บทที่ 9 ฝีมือเทพเจ้าโรงครัวเป็นที่ประจักษ์
หลังจากข้อมูลการทำอาหารมากมายได้ไหลบ่าเข้าสู่จิตสำนึกของเจียงฮ่าวแล้ว ในตอนนี้ เจียงฮ่าวได้กลายเป็นสุดยอดพ่อครัวในทันที
ในตอนนั้นเอง เจียงไซหยวนได้เข้ามาในห้องด้วยเช่นกัน เธอเห็นเจียงฮ่าวกำลังจ้องมองเมนูอาหารอยู่
“เจียงฮ่าว… เจอวิธีการทำในตำรารึเปล่า” (น้องดูถูกพี่จนไม่อยากเรียกว่าพี่เลยเรียกชื่อตรงๆแทน)
เจียงฮ่าวได้สติในทันทีที่น้องสาวได้ร้องทักออกมา เขาได้รีบพูดออกมาในทันที
“เจอ…สิเจอ”
เมื่อพูดจบ เขาได้ตรงไปยังครัวโดยที่ถือตำราอยู่ในมือ เจียงไซหยวนเองที่เห็นดังนั้นก็ได้เดินตามไป
“อย่าเข้ามากวนในครัว”
เมื่อพูดจบ เขาได้ปิดประตูใส่หน้าน้องสาวของตนในทันที
เจียงไซหยวนที่โดนปิดประตูใส่หน้าก็ได้โกรธจนทำแก้มป่อง ก่อนที่จะชี้ไปที่ประตู
“เออ เจียงฮ่าว อย่าถึงทีบ้างก็แล้วกัน”
เจียงไซหยวนได้กระทืบเท้าพอเป็นพิธีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไปก็ได้”
ตอนนี้ ภายในครัว เจียงฮ่าวได้เปิดแก๊ซพลางจุดไฟ
จากความรู้ที่มีอยู่ในห้วงจิตสำนึกของเขาในตอนนี้ เขาได้ทำการเทน้ำ ใส่เครื่องปรุง ใส่เนื้อไก่หั่นชิ้น ทุกๆอย่างไหลลื่นอย่างไม่สะดุด
ในตอนนี้เอง ใบหน้าของเจียงฮ่าวได้ดูเคร่งเครียดราวกับเป็นใบหน้าของพ่อครัวมากประสบการณ์
ไม่นานนัก กลิ่นหอมหวลก็ได้ลอยออกมาจากหม้อจนเตะจมูก
เจียงไซหยวนในตอนนี้เมื่อได้กลิ่นก็มีสีหน้าตกตะลึงในทันที อารมณ์ขุ่นมัวของเธอจางหายไปเพียงเพราะได้กลิ่นอาหาร
“กลิ่นหอมจัง นี่ตานั่นทำอาหารได้ดีขนาดนี้โดยทำตามตำราเนี่ยนะ”
เจียงไซหยวนพยายามใช้สมองหาคำตอบแต่ก็นึกไม่ออกจึงได้เดินไปเคาะประตู
“ก๊อก ก๊อก”
“เจียงฮ่าว ทำกับข้าวเสร็จรึยัง”
ในตอนนี้เจียงฮ่าวกำลังลิ้มรสซุปไก่ที่ตัวเองทำ เมื่อชิมเข้าไปแล้วก็ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“โฮ่ ไม่เลวแหะ หอมชะมัดยาด”
“อย่างที่คิดจริงๆ สมกับเป็นทักษะที่แม้แต่พระเจ้ายังยอมซูฮก”
เมื่อได้ยินน้องสาวของตนเคาะประตูและถาม เขาก็ได้ตอบออกไป
“เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว”
หลังจากตะโกนตอบน้องสาวของตน เจียงฮ่าวได้ตักซุปไก่ออกมาสามส่วนและเหลือไว้ในหม้อหนึ่งส่วนสำหรับตัวเอง
หลังจากนั้น เขาได้นึกภาพของเศษเสี้ยวแห่งชีวิตมาถือไว้ในมือ เมื่อเศษเสี้ยวแก่นชีวิตที่เขาได้มาจากต้นไม้ก่อนหน้านี้มาอยู่ในมือ เขาได้ถามระบบว่า
“ระบบ ถ้าฉันเทเศษเสี้ยวแก่นชีวิตนี่ลงในชาม ผลของมันคงจะไม่จางหายใช่รึเปล่า”
เจียงฮ่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเบาๆ
“ไม่เสื่อมสลายแน่นอนนายท่าน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเจียงฮ่าวก็แสดงออกมาถึงความสุข เขาได้เทเศษเสี้ยวแก่นแห่งชีวิตลงไปในชามซุปไก่ที่แบ่งออกมาชามหนึ่งในทันที
ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายแห่งความสดชื่นได้แผ่ออกมาจากชามซุปไก่ชามนั้น
หลังจากวางช้อนลงไปแล้ว เจียงฮ่าวได้นำซุปไก่ที่เติมเศษเสี้ยวแก่นแห่งชีวิตไปไว้ในกล่องอาหารชั้นแรก และอีกสองชามเอาไว้ชั้นบน
หลังจากปิดฝาอย่างดีแล้ว เจียงฮ่าวได้พาเจียงไซหยวนที่กำลังทำหน้างงๆกลับไปยังโรงพยาบาลเทียนเหอ
เขากลับไปยังห้องพักของพ่อเขาอีกครั้งหนึ่ง
“พ่อ ผมทำซุปไก่มาให้ พ่อกับแม่ดื่มก็ดื่มด้วยกันทั้งคู่เนี่ยแหล่ะ”
พ่อแม่ของเจียงห่าวถึงกับทำหน้าฉงนสนเท่ห์
ลูกชายของพวกเขาเนี่ยนะทำซุปไก่
เจียงไซหยวนได้กล่าวออกมายืนยันเพื่อแก้ไขข้อสงสัยนี้
“พ่อ..แม่..เจียงฮ่าวเขาทำตามตำราจนทำออกมาได้กลิ่นหอมขนาดนี้เลยนะ พ่อกับแม่ลองกินดูก่อนแล้วกัน”
แม่ของเจียงฮ่าวที่เห็นลูกสาวสุดที่รักของตนออกมาพูดขนาดนี้จึงไม่อาจที่จะกล่าวทัดทานได้ แต่เมื่อได้ยินลูกสาวตัวเองเรียกชื่อพี่ชายตรงๆ ก็อดที่จะเอือมระอาไม่ได้เช่นเดียวกัน
“เฮ้ เมื่อไหร่จะเรียกฉันว่าพี่ชายสักที เลิกเรียกชื่อฉันได้แล้ว”
เจียงไซหยวนที่ได้ยินก็หันไปมองเจียงฮ่าวด้วยสีหน้าหยามเหยียด
“ไม่มีทาง”
พ่อแม่ของเจียงฮ่าวที่เห็นลูกสาวที่รักพูดออกมาแบบนี้ก็ได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มแหยๆ
เจียงฮ่าวที่ได้ยินก็เลิกคิดที่จะต่อล้อต่อเถียงในทันที เขาได้นำซุปไก่เทใส่ชามโดยไม่แยแสสายตาของน้องสาว เป็นตอนนั้นที่กลิ่นหอมของซุปไก่ได้ลอยออกมาจนหอมฟุ้งไปทั่วห้องพักคนไข้ จนทำให้คนไข้คนอื่นได้กลิ่นและพูดออกมา
“หอมมม จริงๆ”
“ถึงแม้จะได้แค่ดมกลิ่นก็ถือว่าโชคดีแล้วนะเนี่ย”
“นั่นสิ ฉันไม่เคยได้กลิ่นซุปไก่ที่หอมขนาดนี้มาก่อนเลย”
“………………..”
แม้แต่พ่อแม่ของเจียงฮ่าวได้กลิ่นยังต้องตกตะลึง นี่ทำให้พ่อของเขาอดที่จะถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้
“ลูกแค่ทำตามเมนูก็ได้ซุปไก่ที่มีกลิ่นหอมขนาดนี้เนี่ยนะ”
เจียงห่าวได้นำซุปที่มีเศษเสี้ยวแก่นแห่งชีวิตออกมา เขาส่งให้พ่อของตนด้วยรอยยิ้มว่า
“พ่อ ผมแค่ทำตามตำราจริงน่า ลองชิมก่อนก็แล้วกัน”
พ่อของเจียงฮ่าวในตอนนี้ได้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงก่อนที่จะรับชามซุปมาจากเจียงฮ่าว เขาดมซุปในชามไปหนึ่งฟอดใหญ่พร้อมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“อื้มมม หอมดีจริงๆ”