บทที่ 2 การเดินทางไปชุมนุมตระกูลอวิ๋น
บทที่ 2 การเดินทางไปชุมนุมตระกูลอวิ๋น
รุ่งสางวันต่อมา ซวี่รั่วหลิงที่กำลังนอนห่อตัวด้วยผ้าห่มหลับสนิทอยู่บนพื้น โดยมีเสียงรบกวนดังเข้ามาในความฝันอย่างต่อเนื่อง
“ซวี่รั่วหลิง! ซวี่รั่วหลิง!”
“ซวี่รั่วหลิง ยังจะนอนอยู่อีก! ขี้เกียจชนิดนี่หมูก็ยังสู้เจ้าไม่ได้!”
“ยังไม่มาช่วยข้าแต่งตัวอีก?!”
หญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงตะโกนขยี้ตาด้วยความงุนงง จากนั้นถึงถลึงตาจ้องเขม็งไปด้านในห้อง
เจ้าสิที่เป็นหมู!
ซวี่รั่วหลิงข่มความโกรธภายในใจลง ก่อนจะโยนผ้าห่มทิ้งแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ภาพที่เห็นคือลู่หยวนนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง โดยใช้มือข้างหนึ่งเท้ากับเตียง แม้ท่าทีจะดูไม่ทุกข์ร้อน แต่ก็เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความขุ่นเคืองใจแผ่ซ่านออกมาขณะที่ปากยังตะโกนไม่หยุด “สาวใช้ที่ไหนเป็นเช่นเจ้ากัน?! ข้าตื่นมาตั้งนานแล้ว แต่เจ้ากลับยังนอนหลับอุตุอยู่?”
ซวี่รั่วหลิงแอบกัดฟัง ถ้าหากไม่ใช่เพราะตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ นางคงเอากระบี่แทงคนไร้ยางอายตรงหน้านางให้ตายแล้ว
ภายใต้การรับใช้ของซวี่รั่วหลิง ใช้เวลาหมดไปกว่าหนึ่งก้านธูปกว่าลู่หยวนจะแต่งตัวเสร็จ
“เจ้ายังต้องฝึกอีกมาก เจ้าเห็นไหมว่าตัวเองไม่มีความสามารถทางด้านนี้เลย แค่ผ้าคาดยังใช้เวลาตั้งนาน หากไปหาใครสักคนก็ตามมาจากข้างถนนยังทำได้ดีกว่าเจ้า เสียทีที่เป็นถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักสำนักฟ้าประทาน”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์บ้านเจ้าสิที่ไม่ฝึกตน แต่มาฝึกการคาดผ้าให้ผู้อื่น?!
ซวี่รั่วหลิงกัดฟัน สะกดกลั้นความอยากสบถด่ากลับ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ลู่หยวนก็เดินนำหญิงสาวออกจากห้อง
ชายชราที่พบเมื่อคืนกำลังยืนรออยู่ด้านนอกตั้งแต่เช้าตรู่ ทันทีเห็นลู่หยวนออกมาก็รีบทำความเคารพ “คุณชาย!”
“ลุงเฉา เจ้าไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้น”
ชายชราผู้หนึ่งมีนามว่าเฉาหง เป็นองครักษ์ประจำตัวที่บิดาเจ้าของร่างส่งมาให้ลู่หยวน มีขอบเขตการฝึกยุทธ์ถึงขั้นเทียมเทพระดับสูง เทียบกับผู้คนทั่วหล้าแล้วยังนับได้ว่าแข็งแกร่ง
ขั้นการฝึกวรยุทธ์บนโลกใบนี้แบ่งออกเป็น ขั้นฝึกกายา หลอมวิญญาณ จอมยุทธ์ ยอดยุทธ์ราชันยุทธ์ จักรพรรดิยุทธ์ เทียมเซียน เทียมเทพ เซียนยุทธ์ ปรมาจารย์ยุทธ์ จ้าวยุทธ์ อมตยุทธ์ และเทพยุทธ์
แต่ละขั้นแบ่งออกเป็นห้าระดับได้แก่ ระดับรากฐาน ระดับต้น ระดับกลาง ระดับสูง และระดับสมบูรณ์
หลังจากบรรลุระดับเทพยุทธ์แล้ว ก็จะสามารถทะลวงขั้นสู่สวรรค์ ทว่าเมื่อสามแสนปีก่อน แผ่นดินที่ผ่านสมรภูมิอันยิ่งใหญ่นับครั้งไม่ถ้วนได้สูญเสียพลังไปเจ็ดหรือแปดส่วน ทำให้ไม่มีผู้ใดไปได้ถึงขั้นนั้น การทะลวงขั้นสู่สวรรค์จึงกลายเป็นเพียงตำนานเล่าขาน
เฉาหงส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน “คุณชาย ท่านประมุขบอกให้ท่านไปหา”
ประมุขที่พูดถึง คือพ่อราคาถูก*[1] ของเขาเอง
ลู่หยวนยกเท้าก้าวเดินไปยังห้องประชุม โดยมีเฉาหงและซวี่รั่วหลิงเดินตามหลัง
ห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้คนตั้งแต่ก่อนที่ลู่หยวนจะมาถึง ทันทีที่คนเหล่านั้นเห็นเขาเดินเข้ามาก็พากันรีบลุกขึ้นทำความเคารพ
ชายหนุ่มเดินผ่านกลุ่มคนตรงไปยังเก้าอี้นั่งลำดับที่สอง หลังจากนั่งลงด้วยท่าทางสบาย ๆ เขาก็ยกมือโบกให้เหล่าคนที่ลุกขึ้นนั่งลง
ชายที่นั่งยังตำแหน่งแรกของห้องประชุมไม่ได้แสดงความโกรธต่อท่าทางของบุตรศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังแย้มยิ้มออกมาบนใบหน้า
“หยวนเอ๋อร์ มาแล้วหรือ?”
ลู่หยวนพยักหน้า ส่งเสียงตอบรับออกมาหนึ่งคำ เขาทำตัวเหมือนเจ้าของร่างคนเดิม เอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางเฉื่อยชา
ลู่เทียนเหอคุ้นชินกับการถูกลูกชายปฏิบัติตนด้วยอย่างขอไปทีจึงไม่ได้มีน้ำโห แถมยังยิ้มออกมา ก่อนจะเผชิญหน้ากับคนอื่น ๆ ในห้องประชุมด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เริ่มต้นบทสนทนาการประชุมในวันนี้
“ครั้งนี้ตระกูลอวิ๋นเป็นประธานการชุมนุมของตำหนักธารสุญญะแห่งแดนเหนือ หลังจากการประชุมครั้งนี้จะมีการสำรวจซากมังกรสถิต เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อนที่นั่นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมา เกรงว่าจะมีสมบัติลึกลับปรากฏขึ้น หากได้มันมาครอบครอง ก็นับว่าเป็นวาสนา!”
ลู่เทียนเหอชำเลืองมองสมาชิกในตระกูลที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเขา ก่อนกล่าวออกมา “ครั้งนี้ ให้ลู่หยวนเป็นผู้นำในการเดินทางไปชุมนุมยังตระกูลอวิ๋น มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่”
แม้ลู่หยวนจะเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลลู่ ทว่าด้วยขั้นการฝึกวรยุทธ์เพียงขั้นมหาราชันยุทธ์ ก็ทำให้ผู้อาวุโสหลายคนไม่อาจเอาชนะเขาได้ ดังนั้นการที่เขาเดินทางไปในฐานะผู้นำจึงไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
“ในเมื่อไม่ข้อโต้แย้ง เช่นนั้นสำหรับอีกห้าคนที่เหลือ เหล่าผู้อาวุโสมีความคิดเห็นเช่นไร?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา สายตาของทุกคนก็พลันเป็นประกายเฉียบคมขึ้นมา ตำแหน่งที่ว่างห้าคนที่เหลืออยู่คือเป้าหมายของพวกเขาในวันนี้
ผู้อาวุโสใหญ่เปิดประเด็นกล่าวขึ้นมา “ท่านประมุข หลานชายผู้อ่อนหัดของข้าเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นราชันยุทธ์ ไม่ทราบว่าจะสามารถติดตามบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปชุมนุมได้หรือไม่?”
ผู้อาวุโสที่เหลือนิ่งค้างเมื่อได้ยิน บนใบหน้าปรากฏความผิดหวังขึ้นมา
ราชันยุทธ์ ในหมู่รุ่นเยาว์นี่คือระดับการฝึกยุทธ์ที่สูงรองลงมาจากลู่หยวน ดังนั้นประมุขย่อมเห็นชอบด้วยเป็นธรรมดา
สำหรับผู้อาวุโสทุกคนแล้ว ถึงแม้ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขาจะไม่มีความสามารถเท่าคุณชาย ทว่าก็ยังเหลือตำแหน่งไปชุมนุมด้วยอีกห้าที่ แต่ตอนนี้ตำแหน่งหนึ่งโดนผู้อาวุโสใหญ่แย่งชิงไปเรียบร้อย เหลือเพียงสี่ตำแหน่งเท่านั้น ทำให้หลายคนถึงกับถอดใจกับการแย่งชิง
ผู้อาวุโสที่มีระดับการฝึกยุทธ์ขั้นไม่เลวต่างพากันแจ้งชื่อลูกหลาน เพื่อแย่งชิงตำแหน่งที่เหลือ
หลังจากนั้นไม่นาน ตำแหน่งก็เหลือว่างเพียงสองที่ การแย่งชิงกันของผู้อาวุโสยิ่งดุเดือดมากขึ้น เนื่องจากกลัวว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียวจะทำให้บุตรหลานสูญเสียโอกาสอันดีเช่นนี้ไป
แต่ในตอนนั้นเอง ลู่หยวนก็กล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน “สาวใช้ของข้าก็ต้องการหนึ่งตำแหน่งเช่นเดียวกัน”
เสียงนั้นไม่ดัง ทว่ากลับก้องทั่วทั้งห้องประชุม
ผู้อาวุโสที่กำลังแย่งชิงกันอย่างดุเดือดหุบปากลงด้วยความตกใจ พวกเขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ลู่หยวนกล่าวว่าอะไรนะ?
สาวใช้ของเขาต้องการหนึ่งตำแหน่ง?!
ทั้งห้าตำแหน่งที่เขาต้องแย่งชิงกันแทบตาย ตอนนี้กลับต้องมอบมันให้กับสาวใช้เนี่ยนะ?!
ซวี่รั่วหลิงขมวดคิ้ว ในวันนี้ทุกคนในตระกูลลู่มารวมตัวกันก็เพียงเพื่อตำแหน่งหกที่สำหรับเข้าไปยังซากมังกรสถิตเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าสมบัติลับที่ปรากฏขึ้นมาครั้งนี้สามารถสั่นคลอนทั่วทั้งตำหนักธารสุญญะแห่งแดนเหนือได้!
มันมีความสำคัญถึงเพียงนี้ ทว่าลู่หยวนยังต้องการที่จะหาตำแหน่งหนึ่งที่ให้ตนเอง
เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่?
ซวี่รั่วหลิงกัดริมฝีปากของตนเองเบา ๆ ดวงตาที่หลุบลงทอประกายสั่นไหว
ผู้อาวุโสคนหนึ่งประสานมือกล่าวขึ้นมา “ขอบังอาจถามบุตรศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดสาวใช้จึงจำเป็นต้องได้รับตำแหน่งของตระกูลลู่?”
เขาไม่สามารถปล่อยให้คุณชายลู่คว้าตำแหน่งนี้ไปได้ ไม่เช่นนั้น หลานชายของเขาจะไม่มีโอกาสได้รับมัน
ลู่หยวนเหลือบมองไปที่ซวี่รั่วหลิง เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูดออกมา “สาวใช้ของข้าอยู่ในขั้นราชันยุทธ์”
ท่าทางของผู้อาวุโสคนนั้นแข็งทื่อไป คล้ายอยากจะกระอักเลือดขึ้นมา ในขณะที่สาวใช้ของบุตรศักดิ์สิทธิ์อยู่ในระดับราชันยุทธ์ หลานชายผู้น่าผิดหวังของเขากลับเพิ่งก้าวสู่ขั้นจอมยุทธ์ระดับสูง
ทว่าเขายังคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ! หันไปกล่าวกับลู่เทียนเหอ “แต่ไหนแต่ไรตระกูลลู่ไม่เคยเกิดการแบ่งตำแหน่งให้กับสาวใช้! ท่านประมุขโปรดพิจารณาด้วย!”
คุณชายจอมเอาแต่ใจกลอกตา เขาต้องได้ตำแหน่งนี้มา ไม่เช่นนั้น ตอนที่เข้าไปยังซากมังกรสถิต เขาก็ต้องแต่งกายและทำอาหารด้วยตัวเองนะสิ!
ในบรรดาคนที่ได้รับตำแหน่งที่เหลือ ล้วนเป็นเหล่าชายวัยประมาณสามสิบ ลู่หยวนไม่เชื่อว่าพวกเขาเคยมีประสบการณ์ในการรับใช้คนอื่น!
“ท่านพ่อ แม้ตระกูลเราจะไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ ทว่าข้ากลับรู้สึกว่าการเลือกคนจากผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะทำให้ตระกูลลู่ของพวกเราได้รับผลประโยชน์มากที่สุด” ลู่หยวนมองไปทางผู้อาวุโสคนนั้น “จอมยุทธ์และราชันยุทธ์ ความแตกต่างไม่ใช่น้อย ๆ!”
ประมุขลู่เทียนเหอย่อมอยู่ข้างลูกชายเป็นธรรมดา เขาพยักหน้าสนับสนุน “คำพูดของบุตรชายข้าเป็นความจริงอย่างมาก ดังนั้นก็จัดสรรหนึ่งตำแหน่งให้สาวใช้คนนั้นเถอะ”
ผู้อาวุโสคนนั้นไม่กล้าพูดสิ่งใด จึงทำได้แต่ยอมรับและพยายามระงับความโกรธ
ในตอนนั้นเองระบบก็ได้แจ้งขึ้นมาว่า
[อารมณ์ของธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักสำนักฟ้าประทานเกิดความเปลี่ยนแปลง ค่าชะตาของท่านเพิ่มขึ้น 100 แต้ม!]
[1] คำล้อบิดาที่ไม่เอาไหนในสายตาลูก