ตอนที่ 65 : การโจมตีอันรุนแรง
ในเวลาเดียวกัน หงอคงก็ทำการทุบอกเปิดการทำงานของพลังธรรมชาติรวมถึงสกิลเนตรอัคคีที่ส่งต่อไปถึงหวังเย่าด้วย
แม้ว่าจะมีระบบคอยช่วย แต่การใช้อสูร 2 ตัวพร้อมกันนี้ก็ใช้พลังจิตไปมากเช่นกัน
มันคือการทุ่มสุดตัวของเขา เพื่อจะเข้ามหาวิทยาลัยหัวเซี่ย นอกจากการฝึกฝนร่างกายและทักษะการต่อสู้แล้ว เขายังเพิ่มความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณด้วยการทำสมาธิด้วย
แม้ว่ามนุษย์ที่ทำสัญญากับสัตว์อสูรจะสามารถใช้ความสามารถของสัตว์อสูรได้ แต่ยังไงซะมันก็เป็นแค่การยืมความสามารถ แม้ว่าจะสะดวกแต่มันก็ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของพวกเขาเอง
ตอนแรกมนุษย์ยังไม่รู้สึกอะไร สุดท้ายด้วยการพึ่งพาแต่สัตว์อสูรก็ทำให้พวกเขาไม่สนใจความแข็งแกร่งของตัวเองซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอลงไป เมื่อใดที่เกิดการต่อสู้ ร่างกายของพวกเขาก็ไม่อาจจะทนรับพลังมหาศาลได้ มันทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด เส้นเลือดได้รับภาระหนักเกินไป
ยิ่งสัตว์อสูรเติบโตมากเท่าไหร่ ปัญหานี้ก็ยิ่งหนักหนามากเท่านั้น
เมื่ออสูรเติบโตไปถึงระดับหนึ่ง พวกมันก็จะมีพลังเพียงพอที่จะทำให้สัญญาสั่นคลอนได้และถึงกับยกเลิกสัญญาไปเลยก็มี ซึ่งนั่นทำให้ผู้ใช้อสูโดนอสูรของตัวเองกลืนกินไป ตอนนั้นเองที่มนุษย์ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้
ดังนั้นผู้คนจึงเริ่มรณรงค์เรื่องนี้ แม้ว่าจะมีอสูรของตัวเองแต่ยังไงซะมันก็เป็นพลังภายนอก มนุษย์ยังต้องหวังพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นการฝึกฝนร่างกายรวมถึงทักษะต่อสู้ต่าง ๆ และการทำสมาธิจึงถูกพัฒนาขึ้นมา
แม้แต่ทักษะต่อสู้เก่าแก่ก็ยังถูกนำมาศึกษาและเรียนรู้
“หวังเย่า หากนายอยากทำอะไรก็รีบทำซะ” เมื่อเห็นท่าทีของหวังเย่า หลี่จื้อเฉิงก็พูดขึ้นมาด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง “ฉันยอมรับว่านายเป็นม้ามืด แต่ม้ามืดก็ยังเป็นม้ามืดอยู่วันยังค่ำ ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริงแล้ว นายคงต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฉันคือคนที่แกร่งที่สุดในปีนี้ ฉันจะเป็นราชาคนใหม่”
“นายคิดจะบอกอะไร ? ” หวังเย่าขัดขึ้นมา
“นายจะยอมรับความพ่ายแพ้รึจะโดนฉันอัดจนยอมแพ้ เลือกเอา นายเข้าใจรึเปล่า ? ” หลี่จื้อเฉิงยังคงเยือกเย็นดังเดิมราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือเขา
“ความคิดดีนี่” หวังเย่าพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “โชคร้ายที่นายแค่คิดไปเอง ในพจนานุกรมของฉันไม่มีคำว่าแพ้”
“เอาเลย” ทุกคนพากันโห่ร้องออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามที่นายต้องการ ในเมื่อไม่รับข้อเสนอของฉัน ฉันจะซัดนายให้หมอบลงไปกับพื้น” หลี่จื้อเฉิงโบกมือ พร้อมกับปีศาจไลเกอร์ที่ระเบิดพลังออกมา ตัวของมันราวกับถูกย้อมไปด้วยเลือด
จริง ๆ แล้ว….มันคือการเปิดใช้งานร่างปิศาจที่เป็นการเผาไหม้แก่นเลือด ซึ่งเพิ่มการป้องกันและความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง เรื่องสำคัญอย่างแรกคือการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่คาดคิด
มุมปากของหวังเย่าพลันบิดเบี้ยว เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะจัดการได้ยากแบบนี้ ถึงกับยอมใช้วิธีขี่ช้างจับตั๊กแตน
แต่มันก็ถือว่าดี ทั้งสองฝ่ายได้เผยไพ่ลับของตัวเองออกมาทั้งหมดแล้วและเลือกที่จะเผชิญหน้ากันโดยตรง ในเวลาอันสั้นก็สามารถตัดสินได้แล้วว่าใครจะแพ้รึชนะ
หลังจากที่เปิดใช้สกิล หลี่จื้อเฉิงและปีศาจไลเกอร์ก็ได้มีพลังเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ปากของมันดูชุ่มไปด้วยเลือดพร้อมกับคลื่นเสียงที่แผ่ออกมาจนทำให้ทั้งโดมสั่นไหว
โชคดีที่เป้าหมายไม่ใช่ผู้ชม ที่นั่งของผู้ชมอยู่ห่างไปกว่า 100 เมตร ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับการบาดเจ็บจากคลื่นเสียงนี้
ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่คลื่นพลังที่แผ่ออกมาโดยรอบก็ยังทำให้คนที่อ่อนแอรู้สึกแน่นหน้าอกและไม่อาจจะหายใจได้ วิญญาณของพวกเขาสั่นไหวไปเล็กน้อย
คนแรกที่รับคลื่นพลังนี้ไปเต็ม ๆ คือหวังเย่าและอสูรของเขา
ในเรื่องนี้ หวังเย่าไม่มีวิธีแก้ปัญหา เขาทำได้แค่ยืนนิ่งและเค้นความตั้งใจของตัวเองออกมาเพื่อเผชิญหน้า
โชคดีที่หงอคงนั้นมีกระดูกเหล็กและผิวคิงคอง ทั้งยังเกิดมาพร้อมกับพลังธรรมชาติ ดังนั้นคลื่นเสียงนี้จึงยากที่จะทำอะไรมันได้
“ต่อไปคงเกิดการต่อสู้ที่ปลิดชีวิตอีกฝ่ายได้ในพริบตา”
อีกฝ่ายใช้สกิลออกมาถึง 3 อย่างเพื่อเพิ่มพลังและการป้องกัน การโจมตีครั้งต่อไปอาจจะถึงชีวิต
โชคดีที่หวังเย่าอ่านสถานะของอีกฝ่ายได้ออก ไม่งั้นแล้วเขาคงไม่รู้ถึงสกิลในการป้องกันตัวของอีกฝ่าย
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เขารู้ความสามารถและจุดอ่อนของอีกฝ่าย งั้นเขาก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายจะลงมือยังไง
แน่นอนหลี่จื้อเฉิงสั่งให้ปีศาจไลเกอร์พุ่งเข้าชนทันที
ภายใต้เงาที่พุ่งเข้ามา ปีศาจไลเกอร์ที่แต่เดิมอยู่ห่างกว่า 10 ฟุตกลับมาถึงตรงหน้าหงอคงในทันที หงอคงโดนชนเข้าอย่างแรง กรงเล็บทั้งสองข้างของปีศาจไลเกอร์โผล่ออกมากรีดเข้าที่หลังของหงอคง จนทิ้งรอยบาดแผลลึกเอาไว้
สายตาของหวังเย่าสะท้อนความเย็นชาออกมา เขาหลบออกไปด้านข้างและให้การ์ฟิลด์กระโดดขึ้นไปบนหลังของปีศาจไลเกอร์
อีกฝ่ายมีสกิลร่างปีศาจเพิ่มพลัง การ์ฟิลด์เองก็มีวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเช่นกัน ดังนั้นการโจมตีของมันจึงเพิ่มพลังมากขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า
การ์ฟิลด์มีความสามารถในการต่อสู้เกือบพันหน่วยที่เลเวล 30 ตอนนี้มันเลเวล 32 แล้ว ค่าความสามารถในการต่อสู้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
เลเวล 20 กรงเล็บของการ์ฟิลด์สามารถข่วนกำแพงได้แล้ว ตอนนั้นค่าการต่อสู้ของมันแค่ 100 หน่วยเท่านั้น
ดังนั้นแม้ว่าร่างของปีศาจไลเกอร์จะแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับผิวทองแดงรึแข็งกว่านั้น แต่ก็ไม่อาจจะทนรับการโจมตีจากค่าการต่อสู้กว่า 3,000 หน่วยได้
การ์ฟิลด์สะบัดกรงเล็บตัดสายลมข่วนเข้าที่หลังของปีศาจไลเกอร์อย่างแรง ก่อนจะดึงกรงเล็บกลับออกมาจนสร้างรอยแผลขนาดใหญ่ยาวกว่า 10 เมตรทิ้งเอาไว้
“โฮกกกก ! ”
แม้ว่าปีศาจไลเกอร์จะตัวใหญ่แต่ก็ไม่อาจจะทนความเจ็บปวดแบบนี้ได้
มันคำรามออกมาอย่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับเลือดที่ทะลักออกมาอย่างกับน้ำพุ ฉากนี้ช่างดูน่าตกใจจริง ๆ
ตอนที่เกิดฉากนี้ขึ้น ทุกคนต่างก็พากันเงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงหายใจ
เพราะมันช่างน่าทึ่งที่การ์ฟิลด์สามารถสร้างความเสียหายระดับนี้ได้
นี่ไม่ต้องนับคนอื่น ๆ ที่แปลกใจเลย แม้แต่หวังเย่าที่เป็นเจ้าของก็ยังต้องตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าการโจมตีของการ์ฟิลด์จะรุนแรงถึงเพียงนี้
“หวังเย่า นาย…” หลี่จื้อเฉิงตาแดงก่ำด้วยความเคียดแค้น
หวังเย่าไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาใช้แค่ลูกเล่นเพียงอย่างเดียวแต่กลับจัดการกับอีกฝ่ายจนบาดเจ็บหนักได้แล้ว
เขาไม่คิดจะทิ้งโอกาสที่จะจัดการกับปีศาจไลเกอร์ และรีบสั่งการทันที
“การ์ฟิลด์ ใบมีดลม”
Related