บทที่ 111 ลอบพบเสิ่นโตว (ปลาย)
บทที่ 111 ลอบพบเสิ่นโตว (ปลาย)
หลังออกจากคุกใต้ดินแล้ว ลู่หยวนจงใจเปิดเผยกลิ่นอายออกมา ทำให้กลุ่มผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นที่นิ่งเฉยอยู่ด้านข้างทราบว่าเขาออกมาแล้ว
ร่างของเขาวูบไหว ก่อนกลับไปที่พำนัก
ในห้องโถงใหญ่ เทียนเม่ยเอ๋อร์กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงมานานจนส่งเสียงกรน ส่วนผู้ฝึกกระบี่หญิงกำลังคลึงคอขนปุยหิมะด้วยมือหยก ระหว่างรอคอยให้ลู่หยวนกลับมา
เมื่อร่างของชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้องโถง ฉินอี่หานพลันยิ้มออกมา นางรินชาให้เขา “นายท่านเชิญดื่มชาก่อน ช่างพยายามอย่างหนักเหลือเกิน”
บุตรศักดิ์สิทธิ์หรี่ตามองฉินอี่หาน ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่านางจะไม่มีวันทรยศเขา ด้วยการกระทำอันขยันขันแข็งของอีกฝ่าย ชายหนุ่มแทบจะเชื่อในทันทีว่าชาถ้วยนี้มีพิษอย่างแน่นอน!
“อะไรหรือ” ศิษย์พี่ถามหน้าซื่อ
ลู่หยวนขมวดคิ้ว ขณะรับชามาดื่ม
ฉินอี่หานมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาทอประกายราวกับดวงดาว “นายท่านคิดถูกทุกอย่าง”
“เมื่อครู่หลี่เจียงหนานบอกข้าว่า พวกเขาทำข้อตกลงกันเรียบร้อย ดังนั้นข้าจึงปกปิดกลิ่นอายก่อนไปหาเขาอีกครั้ง คุณชายหลี่เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ข้าฟัง ที่ท่านคาดเดามาถูกต้อง!”
“แม้ในท้ายที่สุด เสิ่นหุนจะทำเพียงส่งผู้อาวุโสไปจับตาดูตอนที่ท่านออกมา แต่ไม่มีการแอบฟังบทสนทนาแต่อย่างใด แต่ที่สันนิษฐานไว้กลับแม่นยำยิ่งนัก ทำได้อย่างไรกัน?!”
ฉินอี่หานเคยเห็นอัจฉริยะมาหลายหลาก อย่างเช่นกองกำลังยอดเยี่ยม ผู้มีพรสวรรค์ใกล้เคียงกับปีศาจ พวกเขามีอยู่ทุกหนแห่ง
แต่คนอย่างลู่หยวนผู้สามารถทะลวงจิตใจได้ นางไม่เคยพบเจอมาก่อน!
ฉินอี่หานสัมผัสได้เลือนรางว่าศิษย์น้องคนนี้เปลี่ยนไป ในช่วงหลายปีที่นางอยู่ในยอดเขาบาปสวรรค์ เขาคล้ายกับเป็นคนละคน
คุณชายลู่แห่งตำหนักธารสุญญะคนเก่าไม่รู้วิธีพลิกแพลงเช่นนี้ เขารู้เพียงแค่ว่า ใครก็ตามที่มาหาเรื่อง จะต้องโดนอัดจนยับ! หากหมัดเดียวไม่พอ ก็ต้องโดนร้อยหมัด!
แต่อย่างที่เป็นตอนนี้ มันสุดจะคาดเดานัก! คนเราสามารถคาดเดาได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้เชียวหรือ?!
ลู่หยวนยิ้ม ก่อนวางถ้วยชาลง “แค่เพราะเรื่องนี้หรือ?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่ทุกคนเป็นเพียงคนฉลาด พวกเขาล้วนคิดถึงผลประโยชน์สูงสุดก็เท่านั้น ขอเพียงพวกเขายืนหยัดบนจุดยืนของตัวเอง ไม่ว่าใครมองมา …ย่อมต้องคาดเดาได้ว่าพวกเขาทำอะไรอย่างแน่นอน”
ผู้ฝึกกระบี่หญิงพยักหน้า สิ่งที่เขาพูดมาเป็นความจริง
“ที่จริงแล้ว หลี่เจียงหนานพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนเลย หาไม่แล้วคงไม่โน้มน้าวเสิ่นหุนได้ไวขนาดนี้ เขาต้องเข้าใจทั้งความเจ็บปวดและความหวังของเสิ่นหุนเป็นแน่”
ลู่หยวนค่อนข้างชื่นชมกับวิธีการ แผนการและคารมคมคายของคุณชายหลี่ มันนับว่าหาได้ยากนัก
หากเขาไม่ได้ยืนยันกับระบบซ้ำ อาจคิดว่าหลี่เจียงหนานคือบุตรแห่งโชคชะตา จนทำให้ตนเผยจิตสังหารออกมาก็เป็นได้
คนเช่นนี้หากยังมีวาสนาอยู่ย่อมได้รับการปกป้องจากสวรรค์ เช่นนั้นตัวตนดังกล่าวจะทำให้รู้สึกเป็นปัญหา
โชคดีที่หลี่เจียงหนานเป็นเพียงคนธรรมดา หากลู่หยวนอยากฆ่าทิ้งก็ย่อมสามารถทุบตีให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาไม่รีบร้อนลงมือฆ่า เพราะอีกฝ่ายยังมีประโยชน์อยู่
พ่อคนฉลาดนั่นคงคาดไม่ถึง… ว่าความหวังที่ตนค้นพบหลังจากค้นหามาเนิ่นนาน จะเป็นผู้จงรักภักดีต่อศัตรูคู่อาฆาต!
บุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอ่อน ก่อนจะลุกขึ้นอ้าแขนเบื้องหน้าศิษย์พี่
ฉินอี่หานผงะ ก่อนจะถามทันทีว่า “อะไร?”
ลู่หยวนกลอกตา “เปลื้องผ้าข้าเสีย งงอะไร?! ข้าง่วงแล้ว อยากนอน!”
ผู้ฝึกกระบี่หญิงเม้มริมฝีปาก ทำการเปลื้องผ้าชายหนุ่มด้วยความไม่เต็มใจ สีหน้านิ่งเฉยราวกับบุรุษ แต่ฝีมือของนางช่ำชองไม่เลว
ลู่หยวนพึมพำว่า “เจ้าดีกว่าซวี่รั่วหลิงเสียอีก ข้าจะให้เจ้าทำหน้าที่เปลื้องผ้าในอนาคตเอง”
ก่อนฉินอี่หานจะทันได้ถามว่าซวี่รั่วหลิงคือใคร ศิษย์น้องก็กลิ้งขึ้นเตียง สวมกอดเทียนเม่ยเอ๋อร์แล้วผล็อยหลับไป
เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปสองวัน ในช่วงเวลานี้ลู่หยวนไม่ได้ออกมา เอาแต่อยู่ในที่พำนักเพื่อทำการฝึกฝน
ส่วนตระกูลเสิ่นนำเสนออาวุธตามที่สัญญาเอาไว้ ชายหนุ่มเพียงชำเลืองมอง จากนั้นส่งอาวุธให้ผู้อาวุโสสำนักอักขระสวรรค์ ขอให้เขานำกลับไปสำนักอักขระสวรรค์ เพื่อมอบให้ศิษย์คนอื่นอย่างราบเรียบ
ของพวกนี้นับว่าเสียเวลาสำหรับเขา แต่กับสำนักอักขระสวรรค์ เกรงว่าศิษย์หลายคนจะต้องดูแลรักษามันเป็นอย่างดียิ่ง
ในที่พำนัก ไป๋ชิวเอ๋อร์และฉินอี่หานถือกระบี่ประจันหน้ากัน ทั้งสองเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยปราณกระบี่อันน่าตกตะลึง ปราณกระบี่ปกคลุมทั่วท้องนภา พวกนางต่อสู้กันทันที
ลู่หยวนนอนบนเก้าอี้ไม้โบราณอย่างเกียจคร้าน มองสาวงามไร้ที่ติทั้งสองแลกเปลี่ยนเพลงกระบี่ เป็นภาพที่ดูน่าอภิรมย์ยิ่งนัก
ทันใดนั้น อากาศรอบข้างพลันผันผวน ร่างของจงซื่อก้าวออกมาจากความว่างเปล่า เดินมาอยู่ข้างชายหนุ่ม
“นายท่าน สมาชิกของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าสู่แดนเหนือแล้ว ผู้นำของกลุ่มนี้คือปรมาจารย์โถงหอกแห่งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ หลิงอวิ๋น! ตามรายงานที่ได้รับมา พวกเขาจะสร้างลานประลองที่ยอดเขามังกรเร้นข้างเมืองหลวน เพื่อรับสมัครศิษย์”
“ตอนนี้กองกำลังทั้งหมดในแดนเหนือส่งคนไปที่ยอดเขามังกรเร้นแล้ว ราวสามวันต่อมา การรับสมัครศิษย์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์จึงจะเริ่มขึ้น”
หลังจากกล่าวจบ จงซื่อขยับเข้าใกล้ลู่หยวนมากขึ้นก่อนจะโบกมือ บังเกิดค่ายกลปกคลุมพวกเขาทั้งสองไว้ข้างใน ทำให้คนภายนอกไม่สามารถได้ยินคำพูดของเขาได้
“นายท่าน เหิงอีเจี้ยนกลับมาแล้ว เขาอยากเข้าพบนายท่าน”
เขาขมวดคิ้ว “ไวยิ่งนัก เจ้าให้เวลาเขาสามวันไม่ใช่หรือ? เอาเถอะ บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้บังเอิญอยากพบเขาอยู่เหมือนกัน ดังนั้นให้เขารออยู่ที่ยอดเขามังกรเร้นคืนนี้”
จงซื่อรับคำสั่ง ก่อนคำนับแล้วจากไป
ค่ายกลหายไป ฉินอี่หานและไป๋ชิวเอ๋อร์เก็บกระบี่ กลับมาอยู่ข้างบุตรศักดิ์สิทธิ์
ฉินอี่หานถือชาที่เย็นเฉียบ จิบไปสองสามคำเพื่อดับกระหาย
ลู่หยวนแตะโต๊ะหินด้วยปลายนิ้ว ผ่านไปสักพัก เขาพลันกล่าวกับผู้ฝึกกระบี่หญิงว่า “ในช่วงไม่กี่วันนี้ หาโอกาสไปสืบดูว่าหลี่เจียงหนานรู้เกี่ยวกับอวี้เฟิงมากแค่ไหน”
ฉินอี่หานทราบว่าชายหนุ่มหมายถึงอะไร หากคุณชายหลี่รู้มากขนาดนั้น ไม่ว่าในอนาคตเขาจะช่วยนางหรือไม่ นี่ก็อาจกลายเป็นผู้ที่เปิดเผยตัวตนของฉินอี่หานได้
หากถึงคราวจำเป็น คนแบบนั้นสมควรถูกกำจัดทิ้ง
“ทราบแล้ว”
ฉินอี่หานตอบรับ ก่อนเริ่มคิดว่าจะไปพบหลี่เจียงหนานเมื่อไหร่
ตกกลางคืน ตระกูลเสิ่นตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน
จงซื่อปกปิดกลิ่นอายของชายหนุ่มจนสิ้น ร่างของทั้งสองวูบไหวออกจากเมืองหลวนของตระกูลเสิ่นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
บนยอดเขามังกรเร้น เหิงอีเจี้ยนแบกฝักกระบี่ไว้กับตัว ระหว่างรอคอยอยู่ด้านบน
สองร่างใกล้เข้ามา เมื่อปรมาจารย์กระบี่ยักษ์หันไปมอง ก็พบบุตรศักดิ์สิทธิ์กับผู้ติดตาม
เขาคุกเข่าข้างหนึ่งทันที “คารวะนายท่าน!”
ลู่หยวนส่งเสียงอืม ยกมือขึ้นพยุงอีกฝ่าย
“จัดการเรื่องเซียวเทียนเรียบร้อยหรือยัง?”
“ข้าจัดการเรียบร้อยแล้วนายท่าน!”
ผู้เป็นนายพยักหน้า เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะวางมือบนบ่าของปรมาจารย์กระบี่ยักษ์
“ระบบ ตรวจสอบเหิงอีเจี้ยน”
[ระบบกำลังตรวจสอบ]
[ตรวจสอบเรียบร้อย!]
[เหิงอีเจี้ยนมีปราณกระบี่ฟ้าประทาน เป็นอาวุธระดับจักรพรรดิ!]
[ตอนนี้ปราณกระบี่ถูกใช้ไปแล้วหกในสิบส่วน!]
[รากฐานการบ่มเพาะอยู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์!]
[เนื่องจากปราณดังกล่าวถูกใช้ไป เมื่อเวลาผ่านไป ปราณฟ้าประทานจึงลดลงอย่างต่อเนื่อง พลังการบ่มเพาะของผู้ใช้จึงลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน!]
“มีอะไรที่สามารถทำให้รากฐานการบ่มเพาะของเขาอยู่ขั้นปรมาจารย์ยุทธ์ชั่วคราวได้บ้าง อย่างน้อยก็สักหนึ่งปีครึ่ง”