บทที่ 16 หมัวเทียนต่อสู้ (ต้น)
บทที่ 16 หมัวเทียนต่อสู้ (ต้น)
เมื่อลู่หยวนกดนิ้ว แผ่นยันต์นั้นก็ถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผงและกระจายไปในอากาศทันที
“เจ้าสำนักตู้อยากตามไปดูกับข้าหรือไม่?”
ก่อนที่ตู้เหิงจะทันได้ตอบโต้ ลู่หยวนก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เดินไปตามทางที่ลำแสงนั้นนำไป
สมาชิกตระกูลลู่ตามหลังเขามาทีละคน เฉาหงชำเลืองมองไปยังเจ้าสำนักฟ้าประทานซึ่งนั่งนิ่งอยู่ด้วยดวงหน้าว่างเปล่าราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิด พลางกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าสำนักตู้ ท่านมัวรออะไรอยู่? ไม่ได้ยินที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เรียกหรือ?”
อีกฝ่ายจึงขยับร่างกายและเดินตามไปทันที
ตลอดทางเดิน การแสดงออกของตู้เหิงดูวิตกกังวล ราวกับเอาแต่คิดหาหนทางอยู่ในใจ
หมัวเทียนเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งมานานนับพันปี หากได้รับการฝึกฝนในสำนักฟ้าประทานก็จะสามารถก้าวหน้าไปต่อได้ และในอีกไม่นานเขาอาจทำให้ตำหนักแห่งนี้ติดอันดับหนึ่งในสิบของสำนักแห่งแผ่นดินหยวนหง
เช่นนั้นแล้วจะปล่อยให้เขาจบลงแบบนี้ไม่ได้!
หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทุกคนก็เดินทางมาถึงภูเขาด้านหลังของสำนักฟ้าประทาน
ลู่หยวนหยุดลงตรงหน้าหอคอยเจ็ดชั้น ลำแสงที่ส่องประกายบนฝ่ามือเขาสั่นวูบไหวอย่างรุนแรง
ดูเหมือนว่าหมัวเทียนจะอยู่ที่นี่…
ลู่หยวนสังเกตเห็นระหว่างทาง มีเพียงหอคอยด้านหน้าเท่านั้นที่ได้รับการคุ้มกัน… ดูเหมือนว่าที่นี่จะเป็นสถานที่ที่สำคัญมากในสำนักฟ้าประทาน
“หลิงเอ๋อร์ นี่คือสถานที่อะไรกัน?”
ซวี่รั่วหลิงตอบกลับอย่างแผ่วเบา “คุณชาย หอคอยแห่งนี้เรียกว่าหอคอยรุ้งคราม เป็นที่เก็บรักษากระบี่ของบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักฟ้าประทาน เป็นอาวุธระดับจักรพรรดิที่มีชื่อเรียกว่า กระบี่รุ้งคราม”
“อาวุธระดับจักรพรรดิหรือ?”
ลู่หยวนเลิกคิ้วขึ้น สำนักฟ้าประทานมีของดีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
ซวี่รั่วหลิงกล่าวต่อ “แต่กระบี่รุ้งครามนั้นแตกหัก ตอนนี้มันเป็นเพียงกระบี่หักที่ไม่อาจใช้งานได้ อย่างไรก็ตาม ปราณกระบี่สูงสุดของกระบี่เล่มนั้นยังไม่มีผู้สืบทอด”
มรดกแห่งกระบี่…
ลู่หยวนหรี่ตามอง นี่ต้องเป็นเรื่องราววีรกรรมพระเอกสำหรับหมัวเทียนแน่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะสืบทอดปราณกระบี่สำเร็จไปแล้วหรือไม่
เจ้าสำนักตู้ขมวดคิ้วพลางเดินติดตามฝูงชน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดหมัวเทียนจึงมาที่นี่ แม้สถานที่แห่งนี้จะไม่ใช่พื้นที่ต้องห้ามของสำนักฟ้าประทาน แต่ก็ไม่มีผู้อาวุโสหรือสาวกคนใดที่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่โดยปราศจากคำสั่งของเจ้าสำนัก
“หากเป็นเช่นนั้น บุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องการจะเห็นว่ากระบี่รุ้งครามมีลักษณะอย่างไร”
ขณะลู่หยวนกำลังจะเดินเข้าไปในหอคอย หอคอยรุ้งครามก็พลันสั่นสะเทือนในทันใด! แสงสีทองสาดส่องไปทั่วทุกทิศ เปล่งประกายเจิดจ้าในค่ำคืนอันมืดมิด ราวกับดวงอาทิตย์ที่ทอแสงจากฟากฟ้า
ลำแสงกระจายตัวออกไป ปราณกระบี่ยาวพุ่งออกมาจากหอคอยรุ้งครามและลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ มันพุ่งกระจายไปโดยรอบจนผู้คนตกอยู่ในความตึงเครียด
คมกระบี่นั้นเรียวบางราวกับปีกจักจั่น ปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นยะเยือกออกมาเล็กน้อย ด้ามจับถูกแกะสลักอย่างประณีตงดงาม ซึ่งทอประกายแสงสีทองจาง ๆ
“ลู่หยวน เจ้ากล้ามากที่มาที่นี่!”
หมัวเทียนยืนอยู่บนยอดหอคอยด้วยความภาคภูมิใจ จ้องมองลงมายังฝูงชน
“หมัวเทียน เจ้าอยู่ที่นี่จริงเสียด้วย” จิตสังหารแผ่ซ่านในดวงตาของลู่หยวน เขาหันไปทางกระบี่ยาวที่ลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้า “นี่คือกระบี่รุ้งครามของบรรพชนสำนักฟ้าประทานใช่หรือไม่?”
“ใช่… เชิญดูให้เต็มตา!”
หมัวเทียนยื่นมือออกไปเบื้องหน้า ให้กระบี่รุ้งครามส่งเสียงร้องอย่างแผ่วเบากลางสวรรค์และโลก ชั่วเวลานั้น… กระบี่ในมือของเหล่ายอดฝีมือพลันสั่นไหว ด้ามจับนั้นลดระดับลงด้วยตัวเอง และส่งเสียงร่ำร้องราวกับพวกมันกำลังคุกเข่าบูชากระบี่รุ้งคราม
“กลับมา!”
หลังได้ยินเสียงของหมัวเทียน กระบี่รุ้งครามก็หยุดส่งเสียง รัศมีสีรุ้งเปล่งประกายก่อนจะเคลื่อนไหวกลับไปยังมือของหมัวเทียน
“กระบี่รุ้งครามยอมรับเจ้าเป็นผู้ถือครองอย่างนั้นหรือ?”
ลู่หยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย จิตสังหารในใจยิ่งเข้มข้นขึ้น เดิมทีเขาคิดว่ามรดกของกระบี่เล่มนี้คือปราณกระบี่ แต่ไม่ว่าปราณกระบี่นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็สามารถถูกการบ่มเพาะของผู้ถือครองกดข่มอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงมรดกแห่งปราณกระบี่ กระบี่รุ้งครามที่น่านับถือนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หมัวเทียนต่อกรกับศัตรูในขั้นจักรพรรดิยุทธ์!
หมัวเทียนเรียนรู้และมีประสบการณ์กับสิ่งต่าง ๆ มากมาย หากเขาไม่ถูกสังหารที่นี่ในวันนี้จะต้องเกิดปัญหาไม่รู้จบในอนาคตอย่างแน่นอน!
บุตรแห่งโชคชะตาถือกระบี่รุ้งครามอยู่ในมือ ขณะที่แววเย็นยะเยือกฉายชัดในดวงตา “ลู่หยวน เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี วันนี้ข้าจะใช้เจ้าทดสอบกระบี่!”
หลังกล่าวจบ หมัวเทียนพลันตวัดกระบี่ แรงกดดันอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกไปในทันที พร้อมกับกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว
สมาชิกหลายคนของตระกูลลู่มีพื้นฐานการบ่มเพาะในระดับต่ำ จึงไม่อาจต้านทานพลังดังกล่าวได้ ทุกคนต่างล้มลงและกระอักเลือดออกมา
ซวี่รั่วหลิงได้รับการปกป้องจากลู่หยวน นางจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ดวงหน้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ลู่หยวนยกมือขึ้นกันพลังนั้นออกไป ก่อนจะแผ่รัศมีออกมาปกคลุมสมาชิกของตระกูลลู่และซวี่รั่วหลิง แล้วส่งพวกเขาถอยออกไปไกลหลายสิบจั้ง
เฉาหงก้าวขาไปข้างหน้า “คุณชาย ข้าจะตามจับเจ้าหนุ่มผู้นั้นเอง!”
ลู่หยวนยกมือขึ้นห้ามปราม “เขาเป็นเพียงหนึ่งในศัตรูที่โง่เง่าและหยิ่งผยอง คนเช่นนี้มีดีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น”
“หึ! ลู่หยวน เก็บความเย่อหยิ่งไว้ใช้กับตัวเจ้าเถิด! แล้วเจ้าจะได้เรียนรู้เองว่า ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นไร้ค่าเมื่อเทียบกับพลังที่แท้จริงของข้า!”
“อย่างนั้นหรือ?”
ลู่หยวนขยับนิ้วเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็ปลดปล่อยเคล็ดวิชาจารึกสวรรค์ ปิดผนึกสำนักฟ้าประทานทั้งหมด
“หมัวเทียน ขอข้าดูความสามารถของเจ้าหน่อยเถอะ!” หมัวเทียนเหวี่ยงกระบี่ออกไปในแนวขวาง ปราณกระบี่อันทรงพลังพวยพุ่งทะยานทันที “ลู่หยวน ข้าจะคืนพลังแห่งกระบี่ที่เจ้าเคยมอบให้ข้าก่อนหน้านี้!”
ทันทีที่กล่าวจบ ลมกระโชกแรงก็พัดผ่านมา หมู่เมฆทมิฬรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน …กระบี่เมฆาก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าในชั่วพริบตาเดียว
รูปลักษณ์ของกระบี่เมฆานี้เป็นเช่นเดียวกับกระบี่ที่ลู่หยวนใช้มาก่อนทุกประการ แต่ปราณกระบี่ที่อยู่ในกระบี่เล่มนี้อัดแน่นไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่
ทันใดนั้น แรงกดดันที่ทรงอานุภาพก็ถูกควบแน่นภายใต้กระบี่เมฆา ความยิ่งใหญ่ของปราณกระบี่นี้ไม่ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งที่ลู่หยวนเคยแสดงให้เห็นแม้แต่น้อย
ทุกสิ่งรอบตัวเขาพังทลายลงเพราะแรงกดดัน แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักฟ้าประทานก็สั่นเทา พวกเขาจ้องมองซึ่งกันและกันก่อนจะถอยห่างออกไป
ลู่หยวนยืนนิ่ง ๆ อย่างสงบพลางเผยรอยแสยะยิ้มบนใบหน้า แม้ทุกสิ่งรอบตัวเขาจะถูกพังทลาย แต่ชายหนุ่มกลับเป็นผู้เดียวที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับแรงกดดันนี้เป็นเพียงละอองฝนสำหรับเขา
หมัวเทียนถือกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้างพลางฟาดฟัน
เปรี้ยง!
กระบี่เมฆาบนท้องนภาเคลื่อนตัวลงมาราวกับตอบสนองต่อเสียงแห่งกระบี่เล่มนั้น มันพุ่งทะยานผ่านหมู่เมฆทั้งมวลและเข้าปะทะอย่างรุนแรง
ครืน! ครืน! ครืน!
เสียงท้องฟ้าคำรามกึกก้องราวกับความโกรธาของเหล่าทวยเทพ สาวกของสำนักฟ้าประทานในห้องโถงใหญ่ต่างตื่นตกใจกับเสียงกัมปนาทนี้ พวกเขาทั้งหมดล้มลงกับพื้น
ลู่หยวนเงยหน้าขึ้น กระบี่เมฆาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขาอย่างต่อเนื่อง
เขากำหมัดแน่น ทันใดนั้นลมหายใจเย็นยะเยือกก็ปรากฏขึ้น หมัวเทียนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นเล็กน้อยที่แผ่ซ่านจากด้านหลัง
เมื่อกระบี่ยาวราวสามฉื่อปรากฏขึ้นในมือของชายหนุ่ม อุณหภูมิโดยรอบพลันลดลงอย่างต่อเนื่อง
เมื่อมองไปยังกระบี่ยาวเล่มนั้น หมัวเทียนก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับมือ
ชายหนุ่มวาดกระบี่ขึ้น กลิ่นอายความเย็นยะเยือกรวมตัวกัน และเคลื่อนไหวเป็นวงแหวนรายล้อมรอบคมกระบี่นั้น จนปรากฏเกล็ดน้ำแข็งก่อตัวบนใบมีด “หมัวเทียน นี่คือกระบี่มหันตภัย เป็นกระบี่ระดับจักรพรรดิเหมือนกัน”
กระบี่มหันตภัยหมุนคว้างในอากาศฉับพลัน ปราณกระบี่ก่อตัวขึ้นก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องนภา พร้อมกับความเย็นยะเยือกที่เสียดแทงปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดทันที
เปรี้ยง!
เกล็ดน้ำแข็งก่อตัวขึ้นฝังกับปราณกระบี่ ก่อนจะถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนท้องนภาและปะทะเข้ากับกระบี่เมฆาในทันใด