บทที่ 6 กำราบบุตรแห่งโชคชะตา
บทที่ 6 กำราบบุตรแห่งโชคชะตา
“อัก!”
ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล หมัวเทียนกระอักเลือดออกมา เขาใช้แรงมหาศาลในการบังคับให้ตัวเองเงยหน้าขึ้นมองลู่หยวนซึ่งกำลังเอนกายพิงเบาะที่นั่ง ภายในใจของเขาอัดแน่นด้วยความคับข้องใจ
ทำไม!
ทำไมอาจารย์ถึงหายไป!
แต่ถึงไม่ต้องพึ่งพาอาจารย์ ขอเพียงแค่ให้เวลาข้าอีกสักหน่อย ข้าจะต้องสามารถเหยียบบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งตระกูลลู่เอาไว้ใต้เท้าได้แน่!
ขอเพียงแค่ให้เวลาข้าอีกสักหน่อย!
ลู่หยวนเอนตัวพิงอย่างเกียจคร้าน ดวงตาหลุบมองลง ภายในใจเต็มไปด้วยความดูแคลน
โชคดีที่มันยังเป็นบุตรแห่งโชคชะตา มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยเช่นนี้ มันคงนอนตายอยู่ข้างถนนไปนานแล้ว
คิดว่าตนมีที่พึ่ง แล้วจะอยู่เหนือผู้ใดได้
ช่างโง่เขลาเหลือเกิน!
ซวี่รั่วหลิงที่ยืนอยู่ด้านข้างลู่หยวนเห็นใบหน้าของศิษย์น้องซีดเซียว พลันดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ ขณะที่พลังของกระบี่เมฆายังคงไม่หยุดยั้ง ความวิตกกังวลก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหมัวเทียนจะต้องทิ้งชีวิตของตนเอาไว้ที่นี่!
“คุณชาย”
ซวี่รั่วหลิงเปิดปากขึ้นมา “คุณชายโปรดไว้ชีวิตศิษย์น้องหมัวเทียนด้วย! เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะข้า หากคุณชายจะลงโทษ ข้าก็จะเป็นผู้รับโทษทั้งหมดเอาไว้เอง ได้โปรดไว้ชีวิตเขาด้วย!”
ลู่หยวนแสร้งทำเป็นหูหนวก ดวงตายังคงจับจ้องไปทางชายที่อยู่กลางห้องโถง
พลังกดดันยิ่งเพิ่มระดับมากขึ้น ดวงหน้าของหมัวเทียนชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เลือดมากมายทะลักออกจากปาก
ดวงตาของซวี่รั่วหลิงแดงก่ำด้วยความวิตก ขณะที่นางกำลังจะคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนให้หมัวเทียน ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องออกมาจากความว่างเปล่า “คุณชาย โปรดเห็นแก่หน้าข้าด้วย!”
ชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขั้นกลางอากาศ หลังจากขาของเขาร่อนลงเหยียบพื้นก็ประสานมือคารวะ “ผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักฟ้าประทาน ฉีเฟิง ขอคำนับคุณชาย!”
สีหน้าของลู่หยวนเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็ง ทำให้มองไม่เห็นอารมณ์ที่แท้จริง
แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชายที่ชื่อฉีเฟิงผู้นี้ แต่สังเกตจากระดับการฝึกยุทธ์ที่อยู่ในครึ่งก้าวสู่ขั้นเทียมเซียน รวมถึงอายุแล้ว ก็คงจะเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักฟ้าประทาน
“สำนักฟ้าประทาน? ในการประชุมวันนี้เหตุใดจึงมีผู้อาวุโสจากสำนักฟ้าประทานเข้าร่วมด้วย?”
แม้ว่าลู่หยวนจะไม่รู้จักคนผู้นี้ ทว่าซวี่รั่วหลิงที่อยู่ข้าง ๆ เขานั้นรู้จักเป็นอย่างดี
คนผู้นี้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักฟ้าประทาน เป็นที่นับหน้าถือตาภายในสำนัก แม้จะไม่ใช่อาจารย์โดยตรงของซวี่รั่วหลิง แต่ก็เคยชี้แนะเพลงกระบี่ให้นาง ดังนั้นจะนับว่าเป็นอาจารย์กลาย ๆ ก็ว่าได้
ทำให้ยามที่นางเห็นฉีเฟิงดวงตาก็พลันแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย หวังให้ฉีเฟิงช่วงนางด้วยเช่นกัน
ทว่าฉีเฟิงไม่ได้มองมาทางซวี่รั่วหลิงแม้แต่น้อย เขาทำเพียงแค่ยกมือขึ้นเป็นเชิงจำยอมพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “คุณชายล้อเล่นแล้ว ที่คนชราอย่างข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อขอร้องให้คุณชายเมตตาปล่อยหมัวเทียนไป”
แม้ฉีเฟิงจะกำลังขอร้องความเมตตาให้กับหมัวเทียน ทว่าภายในใจของเขากำลังดุด่าบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วโคตรของหมัวเทียน
ไอ้เดรัจฉานตัวน้อยนี่! จะไปมีเรื่องกับใครก็แล้วไป แต่ทำไมต้องเป็นลู่หยวน?!
ด้วยพลังและอำนาจในมือของเขาแล้ว เพียงแค่หายใจก็สามารถบดขยี้เจ้าได้!
ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอง!
เพียงแค่ละสายออกไปซื้อสุราดี ๆ มาสักไห เจ้าเด็กนี้กลับก่อเรื่องใหญ่โตถึงปานนี้!
หากไม่ใช่เพราะประมุขเห็นแววในตัวเด็กนี่ มีหรือเขาจะต้องมาตามปกป้อง ทั้งยังต้องเสียหน้าร้องขอความเมตตาให้มัน!
ลู่หยวนย่อมสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของซวี่รั่วหลิง เขาเอียงคอเล็กน้อยพร้อมยิ้มเย้ยหยัน “ขอร้อง? เจ้าอาศัยสิ่งใดมาขอร้อง?”
ใบหน้าของฉีเฟิงนิ่งค้าง เขาตระหนักได้ในทันทีว่าหากต้องการจะช่วยหมัวเทียนออกจากเงื้อมมือของลู่หยวน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่จ่ายสิ่งใด
เขากัดฟันก่อนหยิบม้วนคัมภีร์ออกมา “คุณชาย ชายชราผู้นี้เคยพบคัมภีร์ค่ายกลระดับราชันโดยบังเอิญ ได้ยินมาว่าคุณชายเก่งกาจด้านการใช้อักขระค่ายกล จึงได้หาโอกาสมอบให้ท่านมาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้จึงได้โอกาสอันดี”
ลู่หยวนกระดิกนิ้วเรียกคัมภีร์ให้ลอยเข้าไปอยู่ในมือ เมื่อเขาเปิดออกดูก็พบว่าเป็นวิชาระดับราชันจริง
ในแผ่นดินหยวนหง วิชายุทธ์ถูกแบ่งออกเป็นแปดระดับได้แก่ ทอง นิล ดิน ฟ้า ราชัน จักรพรรดิ ศักดิ์สิทธิ์ และสวรรค์
วิชายุทธ์ระดับศักดิ์สิทธิ์และสวรรค์นั้นไม่ได้ปรากฏยังดินแดนแห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แม้กระทั่งตระกูลลู่ก็ยังมีคัมภีร์ระดับจักรพรรดิอยู่เพียงสามม้วน และระดับราชันมีเพียงสิบกว่าม้วน
ขนาดตระกูลลู่ยังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงสำนักฟ้าประทานเลย คัมภีร์ระดับราชันน่าจะนับว่าหายากเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าทั้งสำนักคงมีไม่ถึงสามม้วน
ของล้ำค่าสำหรับพวกเขาเช่นนี้ เพียงเพื่อแลกตัวของหมัวเทียนกลับไป ก็นับได้ว่าทุ่มทุนเป็นอย่างมาก
สมกับเป็นบุตรแห่งโชคชะตา ตกต่ำถึงเพียงนี้ก็ยังมีผู้มาให้ความช่วยเหลือ
ลู่หยวนถือคัมภีร์ระดับราชันเอาไว้ในมือ คิ้วเลิกขึ้นขณะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงติดยียวน “แค่คัมภีร์ระดับราชันหนึ่งม้วน คิดจะใช้แลกตัวคนจากเงื้อมมือข้าหรือ?”
ใบหน้าของฉีเฟิงนิ่งค้างไป เขานึกว่าคัมถีร์ระดับราชันน่าจะเพียงพอต่อการแลกตัวหมัวเทียน แต่ตอนนี้เกรงว่าเขาต้องนำของออกมาเพิ่ม
ผู้อาวุโสกัดฟันก่อนจะนำเศษผ้าออกมาชิ้นหนึ่งแล้วมอบให้ลู่หยวน “คุณชาย เศษภาพชิ้นนี้ข้าได้รับมันมาเมื่อหลายสิบปีก่อนจากดินแดนเร้นลับแห่งหนึ่ง วันนี้ขอมอบให้ท่านแล้ว!”
เขาได้รับเศษภาพชิ้นนี้มานานหลายปีแล้ว แม้จะรู้ว่าสิ่งที่บันทึกภายในนี้จะต้องล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ทว่าถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่อาจกระจ่างแจ้งถึงสิ่งที่อยู่ในเศษภาพ หากส่งมอบมันออกไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายมากมาย กระทั่งเขายังไม่พบสิ่งใด ลู่หยวนเองก็คงจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน!
ลู่หยวนยกมือขึ้น เศษภาพลอยเข้ามาอยู่ในมือเขา
“ระบบ ตรวจสอบที”
[ระบบกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ โปรดรอสักครู่]
ขณะที่ฉีเฟิงยังคงพูดต่อ “หมัวเทียนผู้นี้เป็นเพียงเด็กผยองไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ข้าต้องขอกล่าวอภัยแทนหมัวเทียนที่ทำให้ท่านโกรธ คุณชายโปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
[ตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว!]
[เศษภาพบันทึกเนื้อหาเกี่ยวกับอาวุธเทพระดับศักดิ์สิทธิ์ กระบี่มารแปดแดนร้าง! ระบบแนะนำให้ท่านรวบรวมเศษภาพที่เหลือทั้งสี่เพื่อให้ได้รับตำแหน่งของกระบี่มารแปดแดนร้างอย่างแม่นยำ!]
มุมปากของลู่หยวนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว อาวุธวิเศษขั้นศักดิ์สิทธิ์ นี่คืออาวุธวิเศษขั้นศักดิ์สิทธิ์!
อาวุธวิเศษของแผ่นดินหยวนหงนั้นก็เหมือนอาคมวิชายุทธ์ถูกแบ่งออกเป็นแปดระดับเหมือนกัน อาวุธวิเศษระดับสวรรค์และศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้ปรากฏให้พบเห็นในดินแดนเป็นเวลานาน แม้กระทั่งตระกูลลู่ยังมีเพียงแค่ตั้งแต่ระดับจักรพรรดิลงมา
เศษภาพนี้ช่างลำค่าเป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของลู่หยวน ฉีเฟิงก็รีบตีเหล็กตอนร้อน “คุณชาย สำหรับท่านแล้วหมัวเทียนก็ไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกตัวหนึ่ง คุณชายได้โปรดเมตตา สำนักฟ้าประทานไม่ปรากฏต้นกล้าชั้นดีมาเป็นเวลานานแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตเขาด้วยเถิด หลังจากที่กลับไปแล้วข้าจะสั่งสอนเขาให้นอบน้อมต่อคุณชายเป็นอย่างดี!”
ลู่หยวนหัวเราะเย้ยอยู่ในใจ นอบน้อมต่อเขางั้นหรือ?
บุตรแห่งโชคชะตาจะยอมเป็นเบี้ยล่างผู้อื่นได้นานเท่าไหร่กันเชียว?
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เขายังไม่สามารถฆ่าหมัวเทียนได้ เนื่องจากค่าชะตายังคงไม่ถูกดึงออกมา
เมื่อได้สิ่งของมาประมาณหนึ่งแล้ว เขาจึงยอมปล่อยตัวหมัวเทียนไป
“โอ้ บังเอิญวันนี้ข้าอารมณ์ดี จึงจะปล่อยเขาไปสักครา หากเกิดเรื่องขึ้นอีกครั้ง ทั้งสำนักฟ้าประทานอย่าหวังว่าจะมีผู้ใดรอดพ้น!”
ฉีเฟิงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพียงลู่หยวนกระดิกนิ้ว กระบี่เมฆาบนท้องนภาก็สลายไปทันที พลังกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็เลือนหายไปเช่นเดียวกัน
หมัวเทียนที่เพิ่งกลับมาหายใจได้สะดวกนอนหอบอย่างหนักอยู่บนพื้น เขาเงยหน้าจ้องเขม็งไปทางลู่หยวนด้วยความแค้นที่สุมอยู่ในอก
ตระกูลลู่! พวกเจ้ารอก่อนเถอะ!
ความอัปยศในวันนี้ เขาจะตอบแทนคืนเป็นร้อยเท่าในวันหน้า
เมื่อเห็นว่าลู่หยวนยอมปล่อยคนไป ฉีเฟิงจึงโล่งใจ
“ขอบคุณคุณชายเป็นอย่างยิ่ง ชายชราผู้นี้ไม่ขอรบกวนคุณชายต่อแล้ว”
พูดจบฉีเฟิงก็ใช้แขนข้างหนึ่งยกอีกฝ่ายขึ้นพาดบ่า ทางด้านหมัวเทียนที่เห็นว่าซวี่รั่วหลิงยังอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลลู่ก็ต้องการจะให้ฉีเฟิงช่วยออกหน้า ทว่าฉีเฟิงกลับเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว ชิงปิดปากหมัวเทียนไปเสียก่อน
เห็นดังนั้นแล้ว สีหน้าของซวี่รั่วหลิงก็ซีดลงเล็กน้อย ฟันของนางขบเข้ากับริมฝีปากล่าง มือสองข้างกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
เมื่อเห็นฉีเฟิงเดินจากไปไกลพร้อมกับหมัวเทียน ซวี่รั่วหลิงก็แย้มยิ้มออกมาอย่างเงียบงัน
เหตุใดนางถึงคาดหวังให้ใครสักคนมาช่วยนางกัน
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา สำนักฟ้าประทานยังไม่เอ่ยวาจาใดออกมาสักคำ ในวันนี้จะออกหน้าช่วยเหลือนางได้อย่างไร
เทียบกับหมัวเทียนที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์แล้ว ตัวนางจะมีค่าพอให้สำนักฟ้าประทานคว้านเนื้อตัวเองมาแลกได้อย่างไร
ระบบแจ้งเตือนว่าอารมณ์ของซวี่รั่วหลิงเกิดการเปลี่ยนแปลง ค่าชะตาวายร้ายของท่านเพิ่มขึ้น 400 แต้ม!
จำนวนค่าชะตาวายร้ายในปัจจุบันคือ 700 แต้ม!
ลู่หยวนเห็นท่าทางของซวี่รั่วหลิงแล้วก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คาดว่าเขาจะได้รับค่าชะตาวายร้ายจำนวนมากขนาดนี้
ดูเหมือนว่า ของเพียงแค่ซวี่รั่วหลิงรู้สึกผิดหวังกับสำนักมากเท่าไร เขาก็ยิ่งจะได้รับค่าชะตามากตาม!
คู่สนทนากลอกตาครุ่นคิด
“ช้าก่อน” ลู่หยวนเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ฉีเฟิงแอบสะดุ้งแล้วหยุดเดิน ชายหนุ่มเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาหรือ? ไม่ใช่ว่าต้องการจะกลับคำพูดของตนหรอกกระมัง?
ฉีเฟิงแย้มยิ้มพินอบพิเทาพร้อมกับหันมากล่าว “คุณชายต้องการอะไรหรือ?”