บทที่ 112 เสิ่นหุนตาย
บทที่ 112 เสิ่นหุนตาย
เมื่อได้ยินดังนี้ ระบบจึงนำโอสถออกมา
[โอสถกระบี่แกนหยางสามารถทำให้ปราณกระบี่ฟ้าประทานคงที่ได้ ทำให้รักษาปราณกระบี่ฟ้าประทานของคนผู้นั้นได้ภายในหนึ่งปี! มันสามารถรักษารากฐานการบ่มเพาะของเหิงอีเจี้ยนไม่ให้แปรเปลี่ยนได้!]
[ค่าชะตาวายร้ายที่ต้องการคือ 8,000 แต้ม!]
“ข้าตกลง แลกเปลี่ยน!”
[แลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น เชิญท่านตรวจสอบ!]
[ค่าชะตาวายร้ายของท่านในปัจจุบันคือ 25,000 แต้ม!]
ลู่หยวนปล่อยมือ ก้าวถอยกลับมา ก่อนหยิบโอสถกระบี่แกนหยาง “รับนี่ไปสิ”
ถึงแม้เหิงอีเจี้ยนจะไม่ทราบว่ามันคือโอสถอะไร แต่เขาไม่มีท่าทีลังเลและรับโอสถมาทันที ก่อนจะกลืนเข้าไป
ปรมาจารย์กระบี่ยักษ์เพียงรู้สึกว่าโอสถดังกล่าวมีกลิ่นหอม หลังจากกินเข้าไป มันกลายเป็นน้ำใสไหลเข้าสู่ท้อง
ผ่านไปหลายอึดใจ ความรู้สึกเหมือนกับดวงอาทิตย์อบอุ่นปกคลุมทั่วร่างกายจากทะเลกระบี่ในจิตสำนึก ปราณกระบี่ฟ้าประทานมหาศาลเริ่มไหลไปยังทะเลกระบี่
เหิงอีเจี้ยนนั่งขัดสมาธิทันที ปรับลมหายใจด้วยพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง โคจรปราณกระบี่ที่เพิ่งไหลออกมารอบตัวเขา
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ปราณกระบี่ในทะเลกระบี่ของเหิงอีเจี้ยนคล้ายกับถูกควบคุมโดยบางสิ่ง ก่อนหยุดรั่วไหลออกไปด้านนอก จากการที่อวัยวะของชายผู้นี้ขาดไป ทำให้ปราณกระบี่ในกายเกิดการรั่วไหลมาตลอด สิ่งนี้เองเป็นสาเหตุให้รากฐานการบ่มเพาะลดลง
เหิงอีเจี้ยนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาทอประกายยินดีออกมา เขาพลันยืนขึ้นคารวะลู่หยวนอีกครั้ง “ขอบคุณนายท่าน!”
ปรมาจารย์กระบี่ยักษ์ย่อมรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เป็นเพราะโอสถที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เพิ่งมอบให้เขา
นับตั้งแต่เขาเลือกใช้ปราณกระบี่ เขารู้ทันทีว่าโอกาสที่จะรอดชีวิตกลับมานั้นมีน้อยมาก ต่อให้โชคดีพอจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ เขาก็เป็นได้เพียงคนไร้ประโยชน์
แต่ลู่หยวนไม่เพียงส่งเขาและเซียวเทียนในสภาพสมบูรณ์เท่านั้น แต่ถึงขั้นทำให้ปราณกระบี่ในทะเลกระบี่มั่นคงอีกด้วย
สำหรับเหิงอีเจี้ยนที่ได้รับโอกาสดังกล่าว นับว่าเป็นของขวัญแห่งการฟื้นฟู!
ทันทีที่ปราณกระบี่นี้ไม่หายไป เช่นนั้นเขาก็ยังมีโอกาสที่จะหวนคืนสู่วิถีกระบี่อีกครั้ง!
ลู่หยวนยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“ข้ามีหลายสิ่งที่อยากให้เจ้าทำ หากทำสำเร็จ ข้าจะหาทางเติมเต็มปราณกระบี่ที่เจ้าเสียไปกลับคืนมา ส่วนแขนที่ขาดของเจ้า ก็จะฟื้นคืนกลับมาด้วย”
ปราณกระบี่ได้รับมาจากครรภ์ สำหรับคนคนหนึ่งต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะชดเชยปราณกระบี่ที่สูญเสียไปกลับคืนมา มันคือเรื่องที่รู้กันดีในแผ่นดินหยวนหง
แขนขวาที่เหิงอีเจี้ยนเสียเพราะถูกปรมาจารย์กระบี่ฟัน ปราณกระบี่ที่พุ่งทะยานสู่ท้องนภาได้กัดกร่อนเส้นลมปราณทั้งหมดบนแขน เขาค้นหาทั่วทั้งดินแดน แต่ก็ไม่อาจหาทางทวงคืนกลับมาได้
หากเป็นคนอื่นมาพูดกับปรมาจารย์กระบี่ยักษ์ เขาย่อมเย้ยหยันอยู่ในใจหลายครั้ง เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
หากต้องการทำเช่นนี้ มันก็เหมือนกับการฝืนลิขิตฟ้า!
แต่นี่คือสิ่งที่ลู่หยวนพูด เหิงอีเจี้ยนจึงเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา!
เพราะการที่บุตรศักดิ์สิทธิ์ช่วยเขาเอาไว้ มันก็เหมือนกับเป็นการฝืนลิขิตฟ้าไม่ใช่หรือ?!
เหิงอีเจี้ยนกล่าวจากใจจริง “ขอบคุณนายท่าน! ข้าน้อยจะพยายามสุดความสามารถแน่นอน!”
ลู่หยวนยืนเอามือไพล่หลัง กล่าวประโยคแรกขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้ สุนัขเฒ่าเสิ่นจะออกจากการเก็บตัว คืนนี้เจ้าจงไปฆ่าเสิ่นหุน จำไว้ว่าเจ้าต้องทิ้งหลักฐานการฆ่าเอาไว้ในที่เกิดเหตุด้วย”
“เสิ่นหุนอาจจะกำลังเตรียมเรื่องของบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้กับเสิ่นโตวอยู่ หากเจ้าพบเจอ ให้ทำลายของพวกนี้ทิ้งครึ่งหนึ่ง เหลือไว้ครึ่งหนึ่ง หากเขาเรียกใครมา ห้ามฆ่าคนอื่น แค่ทำให้ปางตายก็พอ”
“หลังจากนั้นจงพาเสิ่นโตวออกมา หาที่ขังเขาเอาไว้ และจำไว้ว่าตระกูลเสิ่นยังมีศิษย์สายตรงบางส่วนอยู่ ไปจับพวกเขามาทีละคน ให้เสิ่นซูเหยียนเหลือเพียงคนเดียวในตระกูลเสิ่น”
เหิงอีเจี้ยนตอบรับทันที เขาจับฝักกระบี่เอาไว้ ร่างกายวูบไหวก่อนจากไป
ลู่หยวนยืนอาบไล้แสงจันทร์อยู่บนยอดเขามังกรเร้น เมื่อก้มมองลงก็เห็นเทือกเขาบิดเบี้ยวทอดยาวออกไป ราวกับมังกรเร้นกำลังหลับใหล
“ตระกูลเสิ่นกำลังจะเปลี่ยนแปลงแล้ว”
เมื่อลู่หยวนกลับถึงตระกูลเสิ่น เขาก็ตรงไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อพักผ่อน
ในช่วงเช้าตรู่ นอกที่พำนักมีเสียงผู้คนจำนวนมากเดินไปมาพร้อมส่งเสียงอึกทึก
เทียนเม่ยเอ๋อร์ผู้อยู่ในอ้อมแขนของลู่หยวนขยับเมื่อได้ยิน นางมองออกไปข้างนอกด้วยความหงุดหงิด จากนั้นพลิกตัวไปมา มุดเข้าไปในอ้อมแขนของชายหนุ่มมากขึ้น ส่งเสียงพึมพำว่า “ข้างนอกเสียงดังอะไรกัน?! มีใครตายหรืออย่างไร?”
บุตรศักดิ์สิทธิ์ลืมตาเช่นกัน ฟังเสียงเคลื่อนไหวข้างนอกก่อนสยายรอยยิ้มออกมา “เจ้าเดาถูกแล้ว มีคนตาย”
ตอนแรกองค์หญิงหางจิ้งจอกยังคงหลับอยู่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางพลันลืมตาขึ้น เงยหน้ามองชายหนุ่ม “ใครตายหรือ”
“เสิ่นหุน”
เมื่อกล่าวจบ ลู่หยวนก็กอดเทียนเม่ยเอ๋อร์ผู้กลายเป็นร่างจิ้งจอกแทนหมอน ก่อนผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ฉินอี่หานจึงผลักประตูเข้ามายืนอยู่หน้าตั่ง กล่าวว่า “เลิกนอนได้แล้ว ตระกูลเสิ่นวุ่นวายกันยกใหญ่มาพอสมควร ถึงเวลาออกไปดูแล้วละ”
บุตรศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้น อาบน้ำภายใต้การปรนนิบัติของผู้ฝึกกระบี่หญิงแล้วแต่งตัว
“ตอนนี้ตระกูลเสิ่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เสิ่นหุนถูกเหิงอีเจี้ยนฆ่า แม้กระทั่งเสิ่นโตวก็หายไป ส่วนลูกหลานสายตรงของตระกูลเสิ่นมีเพียงเสิ่นซูเหยียนที่อยู่คุกใต้ดิน”
ฉินอี่หานรัดสายคาดเอวให้ลู่หยวน จากนั้นชำเลืองมองชายหนุ่มด้วยความสนใจ “ลงมือใหญ่โตขนาดนั้น ท่านไม่กลัวว่าเสิ่นฉงจะตรงมาหาหรือ?”
คนฟังยกมุมปากขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเขาคงไม่มาหรอก”
“ไปกันเถอะ ไปดูกันว่าสุนัขเฒ่าเสิ่นจะโกรธจนตายหรือไม่”
เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มก็สาวเท้าเดินออกจากที่พำนัก
ณ ห้องมืดมิด เสิ่นฉงยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่เดิมเคยหรูหราโอ่อ่า แต่ตอนนี้มันกลับเละไม่มีชิ้นดี
หยกที่ปูบนพื้นกลายเป็นผุยผงไปนานแล้ว เสาหยกสิบสองต้นที่คอยค้ำยันห้องโถงใหญ่ถูกหักโค่น มีปราณกระบี่มากกว่าสามสิบสายอยู่ทั่วทุกทิศ ทันทีที่ก้าวเข้ามา ย่อมสามารถสัมผัสถึงเจตจำนงกระบี่ทรงพลังที่ยังไม่สลายไปได้
ศพของผู้รักษาการแทนกองอยู่ด้านข้าง มีรูโลหิตขนาดเท่าชามอยู่ตรงหน้าอก และมีแผลจากกระบี่จำนวนมากบนร่างกาย
บรรพชนเสิ่นยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ ถูกห้อมล้อมด้วยผู้อาวุโสตระกูลเสิ่นจำนวนมาก พวกเขาทุกคนก้มศีรษะ มองดูร่างดังกล่าวด้วยร่างกายสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดอะไร
“เหิงอีเจี้ยน”
เสิ่นฉงพ่นสามคำนี้ออกมาช้า ๆ จิตสังหารพุ่งทะยานออกมา ปกคลุมทั่วทั้งห้องโถงใหญ่เอาไว้
เมื่อทุกคนสัมผัสจิตสังหารของเขาได้ ความหวาดกลัวพลันก่อเกิดขึ้นในใจ เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาจากหน้าผากทันที
บรรพชนเสิ่นชำเลืองมองผู้คนที่อยู่รอบข้าง “ข้าไปเก็บตัวแค่สามวัน เหิงอีเจี้ยนผู้นี้ถึงกับบุกเข้ามาภายในตระกูลเสิ่น เพื่อลงมือฆ่าเสิ่นหุน พวกเจ้าไม่รู้เรื่องกันเลยหรือ?!”
“อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนพวกเจ้านอนหลับเป็นตายกันหมด!”
ทุกคนหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าทันทีก่อนก้มลงกราบ “ท่านบรรพชน พวกข้าไม่รู้จริง ๆ! เมื่อคืนไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย!”
ในใจของเสิ่นฉงเต็มไปด้วยโทสะ ปราณกระบี่แก่กล้ารวมตัวขึ้นในมือ
ลงมือใหญ่โตขนาดนี้ แต่คนพวกนี้กลับไม่รู้เรื่องรู้ราว คนพวกนี้มัวทำอะไรอยู่?!
เมื่อเสิ่นฉงกำลังจะลงมือ เสียงเกียจคร้านก็พลันดังมาจากนอกห้องโถง
“ไง ครึกครื้นกันดีจริง สุนัขเฒ่าเสิ่น แค่ก ๆๆ บรรพชนเสิ่น ทำไมเจ้าต้องโกรธขนาดนั้นด้วย?”