บทที่ 32 เพียงชั่วประเดี๋ยวก็เบ่งบาน
เมื่อกลับถึงบ้านในตอนเย็น เจียงฮ่าวเลือกที่จะยังไม่บอกพ่อแม่ของตนเกี่ยวกับเรื่องที่เขาซื้อบ้าน
“อีกสามวันก็จะถึงวันเกิดพ่อแล้ว ค่อยบอกตอนนั้นก็แล้วกัน”
“…..”
อีกวันถัดมา เจียงฮ่าวได้สะพายกระเป๋าไปโรงเรียนตามปกติ
“ตอนนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเราแล้วน่าจะไม่ต้องไปโรงเรียนอีก…. นี่ฉันจะเลิกไปเรียกแล้วไปทำข้อสอบเข้าเลยดีรึเปล่านะ”
เจียงฮ่าวได้คิดขึ้นมาในขณะที่เลี้ยวเข้าไปตรงหัวมุมทางเดิน เป็นตอนนั้นที่ตัวเขานั้นได้รู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวสมองและร่างกายขนลุกชัน
เขารู้ในทันทีว่านี่คือสัญญาณแห่งอันตราย
มีบางอย่างได้พุ่งเข้ามาที่หัวของเขาในช่วงเสี้ยววิแทบจะในทันทีที่เลี้ยวเข้าไป
แต่เจียงฮ่าวเองกลับเร็วกว่า เขาได้ใช้มือข้างหนึ่งจับไม้ที่ฟาดมายังหัวของเขาอย่างแน่นหนึบ ก่อนที่จะกำหมัดแล้วต่อยออกไปอย่างเต็มแรง
“ตูม”
“อ๊ากกกกก”
เสียงร้องโหยหวนดังลั่นขึ้นมาในทันทีก่อนที่จะค่อยลงตามระยะทางที่ห่างออกไป ร่างๆหนึ่งได้ลอยปลิวล่ะลิ่วห่างออกไปประมาณหกถึงเจ็ดเมตรก่อนที่จะถูกหยุดเอาไว้ด้วยกำแพง
เป็นตอนนี้ที่เจียงฮ่าวได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกันหน้า
ตรงหน้าของเขานั้นคือชายหนุ่มแปดคนที่มีหัวหลากสีและเปล่งประกาย
บนมือของพวกมันนั้นได้วางพาดผ่านท่อนไม้ที่อยู่ในมือด้วยหลากหลายท่าทางราวกับพร้อมที่จะเข้ามาฟาดใส่เจียงฮ่าวอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
แต่นี่ก็เป็นเพียงท่าทางก่อนที่จะได้เห็นพวกของตนปลิวล่ะล่องอัดกำแพงจนพวกมันนิ่งอึ้งไปในท่าทางเดิมเท่านั้น หลังจากที่มันเห็นพวกพ้องปลิวล่ะล่องไปแล้วพวกมันได้หันไปจ้องมองเจียงฮ่าวอย่างโง่งม
เป็นตอนนี้เองที่หนึ่งในนั้นที่ทำทรงผมแปลกประหลาดกว่าใคร พูดออกมาด้วยใบหน้าที่หยามเหยียด
“ลูกพี่ เรารุมมันเลยดีกว่า พวกเรามีกันตั้งแปดคนจะกลัวอะไรกลับอีแค่เสียคนไปคนเดียว”
อย่างไรก็ตาม คนที่เป็นหัวหน้ากลับเตะไอ้คนที่พูดและผลักอีกสองคนที่อยู่ตรงหน้าให้ออกมาเป็นความหมายเชิงให้เข้าไปจัดการ
คนเหล่านี้เองยังตกตะลึงกับการตอบสนองจองเจียงฮ่าวและพึ่งจะรู้สึกตัวเมื่อโดนผลักออกมา
พวกมันไม่มีทางเลือกเลยได้จับไม้ในมืออย่างแน่นกระชับมือและพุ่งตรงไปอย่างห้าวหาญพร้อมกับเสียงเชียร์อันดังลั่นจากพวกพ้อง
“อั้ก”
“เรียกรถพยา…”
“บาล..ให้”
“….”
เมื่อเจียงฮ่าวได้เห็นคนเหล่านี้เข้ามาเพียงสองคนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
เขากลับหมัดทั้งสองข้างด้วยท่าทางปกติ ก่อนที่จะพ่งุตรงเข้าไปและเล่นงานคนทั้งแปดอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ….ผั้วะ..
“อั้ก..”
เพียงชั่วพริบตาหลังจากเสียงกระทบมากมายได้เกิดขึ้น ในที่สุดก็เหลือเพียงเจียงฮ่าวเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ได้ ส่วนอีกแปดคนนั้น ในตอนนี้ได้ลงไปกองเชยชมพื้นดินอยู่ที่เท้าเจียงฮ่าว
เจียงฮ่าวได้ยิ้มออกมาในขณะที่มองจิ๊กกี๋ทั้งแปดคนที่เขาพึ่งจะซัดหมอบกระแตลงไป
“สัมผัสภยันตรายนี่มันดีจริงๆ”
เจียงฮ่าวนั้นประทับใจกับทักษะสัมผัสภยันตรายระดับสองของเขาอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขาได้ขมวดคิ้วกับจิ๊กกี๋ทั้งแปดคนที่กำลังร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นอย่างมาก
เขาได้เดินตรงไปยังร่างของหัวหน้าก่อนที่จะนั่งยองๆด้วยท่าทีที่จิ๊กโก๋กว่าและถามออกมา
“ไอ้หนู ฉันเองก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับแกแล้วพวกแกจำมาทำหมาลอบกัดกับฉันทำไม”
เด็กน้อยยังคงกอดท้องตัวเองและร้องไห้ออกมาอย่างหนักโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
แต่เจียงฮ่าวเองนั้นก็หาใช่คนที่มีไมตรีจิตแต่อย่างใด
“ไม่บอกเหรอ ก็ได้นะ เดี๋ยวฉันจะช่วยนายให้อยากบอกเอง”
เมื่อพูดจับ หมัดของเขาก็ได้จรดไปบนท้องของเด็กจิ๊กกี๋ตัวหัวหน้าอีกครั้ง
“อ้วกกกก….”
ทันทีที่หมดของเจียงฮ่าวกดลงไปบนท้อง หัวหน้าจิ๊กกี๋ก็ได้ปวดจนต้องอ้วกออกมาในทันที
“โอ้ ยังไม่ยอมพูดอีกเหรอ ช่างน่านับถือยิ่งนัก”
เมื่อพูดจบ เจียงฮ่าวได้หยิบไม้ที่กระเด็นกระดอนมากองอยู่ใกล้ๆแล้วทำการนำปลายไม้มาวางไว้ที่เป้ากางเกง เมื่อจิ๊กกี๋เด็กน้อยเห็นฉากนี้ทำให้ตัวมันนั้นถึงกับขนลุกขนชัน