ตอนที่ 207 : ตระหนักพลังแห่งไฟ
ฟ่านฉิงเหมยอ้าปากค้างกับฉากตรงหน้า ใบหน้าของเธอแดงก่ำ
เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ แม้ว่าจะเขินอายแต่เธอก็ยังพึมพำออกมา “หวังเย่า นายเป็นบ้าอะไร ? ”
เธอกับหวังเย่ามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันแล้ว แต่พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันมากนัก ดังนั้นเธอจึงไม่ชินเท่าไหร่
เมื่อเห็นหวังเย่าในสภาพนั้น ฟ่านฉิงเหมยก็คิดว่าเขาคงจะคิดลามก แต่เมื่อผ่านไปสักพักหวังเย่าก็ยังไม่ขยับตัว ฟ่านฉิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ดังนั้นเธอจึงได้แต่เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ
เมื่อเข้ามาใกล้ เธอก็พบว่าหวังเย่าไม่ได้แกล้งเธอ แต่เขากลับจมลงไปในความคิดของตัวเองจึงไม่สนใจสิ่งภายนอก
เมื่อเห็นแบบนั้นเธอจึงกลับไปเฝ้าที่ต้นทางเพราะกลัวว่าจะมีสัตว์อสูรเข้ามาโจมตี
“ทำไม…ตัวเขาถึงได้แดงแบบนี้ ? ” ฟ่านฉิงเหมยแสดงท่าทีแปลกใจออกมา เธอพบว่าตัวของหวังเย่านั้นแดงขึ้นมา มันแดงยิ่งกว่ากุ้งที่โดนเผาเสียอีก
ไม่ใช่แค่ตัวที่แดงขึ้นมาแต่อุณหภูมิของร่างกายก็ยังเพิ่มขึ้นมาด้วย ตัวเขาร้อนจนทำให้น้ำเริ่มเดือดขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ” ฟ่านฉิงเหมยเริ่มกังวล เธอคิดถึงคำพูดที่ว่าคนเราสามารถเปลี่ยนเป็นปิศาจได้ สถานการณ์ของหวังเย่าในตอนนี้ก็เหมือนกับคำพูดที่เธอเคยได้ยินมา
เธอเฝ้าหวังเย่าด้วยความกังวล ตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นและหมดหนทาง หากต้องปลุกหวังเย่าขึ้นมาในตอนนี้ มันก็อาจจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เพราะมันอาจจะทำให้จิตของเขาเสียหายก็ได้
“หวังเย่า เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ ? ”
หวังเย่าเริ่มแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา มันยิ่งทำให้ฟ่านฉิงเหมยกังวลมากขึ้นไปอีก
โชคดีที่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นนอกจากตัวที่ร้อนขึ้นมา
ทันใดนั้นเองในน้ำก็มีงูดำปรากฏตัวขึ้น มันอ้าปาก พร้อมจะกัดเข้าไปที่ตัวของหวังเย่า
ฟ่านฉิงเหมยเห็นแบบนั้นก็รีบดึงดาบออกมาก่อนจะเข้าโจมตีมัน
ฉั๊วะ !
หัวของงูโดนตัดขาดพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็นไปทั่ว
แต่หวังเย่ากลับไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เขายังอยู่ในสภาวะจมดิ่งแบบเดิม ตัวของเขาร้อนขึ้นจนทำให้น้ำระเหยขึ้นมาพร้อมกับหมอกที่ลอยขึ้นในอากาศ
ฟ่านฉิงเหมยสีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่กล้าจะประมาท เพราะสถานการณ์ในตอนนี้เกินความคาดหมายของเธอไปแล้ว
แต่เมื่อมองไปยังกระบองที่แดงก่ำของหวังเย่า ใจเธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นมา
10 นาทีต่อมาในที่สุดหวังเย่าก็ได้สติ เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าฟ่านฉิงเหมยมองเขาด้วยความเป็นห่วง จากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงดูตัวเองและพบว่าตัวของเขาแดงอย่างกับไฟ
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกัน..” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะคิด แต่ไม่นานตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา “ ฉันจำได้ว่า…ฮ่าฮ่า โชคดีจริง ๆ ”
“หวังเย่า นายตื่นแล้วหรือ ? เกิดอะไรขึ้นกับนายกัน นายทำฉันกลัวแทบตาย” ฟ่านฉิงเหมยรีบหันหลังกลับก่อนจะถามขึ้น
หวังเย่าลูบจมูกตัวเองด้วยความอายก่อนจะขึ้นมาจากน้ำ เขารีบใส่เสื้อผ้าก่อนจะพูดขึ้น “ ขอโทษทีที่ทำให้เป็นห่วง” หวังเย่าเดินเข้าไปหาแล้วกอดเธอเอาไว้ ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของเธอ
ฟ่านฉิงเหมยใจอ่อนทันที เธอหันกลับและพูดขึ้น “ ฉันเป็นห่วงนายแทบแย่ เมื่อเห็นว่านายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ใช่สิ แล้วตะกี้เกิดอะไรขึ้นกัน ? ฉันคิดว่านายจะโดนเผาไปแล้วซะอีก”
“โดนเผาอย่างนั้นหรือ ? ใช่ มันก็น่าจะแบบนั้น” หวังเย่ามองดูผิวที่แดงก่ำของตัวเองแล้วอธิบายออกมา “ ฉิงเหมย เธออาจจะไม่เชื่อแต่ฉันได้เข้าไปในขอบเขตกระจ่าง”
“อะไรนะ ? ขอบเขตกระจ่างงั้นหรือ ? นี่….ยอดเยี่ยมไปเลย หวังเย่า นายบอกฉันทีว่านายรู้อะไรมา” ฟ่านฉิงเหมยมองไปที่หวังเย่าด้วยความแปลกใจ
“มีหลายเรื่องที่ฉันเริ่มเข้าใจได้ คำถามที่ฉันเคยสงสัยมาก่อนหน้านี้ได้รับคำตอบเกือบหมดแล้ว ความเข้าใจเรื่องต่างก็พัฒนาขึ้นมาอย่างมาก ” หวังเย่าพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “ ยกตัวอย่างเช่นทักษะพายุสังหารที่ฉันฝึกไปได้ 3 ส่วน ถึงจะฝึกสำเร็จแล้วแต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ามันมีบางอย่างขาดหายไปอยู่ และทักษะเกลียวธนูที่แม้ว่าจะฝึกไปถึงระดับสูงสุดแล้ว แต่ก็ยังมีหลาย ๆ ด้านอย่างความเร็วและความแม่นยำ รวมไปถึงพลังที่ใช้ออกมาได้ไม่ถึง 50 เปอร์เซ็นต์”
“และส่วนที่สำคัญที่สุดคือพลังไฟ” หวังเย่าโบกมือพร้อมกับดึงเอาหินกฎไฟออกมา ทันใดนั้นหินนั่นก็แผ่พลังไฟอันบ้าคลั่งและรุนแรงออกมา
เมื่อฟ่านฉิงเหมยเห็นแบบนั้นก็หน้าถอดสีทันที “หินกฎไฟ หวังเย่านายได้มันมาจากไหน ของนี่ถือว่าเป็นสมบัติก็ว่าได้ เมื่อเข้าใจกฎไฟของมันแล้ว ก็จะมีทักษะต่อสู้ระดับสูง ทั้งโลกนั้นมีคนที่เข้าใจถึงทักษะระดับสูงแบบนี้ไม่มากนัก”
ฟ่านฉิงเหมยเริ่มแปลกใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สมบัติแบบนี้กลับอยู่ในมือของหวังเย่าได้ ต้องบอกว่าเขาโชคดีจริง ๆ
หวังเย่าพูดขึ้น “ฉันเจอมันตอนที่ไปขโมยของออกมาจากรังมังกรเพลิง ตอนที่ฉันกับเธอไปที่มิติไฟยังไงละ ตอนนั้นฉันกับลุงเฉี่ยนได้ตกลงว่าจะแบ่งสมบัติกัน แต่มีแค่หินนี่ที่ฉันแอบเก็บเอาไว้คนเดียว”
“เรื่องนี้ฉันบอกแค่เธอกับเมิ่งเอ๋อร์เท่านั้น เธอห้ามบอกใครล่ะ” หวังเย่ายังรู้สึกผิดอยู่ ยังไงซะนี่ก็เป็นของที่มีค่า แต่เขากลับเก็บมันไว้คนเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เพราะตอนนั้นเขาก็เพิ่งเจอกับเฉี่ยนเจินเฉียนเป็นครั้งแรก หวังเย่ายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนแบบไหน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเก็บหินนี่ไว้
บางคนอาจจะฆ่าคนอื่นเพื่อแย่งชิงสมบัติมา แต่ดีแค่ไหนที่หวังเย่ายังแบ่งสมบัติจำนวนมากให้ไป
ฟ่านฉิงเหมยพยักหน้าตอบรับ เรื่องนี้คือความลับสำคัญ มันไม่เหมาะที่จะบอกเรื่องนี้ให้คนนอกรู้ การที่หวังเย่าบอกเรื่องนี้กับเธอนั้นหมายความว่าเขาเชื่อใจเธออย่างมาก
“ หวังเย่างั้นหมายความว่านายเข้าใจกฎของหินนี่แล้วงั้นหรือ ? ”
หวังเย่าไม่ได้ปิดบังและตอบกลับทันที “ใช่ ฉันพอเข้าใจอยู่บ้าง แม้ว่าฉันจะไม่มีความสอดคล้องกับธาตุไฟรึไม่ได้ฝึกฝนทักษะธาตุไฟ แต่ตลอดหลายวันมานี้ฉันได้ใช้ลูกแก้ววิญญาณไฟและทำให้รู้สึกได้ถึงแก่นพลังไฟ เพราะลูกแก้ววิญญาณไฟนั้นก็มีความสอดคล้องกับพลังไฟที่สูง ดังนั้นฉันจึงได้เรียนรู้ทักษะธาตุไฟไปด้วย”