหรอก” หวังเย่าปฏิเสธและมองไปที่กรรมการ เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายบอกเริ่มการต่อสู้สักที
กรรมการมองไปยังทั้งสองคนและเห็นท่าทีที่ผิดปกติของทั้งสอง แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขากระแอมออกมาก่อนจะตะโกนขึ้น “เริ่มสู้ได้ ! ”
ตอนที่กรรมการพูดจบ หวังเย่าก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายที่อยู่ห่างออกไป 100 เมตรทันที
ตอนที่วิ่งเข้าไปนั้นเขาก็ได้เรียกการ์ฟิลด์และหงอคงออกมา จิตของเขาเชื่อมต่อกับอสูรทั้งสองพร้อมกับเปิดใช้งานสกิลต่าง ๆ เพื่อเข้าโจมตีทันที
การกระทำของเขาทำให้ทุกคนแปลกใจ
“เขาทำอะไร ? เขาคิดจะจัดการในคราวเดียวงั้นหรือ ? ” ทุกคนต่างก็พากันสงสัย
เย่ฉิวเกาชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อคิดว่าหวังเย่าคงคลั่งเพราะคำพูดยั่วยุของเขา แสดงว่าหวังเย่าต้องควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะความโกรธอย่างแน่นอน
เขาต้องหลบการโจมตีพวกนี้ ก่อนจะโต้กลับและคว้าชัยชนะมา มันไม่ได้ดูยากเย็นอะไร
เขาเรียกอสูรทั้งสองของตัวเองออกมา ลิงภูเขากับนกสีนิลระดับสวรรค์
ตอนที่อสูรทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมานั้น ลิงภูเขาก็ได้ย้ายไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา ถึงจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับอสูรหิน แต่ด้วยร่างกายขนาดใหญ่ของมัน มันก็กลายเป็นกำแพงที่พร้อมรับความเสียหายได้ แม้ว่าพลังจะเทียบกับอสูรหินไม่ได้ แต่ยังไงซะ ระดับของมันก็ไม่ใช่น้อย ๆ
ส่วนนกสีนิลแผดเสียงนั้นไม่ได้เก่งในเรื่องการโจมตีระยะประชิด มันโจมตีด้วยพลังธาตุ มันสามารถใช้พลังธาตุผ่านทางคลื่นเสียงเพื่อโจมตีได้
ตอนที่หวังเย่าอยู่ห่างจากอสูรทั้งสองเพียง 50 เมตร นกนั่นก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะแผดเสียงร้องออกมา จากนั้นก็มีลำแสงไฟพุ่งออกมา
“โจมตีงั้นหรือ ? ” หวังเย่าฮึดฮัดออกมา ตอนที่ลำแสงไฟกำลังจะโดนตัวเขานั้น เขาก็พลิกตัวหลบไปอย่างง่ายดาย
การโจมตีด้วยธาตุนั้นทรงพลังไม่ใช่น้อย แต่โอกาสที่จะโจมตีโดนเป้าหมายนั้นต่ำ แม้ว่าจะทำการล็อคเป้าเอาไว้ก็ตาม แต่อาศัยว่าใช้พลังธาตุจึงสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่อง
กรู๊ !
เมื่อโจมตีรอบแรกไม่สำเร็จ นกสีนิลก็แผดเสียงก็ร้องออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็มีศรน้ำแข็งที่ยาวเท่าแขนออกมาจากปากของมันนับสิบอัน ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หวังเย่าอย่างรวดเร็ว
ศรน้ำแข็งรวดเร็วอย่างมาก แต่หวังเย่าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาลงไปที่พื้นก่อนจะกระโดดขึ้นสูงกว่า 30 เมตรเพื่อหลบมัน
เขาสามารถกระโดดได้สูงถึง 200 เมตรแต่ยังไงซะเขาก็อยู่ในห้องโถง ห้องโถงนี่สูงแค่ 39 เมตร เขาต้องควบคุมตัวเองไม่ให้พุ่งขึ้นไปชนเพดานของห้องโถง
ศรน้ำแข็งพลาดเป้าและปักลงที่พื้นแทน
แต่เย่ฉิวเกาก็ยังฮึดฮัดออกมา “ แกคงอยากไปสวรรค์สินะ “
อย่างที่ทุกคนรู้ เมื่อหวังเย่าอยู่ในอากาศแล้ว เขาก็จะกลายเป็นเป้านิ่งไม่อาจจะหลบไปไหนได้
กรู๊ !
นกสีนิลแผดเสียงได้พุ่งขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะทำการโจมตีครั้งที่สามออกมา มันเหมือนทำการท่องมนต์บางอย่าง ก่อนที่ปากของมันจะสร้างอาวุธการโจมตีชุดที่สามออกมา