บทที่ 66 กลับบ้านราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลูกน้องที่หิ้วปีกฉินโชวมาเพียงมองตากับหัวทองก็ราวกับรู้จัก ช่วยกันจับฉินโชวให้อยู่ท่าเตรียมพร้อมในทันที
ดวงตาของหัวทองเต็มเปี่ยมไปด้วยความอำมหิตฟาดแท่งเหล็กบนมือลงไปอย่างไร้ปราณี
หลังจากฟาดลงไปไม่กี่ที ฉินโชวที่กรีดร้องออกมาจนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือดก็ได้สลบเหมือดไป
ส่วนเจียงฮ่าวนั้น ก่อนที่จะเกิดฉากนี้ได้ไปยืนพิงกระจกรถที่น้องสาวตนอยู่ไม่ให้เห็นฉากเหตุการณ์
อีกฝากฝั่งหนึ่งนั้น หัวทองที่เหวี่ยงท่อนเหล็กลงไปอีกสองสามหน ขาของฉินโชวก็ได้ห้อยร่องแร่งไปเรียบร้อยแล้ว
เจียงฮ่าวมองไปปราดหนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้วเข้าไป
“หัวทองให้คนสักคนไปส่งฉันด้วย”
แต่เดิมนั้น หัวทองเองก็หวั่นใจอยู่ว่าเจียงฮ่าวนั้นจะหักขาเขาต่อจากฉินโชวและไม่ยอมปล่อยมันไปแต่โดยดี
มันไม่คิดเลยสักนิดว่าเจียงฮ่าวจะยอมปล่อยมันไปตามสัญญาจริงๆ แถมไม่คิดจะทำอะไรมันอีกแม้แต่น้อย
นี่ทำให้มันรีบเหวี่ยงท่อนเหล็กทิ้ง ปาดเหงื่อตัวเองทั้งหน้าไปหนึ่งที และรีบวิ่งไปที่รถในทันใด
“พี่ใหญ่ เดี๋ยวผมจะเป็นคนขับรถไปส่งเองครับ ผมอยากเห็นพี่ใหญ่เดินเข้าบ้านอย่างปลอดภัยด้วยตาตัวเอง”
เจียงฮ่าวที่ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
“….”
ทั้งสามคน ในตอนนี้ต่างคนต่างก็คิดไปต่างๆนานา โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
หลังจากขับมาจนใกล้จะถึงบ้าน เจียงฮ่าวก็ได้ให้หัวทองจอดรถและได้พาน้องสาวของตนลงจากรถ ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ลืมที่จะหยิบอาหารแสนอร่อยจากภัตตาคารสวรรค์ชั้นฟ้าติดมือลงไปด้วย
ก่อนจะจากไป เจียงฮ่าวได้จ้องมองไปยังหัวทองที่ตอนนี้อยู่ในสภาพนอบน้อมอย่างที่สุดในชีวิตและกล่าวคำเตือนสุดท้ายออกไป
“วันนี้เรื่องระหว่างฉันกับแกจบกันแค่นี้ และแกก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน เข้าใจ๋”
คำพูดของเจียงฮ่าวนั้นทำให้มุมปากของหัวทองกระตุกไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูกลิ่นอายที่เจียงฮ่าวส่งออกมาในระหว่างกล่าวคำเตือนนั้น ทำให้มันไม่สามารถที่จะร้องขอสิ่งใดได้ และทำได้เพียงตอบรับแต่โดยดีเท่านั้น
“ได้ครับ ได้อย่างแน่นอนครับพี่ใหญ่”
เจียงฮ่าวพยักหน้าอย่างพอใจ
“งั้น แกก็กลับไปได้แล้ว”
หัวทองในตอนนี้รู้สึกราวกับฝันกลางวัน มันได้รีบกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจอีกครั้งและขับรถจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากมองหัวทองจนขับรถพ้นระยะสายตาไปไกลแล้ว เจียงฮ่าวได้พาเจียงไซหยวนเดินรอบบ้านเล่นไปสองรอบก่อนจะกลับเข้าบ้านไป
นั่นก็เพระกลัวว่าตนนั้นจะทำให้ครอบครัวตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย
ระหว่างทางนั้น เจียงฮ่าวได้กำชับกับเจียงไซหยวนออกมา
“ไซหยวน เรื่องในวันนี้อย่าได้บอกใครเป็นอันขาดนะ โดยเฉพาะพ่อกับแม่ เข้าใจนะ”
เจียงไซหยวนเองเมื่อได้ยินก็รีบพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรออกมา
หลังจากนั้น สองพี่น้องก็ได้เดินเข้าบ้านของคนไป
“…”
หนึ่งคืนที่เงียบงันได้ผ่านไป
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เจียงฮ่าวได้พูดคุยกับพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องที่จะย้ายบ้านเรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ยิ่งทำให้เจียงฮ่าวนั้นไม่สามารถอดทนอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป
และด้วยท่าทีอันหนักแน่นของเจียงฮ่าวนั้นทำให้ทั้งครอบครัวยินยอมย้ายบ้านแต่โดยดี
หลังจากย้ายบ้านเสร็จเรียบร้อย เจียงฮ๋าวได้เริ่มศึกษาระบบสุดยอดระบบย่อยสลายและสังเคราะห์ของเขาอย่างจริงจัง เพราะว่าตัวเขานั้นอยากจะแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้
แน่นอนว่าเขาเข้าใจดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ตัวเขานั้นไม่สามารถหลีกหนีได้นานนัก
เขามั่นใจว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็คือการล้างแค้นจากตระกูลฉิน และก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ให้จงได้
ในขณะเดียวกัน อีกฝากฝั่งหนึ่ง นะห้องพักผู้ป่วยแบบเดี่ยว ฉินโชวในตอนนี้ได้นอนอยู่บนเตียงเฉยๆราวกับว่าได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว
ข้างๆเตียงนั้นได้มีหญิงสาวที่ถูกปกคลุมไว้ด้วยบรรยากาศที่เศร้าหมองแบบสุดๆ เธอมีอายุ 37 ปี เธอมองไปที่ฉินโชวด้วยน้ำตาและบรรยากาศที่ขุ่นมัว
ที่ข้างหน้าต่างนั้น มีชายวัยกลางคนอยู่คนหนึ่งที่มีสีหน้าที่น่าขนลุกอยู่บนใบหน้า ชายคนนี้มองไปนอกหน้าต่างอยู่เงียบๆ
ในตอนนี้เอง หญิงวัยกลางคนได้มองไปยังชายวัยกลางคนที่นิ่งเงียบไปก่อนที่จะตะโกนออกมา
“ฉินหมิง ไม่ว่าคุณจะทำยังไงก็ต้องฆ่าเจียงฮ่าวและล้างแค้นให้โชวเอ๋อให้ได้นะ”
ชายวัยกลางคนได้หันมามองยังฉินโชวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
มันคือลูกชายคนเดียวของฉินหมิง แต่ตอนนี้ลูกชายของมันพิการไปแล้ว
“เจียงฮ่าว ไม่ว่าแกจะมีเบื้องหลังยังไงก็ตาม ฉันจะตอบแทนแกอย่างสาสม”
ร่องความอำมหิตได้ฉายออกมาจากใบหน้าของฉินหมิง
เมื่อพูดจบ มันได้เข้าไปมองลูกน้อยใกล้ๆด้วยความอ่อนโยน
“โชวเอ๋อ อย่ากังวลไปเลยนะลูก พักผ่อนเยอะๆจะได้หายเร็วๆ พ่อได้เชิญหมอชื่อดังมาจากต่างประเทศเลยนะ ขาของลูกต้องหายดีอย่างแน่นอน”
“ส่วนเรื่องของเจียงฮ่าวนั้นปล่อยให้พ่อจัดการเอง”
“…”