ตอนที่ 210 : ต้นไม้กินเลือด
อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นอสูรต้นไม้รึสัตว์อสูร ในชีวิตของมันก็ทำสัญญาได้แค่ครั้งเดียว อสูรผู้พิทักษ์เองก็เหมือนกัน เมื่ออสูรผู้พิทักษ์ทำสัญญาไปแล้วครั้งหนึ่ง มันก็ไม่อาจจะทำสัญญาได้อีก
ดังนั้นจึงไม่อาจจะจับอสูรผู้พิทักษ์มาเป็นอสูรประจำตัวได้ นอกซะจากว่าอสูรผู้พิทักษ์เพิ่งจะเกิด เช่นนั้นก็อาจจะมีโอกาส แต่อสูรผู้พิทักษ์นั้นหาได้ยาก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคนทำสัญญากับอสูรผู้พิทักษ์
ดังนั้นเมื่อทำสัญญากับไทแรนโนซอรัสแล้ว ชีวิตของทหารทุกคนที่นี่ก็คือต้องทำงานให้กับกลุ่มทหารรับจ้างโลกา แน่นอนว่ามีเงินตอบแทนให้ เพียงแต่ว่าพวกเขาจะเสียโอกาสเข้าร่วมกับองค์กรอื่นหลังจากนี้
นอกซะจากว่าจะสามารถสร้างผลงานได้มากกว่าคุณค่าของไข่ไทแรนโนซอรัสหรือมีเงินมากพอที่จะซื้อมันคืน ถึงจะได้อิสระกลับคืนไป
แน่นอนว่าไม่มีใครคัดค้านและพากันตกลง นี่คือสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นกลาง หากพวกเขาพลาดโอกาสแบบนี้ไป มันจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก
หวังเย่าพูดขึ้นต่อ “ฉันต้องบอกพวกนายก่อนว่ากลุ่มทหารรับจ้างของเราต่างจากกลุ่มทหารรับจ้างอื่น ๆ ดังนั้นฉันจะบอกรายละเอียดกับพวกนาย ”
ทุกคนต่างก็เงียบและตั้งใจฟังทันที
“พวกเราคงเข้าใจสถานการณ์ของโลกก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใช่ไหม กองทัพแบ่งออกเป็นกองทัพภาคพื้นดิน, ทะเลและอากาศ นี่คือรูปแบบพื้นฐาน แต่มันก็ยังแบ่งย่อยไปได้อีก เช่น พวกกองกำลังพิเศษ, กองกำลังสอดแนมและอื่น ๆ ”
“ดังนั้นความคิดของฉันคือกลุ่มทหารรับจ้างของเราจะสร้างขึ้นตามรูปแบบกองทัพ แน่นอนว่าจะต้องมีสัตว์อสูรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้ฉันมีไข่ไทแรนโนซอรัส 21 ใบซึ่งเพียงพอจะสร้างกองทหารม้าเล็ก ๆ ขึ้นมาได้…พวกนายเข้าใจรึเปล่าว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร ? ”
ทุกคนพากันหรี่ตาลง คำพูดของหวังเย่านั้นเรียบง่าย เพื่อที่จะทำสัญญากับไทแรนโนซอรัส อย่างแรกพวกเขาก็ต้องตกลงว่าจะต้องเป็นทหารรับจ้างอย่างเป็นทางการของบริษัทเสียก่อน หลังจากนั้นจะเปลี่ยนรูปแบบจากทหารรับจ้างทั่วไปเป็นทหารม้า ที่มีอสูรประจำกายให้พวกเขาขี่เป็นไทแรนโนซอรัส
การทำเช่นนี้จะทำให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้น แต่ข้อเสียของมันคือพวกเขาจะหมดอิสระและไม่อาจจะลงมือเพียงลำพังได้ตามใจ
หลังจากที่ชั่งข้อดีข้อเสียดูแล้ว ก็ยังไม่มีใครคัดค้าน ผลดีขององค์กร์นั้นมากมาย สำหรับพวกเขาแล้วมันมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ
แน่นอนว่าคนที่รักอิสระนั้นไม่เต็มใจที่จะตกลง อย่างหลงปู้หยู๋ ที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นคนหยิ่งทะนงและมักจะออกเดินทางเพียงคนเดียวมาตลอด แต่ที่เขาไม่ได้คัดค้านในตอนนี้เพราะเขาเป็นรองหัวหน้า เขาไม่ใช่สมาชิกทั่วไป ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมหน่วยใดหน่วยหนึ่ง
ทุกคนพากันคุยกันทั้งคืนก่อนจะหลับไปโดยให้อสูร 2 ตัวเฝ้ายามอยู่ด้านนอก
เช้าวันต่อมาทุกคนก็ตื่นขึ้นมาแต่เช้า เมื่ออยู่ในป่าแล้วพวกทหารรับจ้างได้ทิ้งความขี้เกียจไปและอีกอย่างแล้ววันนี้พวกเขามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ
“ออกเดินทางกันได้”
หวังเย่าและคนอื่น ๆ ได้เดินทางไปยังบึงฝั่งตะวันตก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาเขาได้ให้การ์ฟิลด์แผ่พลังระดับราชันย์ออกมาเพื่อไล่สัตว์อสูรที่อ่อนแอให้หนีไป ส่วนตือโป๊ยก่ายอยู่ในร่างหมอกได้บินขึ้นไปด้านบนเพื่อคอยสังเกตการณ์
พวกเขาหลีกเลี่ยงสัตว์อสูรได้หลายกลุ่มแต่ก็ฆ่าพวกมันไปหลายกลุ่มเช่นกัน สุดท้ายตอนเย็นพวกเขาก็มาถึงบึงที่ว่าในที่สุด
ใจกลางบึงนั้นมีเกาะอยู่ ด้านบนเกาะไม่มีอะไรอื่นนอกจากต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมา พร้อมกับผลไม้สีเหลือง เพราะแสงในมิตินี้มีไม่มากจึงทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนนัก
“ตั้งแคมป์กันก่อน”
หวังเย่าใช้ลูกแก้ววิญญาณดินขุดถ้ำขึ้นมาก่อนจะใช้ลูกแก้ววิญญาณไฟเพื่อไล่ความชื้นด้านในออก จากนั้นเขาก็ให้ทุกคนเข้าไปพักด้านใน
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็พากันปรึกษาแผนการ
“หัวหน้า อสูรผู้พิทักษ์ซ่อนอยู่ในต้นไม้ มันไม่ได้เผยตัวออกมา เราเห็นว่ามันมีหนวด 8 เส้นที่คล้ายกับกิ่งไม้แห้ง มันรวดเร็วและมีสายตาที่คมกริบ อีกทั้งมันยังมีธนูเลือดที่ยิงออกมาและดูดเลือดได้”
หลังจากได้ยินเรื่องราวที่พี่หลงเล่า หวังเย่าก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว อสูรผู้พิทักษ์นั้นสามารถยิงธนูเลือดออกมาฆ่าค้างคาวได้ จากนั้นก็ใช้หนวดของมันดูดเลือดเหยื่อจนกว่าร่างกายจะแห้งเหือดไป
“ดูเหมือนว่าอสูรผู้พิทักษ์นี่จะลึกลับ แต่ฉันไม่คิดว่ามันเป็นอสูรผู้พิทักษ์…แต่เป็นแก่นต้นไม้เสียมากกว่า”
หวังเย่าเคยเห็นอสูรผู้พิทักษ์มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าต้นไม้นี่โดดเด่น มันไม่เหมือนต้นไม้ธรรมดาแต่ที่มีความคิดและวิธีป้องกันตัวจากศัตรู
ธนูเลือด, การสูบเลือดรวมไปถึงหนวดของมัน….
สิ่งเหล่านี้ดูไม่เชื่อมโยงกับอสูรผู้พิทักษ์เลย รึว่าทั้งสามคนนี้จะมองผิดไป ?
“คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันแค่ใช้ระบบตรวจสอบมันก็รู้ได้แล้ว” หวังเย่าคิดในใจ
ตอนกลางคืนด้วยการมองเห็นที่ไม่ชัดเจน เขาจึงไม่อาจจะใช้ระบบตรวจสอบได้ เขายังมองไม่เห็น แล้วระบบจะตรวจสอบได้ยังไง ?
หลังจากที่ปรึกษากันได้สักพัก พวกเขาก็ยังหาวิธีรับมือไม่ได้
วันต่อมา หวังเย่าตื่นขึ้นมาแต่เช้าและมุ่งหน้าไปที่ชายหาดทันที
“เกาะนั่นห่างออกไปอย่างน้อย 40 ไมล์ มันไกลเกินไป ฉันต้องหาทางเข้าไปใกล้กว่านี้” เขาพึมพำกับตัวเอง “รึว่าต้องสร้างเรือขึ้นมา ? ”
แต่มันอันตรายเกินไปเพราะปลาในน้ำไม่ใช่พวกสัตว์กินพืช
หากทำแบบนั้นก็อาจจะทำให้คนตายได้ ปลาพวกนี้ดุร้าย เดาว่าพวกมันคงไวต่อกลิ่นเลือดคล้ายกับฉลาม
“น่าเสียดายที่ฉันยังไม่ได้ทำสัญญากับอสูรที่บินได้ ถ้าฉันมีอสูรที่บินได้อยู่ด้วย ฉันคงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ตอนนี้ฉันฝึกทักษะกระบี่บินได้ถึงส่วนที่ 3 แล้ว พลังจิตฉันแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างมาก ฉันสามารถทำสัญญากับอสูรอีกตัวได้แล้ว งั้นอสูรตัวต่อไปต้องเป็นอสูรที่บินได้แล้วละ”
“จากชายฝั่งถึงเกาะนั่นห่างกันถึง 40 ไมล์ เฮ้อ ” หวังเย่าแทบหมดหนทาง
“หวังเย่า นายคิดอะไรอยู่ ? ” จู่ ๆ จ้าวเมื่งซีก็เดินเข้ามาจากด้านหลังและถามขึ้น
หวังเย่าได้สติกลับมา เมื่อเห็นใบหน้าของจ้าวเมิ่งซี เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาทันที
“ฉันเป็นบ้าอะไรไป ? ฉันติดนิสัยที่จะต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองทั้งที่มีทรัพยากรพร้อมให้ใช้งานแท้ ๆ ! ”
“เมิ่งเอ๋อร์ ฉันรอเธออยู่ เธอช่วยใช้เทอร์โรซอร์ไฟพาฉันบินไปที่เกาะนั่นที ฉันอยากไปดูต้นไม้นั่นใกล้ ๆ ”
“ได้” จ้าวเมิ่งซียิ้มและเรียกเทอร์โรซอร์ไฟออกมา จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นไปบนหลังของมันก่อนที่เทอร์โรซอร์ไฟจะบินออกไปอย่างรวดเร็ว แค่ไม่กี่นาทีพวกเขาก็อยู่เหนือเกาะแล้ว
****
สายพันธุ์ : ต้นไม้กินเลือด