บทที่ 108 สมคบคิด (ต้น)
บทที่ 108 สมคบคิด (ต้น)
ฉินอี่หานพยักหน้า ก่อนจากไป…
หลังกลับมาถึงห้องพักแล้ว นางก็ตรงไปที่ห้องโถงใหญ่ ลู่หยวนนอนอยู่บนเตียง และยังคงมีท่าทีเกียจคร้าน
หลังจากได้ยินเสียง บุตรศักดิ์สิทธิ์เพียงชำเลืองมอง “แสดงว่าหลี่เจียงหนานถึงกับคิดจะร่วมมือกับเจ้าเพื่อฆ่าข้า ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าควรพูดอย่างไรดี”
ผู้ฝึกกระบี่หญิงไม่ปฏิเสธ เพียงแค่รินชาให้ตัวเองแล้วดื่มเข้าไป
ลู่หยวนถามอีกครั้งว่า “วันนี้ที่เจ้าดูเหม่อลอย เป็นเพราะลวดลายผ้าปักของเขาสินะ ลวดลายนั่นคืออะไร แล้วคนที่ชื่ออวี้เฟิงเป็นใคร?”
ฉินอี่หานวางถ้วยชาลง “ลวดลายนั่นเป็นของลูกน้องข้าในกองกำลังทมิฬ มันคือตราลับของข้าราชบริพารที่ปกป้องข้าจากราชวงศ์อู๋ซวง”
“ตั้งแต่ข้าเข้าสำนักอักขระสวรรค์ ก็ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาอีกเลย พวกเขาลอบสั่งสมกำลังเพื่อจะกลับสู่ราชวงศ์อู๋ซวงในอนาคตเช่นกัน ลวดลายนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน แต่ข้าก็ไม่เคยพบผู้ที่ครอบครองมันอีกเลย วันนี้ข้าได้เห็นลวดลายนั่น จึงคิดว่ากองกำลังทมิฬมีเรื่องสำคัญจะติดต่อข้า แต่กลายเป็นว่ามันคือสิ่งที่หลี่เจียงหนานเอามาหลอกลวงเท่านั้น”
“ส่วนอวี้เฟิงเป็นสมาชิกของกองกำลังทมิฬ แต่เขาถูกอาของข้าพบเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ท่านเพิ่งไปเมืองอี้หนิง ศัตรูจึงพาตัวอวี้เฟิงไป แล้วเอาชื่อของท่านมาอ้าง”
ลู่หยวนส่งเสียงตอบรับ
นางนิ่งคิดพักหนึ่ง พร้อมมุมปากยกขึ้น “หากหลี่เจียงหนานโน้มน้าวตระกูลเสิ่นได้ ท่านต้องขอบคุณข้าด้วยซ้ำ เพราะคนพวกนี้เป็น ‘ของดี’ หากท่านกลืนกินคนพวกนี้เข้าไป อาจจะทำให้ก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเซียนได้ทันที!”
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาหรือ”
ลู่หยวนนิ่งไป จากนั้นลืมตาขึ้น “ข้าหวังว่าสุนัขเฒ่าเสิ่นฉงจะออกโรงด้วยตัวเอง เขามีกระบี่ฟ้าประทานอยู่ในร่างกาย หากสามารถกลืนกินสิ่งนั้นเข้าไปได้ เช่นนั้นก็จะได้เรียนรู้วิถีกระบี่ สำหรับข้า มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น”
“รออีกสักพัก แล้วดูว่าหลี่เจียงหนานจะสามารถโน้มน้าวสุนัขเฒ่าเสิ่นได้หรือไม่”
ฉินอี่หานพยักหน้า จากนั้นพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามว่า “แต่ว่าหลี่เจียงหนานถึงกับทราบเรื่องที่ท่านช่วยเหิงอีเจี้ยนเอาไว้ แถมทราบเรื่องที่ท่านรู้จักกับเซียวเทียนอีก ให้ส่งคนไปตรวจสอบเขาดีหรือไม่”
นี่ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับลู่หยวน หากไม่ใช่คนสนิทย่อมไม่มีทางทราบ!
ลู่หยวนส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วง ทุกคนรอบกายข้าบริสุทธิ์ สิ่งที่เขากล่าวล้วนเป็นเพียงการคาดเดาทั้งสิ้น”
“ยันต์ที่ใช้ช่วยเหิงอีเจี้ยนซับซ้อนยิ่ง ทั่วทั้งแผ่นดิน มีเพียงสำนักอักขระสวรรค์เท่านั้นที่ครอบครองได้ ขอเพียงสุนัขเฒ่าเสิ่นมีสมองพอ ย่อมต้องคาดเดาได้ว่ามาจากข้าอย่างแน่นอน”
“แต่ต่อให้จะคาดเดาได้ ก็มีแต่ต้องปฏิเสธความคิดของตัวเอง ถึงอย่างไรในสายตาของเขา มันไม่มีเหตุผลนักที่ข้าจะช่วยเหิงอีเจี้ยน”
“ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเซียวเทียนนั้นก็เป็นเพียงการคาดเดาของหลี่เจียงหนาน เพื่อให้เรื่องราวสมเหตุสมผลก็เท่านั้น” ระหว่างที่พูด เส้นโค้งบนเรียวปากของชายหนุ่มก็เริ่มฉีกกว้าง
“ดีแล้วที่เขาคิดเช่นนั้น ข้าหวังว่าเขาจะคิดให้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่ตระกูลเสิ่นจะได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงตอนนั้น สุนัขเฒ่าเสิ่นจะต้องออกมาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ดวงตาของลู่หยวนพลันทอประกายด้วยความกระตือรือร้น “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะตระเตรียมสักหนึ่งถึงสองอย่าง เพื่อโหมให้เปลวไฟนี้ลุกโชนมากยิ่งขึ้น!”
ตกกลางดึก เสิ่นหุนเพิ่งฟังรายงานของสมาชิกตระกูลเสิ่นเกี่ยวกับสิ่งที่เสิ่นโตวทำในวันนี้จบ แววตาของเขาเคลือบไปด้วยรอยยิ้ม
เสิ่นโตวผู้นี้ช่างรนหาที่ตายอย่างแท้จริง!
ไม่เพียงแค่มอบกระบี่หงส์ทองระดับจักรพรรดิให้เท่านั้น แต่ยังเสียหอกพันมังกรเก้าสวรรค์อีกด้วย!
ตระกูลเสิ่นเสียอาวุธระดับจักรพรรดิไปสองชิ้นติดต่อกัน หากบรรพชนทราบเรื่องเข้า ดูซิว่าเสิ่นโตวจะอธิบายว่าอย่างไร!
เมื่อผู้รักษาการแทนกำลังจัดการสิ่งเหล่านี้เพื่อนำเสนอให้กับบรรพชน เสียงของข้ารับใช้ก็ดังมาจากนอกประตู “นายท่าน คุณชายตระกูลหลี่มาขอเข้าพบ”
ตระกูลหลี่?
ตระกูลหลี่กับตระกูลเสิ่นไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากนัก คนที่มีสายสัมพันธ์กับเขายิ่งแล้วใหญ่ ตอนนี้พวกเขามาเข้าพบช่วงกลางดึก มีเหตุผลอันใดกัน
“ให้เขาเข้ามา”
ข้ารับใช้ตอบรับ ผ่านไปสักพัก ประตูห้องโถงก็เปิดออก หลี่เจียงหนานสาวเท้าเข้ามาพร้อมแววตามุ่งมั่น
เอี๊ยด…
ประตูห้องโถงปิดลง มีเพียงหลี่เจียงหนานและเสิ่นหุนเท่านั้นที่อยู่ในห้องโถงใหญ่
ผู้รักษาการแทนผู้นำตระกูลเสิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเงียบงัน กล่าวอย่างสุภาพว่า “หลานชายหลี่นั่งลงก่อนสิ”
ผู้มาเยือนส่ายหน้า น้ำเสียงมั่นคงและเด็ดขาด “หลานชายมาที่นี่ในวันนี้ เพียงเพื่อจะถามท่านอาหนึ่งเรื่อง ท่านอาอยากเป็นผู้นำตระกูลเสิ่นที่แท้จริงหรือไม่?!”
รอยยิ้มที่เดิมสุภาพบนใบหน้าของคนฟังแข็งทื่อทันที ผ่านไปหนึ่งอึดใจ สีหน้าตึงเครียดของเสิ่นหุนค่อยคลายลง “หลานชายพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ?”
หลี่เจียงหนานก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าว ยืนอยู่ตรงหน้าคู่สนทนา “ท่านอาเสิ่น ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะต้องการสมคบคิดทำการใหญ่กับท่าน ข้ารู้ความทะเยอทะยานของท่าน ในตอนนั้นท่านอาเสิ่นเกิดมาพร้อมชีพจรกระบี่ เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เคยกวัดแกว่งกระบี่ไปทั่วหล้า สังหารผู้กล้าท้าสวรรค์นับไม่ถ้วน ใครในแดนเหนือจะไม่ล่วงรู้ว่าตระกูลเสิ่นให้กำเนิดปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมา?”
“แต่ตอนนี้ ท่านอาเสิ่น ท่านลืมไปแล้วหรือว่าทำไมตนเองถึงเสียชีพจรกระบี่ไป”
“ท่านทนดูตำแหน่งที่เดิมเป็นของท่านตกไปอยู่ในมือผู้อื่นตลอดชั่วชีวิตที่เหลือได้หรือ!?”
“หากชีพจรกระบี่ของท่านอาเสิ่นไม่หายไป คงได้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดปรมาจารย์กระบี่ในแผ่นดินหยวนหงไปแล้ว จะไม่มีหลักแหล่งอยู่ในตระกูล เซ่นไหว้บรรพชนเพียงเพื่อแสวงหาตำแหน่งผู้นำเล็ก ๆ ทางแดนเหนือด้วยสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ทุกคำพูดของหลี่เจียงหนานเหมือนกับลิ่มเหล็ก ตอกทะลวงเข้าหัวใจจนถึงแก่น
ทุกสิ่งในอดีตยังคงพรั่งพรูอยู่ในอก
ในตอนนั้น เขาคือคนที่มีพรสวรรค์ เป็นความหวังของตระกูลเสิ่น ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างมองว่าเขาเป็นดั่งปรมาจารย์กระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยพรสวรรค์ของเขา การจะก้าวเข้าสู่สิบสุดยอดในโลกเมื่อไรก็อยู่ที่เวลาเท่านั้น!
แต่ในวันนั้น เสิ่นโตวพาเขาไปเขตแดนลับ สัตว์อสูรทรงพลังจำนวนมากเข้าโจมตีพร้อมกัน ทำให้แพ้พ่าย ก่อนถูกกัดทั้งเป็นจนหมดสติไป
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง …เขาก็เสียชีพจรกระบี่ไปแล้ว
เมื่อบรรพชนผู้คาดหวังเอาไว้มากทราบว่าชีพจรกระบี่ของเขาได้รับความเสียหาย ก็ไม่ได้มองเขาด้วยสายตาเปี่ยมความกระตือรือร้น ความถวิลหา หรือความหวังเหมือนเดิมอีกต่อไป มีเพียงความเฉยชาราวกับคนแปลกหน้าเท่านั้น
นับแต่นั้นมา สายตาเย้ยหยันของผู้คนนับไม่ถ้วนได้กลบฝังเขาเอาไว้ทั้งเป็น
ในที่สุดฉายาปรมาจารย์กระบี่หนุ่มก็กลายเป็นเรื่องตลก ตำแหน่งผู้นำตระกูลหนุ่มที่เคยมั่นใจว่าจะได้มาอย่างง่ายดาย หลุดมือไปเช่นกัน
เสิ่นหุนลอบสาบานกับตนเอง… ว่าสักวันเขาจะทวงทุกสิ่งกลับคืนมา!
ตำแหน่งผู้นำตระกูลเสิ่นจะต้องเป็นของเขา!
ชีวิตของเสิ่นโตวก็ต้องเป็นของเขาเช่นกัน!
มีจิตสังหารในดวงตาของเสิ่นหุน จากนั้นมันก็แผ่แรงกดดันออกมาทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น แรงกดดันก็ปกคลุมทั่วทั้งห้องโถงใหญ่
“หลี่เจียงหนาน เจ้าพูดแบบนี้ต้องการอะไร?”
น้ำเสียงของผู้รักษาการแทนทั้งต่ำและเย็นชา ราวกับกระบี่คมปลาบกำลังทิ่มแทงใส่ผู้มาเยือน แรงกระแทกไร้พรมแดนกดทับลงมาทันที
หลี่เจียงหนานเค้นการบ่มเพาะทั้งหมดออกมา จึงทำให้ลุกขึ้นยืนหยัดได้ ไม่ช้าแผ่นหลังของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น