บทที่ 29 กลับสู่ตระกูลลู่ (ปลาย)
บทที่ 29 กลับสู่ตระกูลลู่ (ปลาย)
ทันใดนั้น… สายลมโดยรอบก็พัดแรงขึ้น อักขระสีแดงปรากฏขึ้นจากพื้นดินและหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว ชั่วเวลานี้ จิตสังหารปรากฏชัดในใจของทุกคน
ทั้งสองเปลี่ยนสีหน้าทันควัน “คุณชายทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
มุมปากของลู่หยวนยกยิ้มชั่วร้าย “ข้าจะทำทุกสิ่งที่เจ้าหวัง ขอบคุณสำหรับสมบัติล้ำค่าที่มอบให้สำนักฟ้าประทาน ข้าจะจดจำไว้ในจิตใจเป็นอย่างดี! ตอนนี้พวกเจ้าหลับใหลให้สบายเถิด”
ทันทีที่กล่าวจบ เปลวไฟสีแดงเข้มก็ลุกโชนท่วมร่างกายพวกเขาทั้งสอง!
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังขึ้นอย่างน่าสังเวช ราวกับเสียงกรีดร้องของภูติผีจากขุมนรก
นักบวชเสวียนชิงอดทนต่อความเจ็บปวดจากเปลวไฟที่เผาไหม้ร่างกาย เขาจ้องเขม็งไปยังลู่หยวน “คุณชายเป็นถึงทายาทของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ผิดคำสัญญาเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
“ผิดคำสัญญา? พวกเจ้าเคยสัญญาสิ่งใดไว้กับข้าหรือ?”
บุตรศักดิ์สิทธิ์เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางโบกมือขวา ทันใดนั้น… เปลวเพลิงก็ก่อตัวขึ้นบนร่างกายของทุกคน และเผาไหม้ร่างกายของผู้เคราะห์ร้ายอย่างรวดเร็ว ไม่นานร่างกายพวกเขาก็สูญสลาย สายลมโดยรอบโชยพัดพาฝุ่นควันจางหายไป
ผู้คนนับหมื่นที่อยู่ทั่วภูเขาและที่ราบตอนนี้กลายเป็นควันและฝุ่นในเวลาเพียงเสี้ยวลมหายใจ
ตู้เหิงยืนเคียงข้างบุตรศักดิ์สิทธิ์และโค้งคำนับ แววตาเผยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
เพียงนึกถึงภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว โชคดีที่ลู่หยวนไม่เคยคิดทำร้ายผู้คนในสำนักฟ้าประทาน ไม่เช่นนั้นทุกคนจะต้องตกตายสิ้นในวันนี้อย่างแน่นอน
สมาชิกของตระกูลลู่สองสามคนเดินทางกลับมาแล้วรายงานว่า สำนักกระบี่สวรรค์ล่มสลายไปแล้ว
แหวนเก็บของปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของลู่หยวน เขาแจกจ่ายสมบัติให้กับสมาชิกตระกูลลู่ ส่วนที่เหลือก็ถูกมอบให้กับตู้เหิง
“ตู้เหิง ตอนนี้สำหรับฟ้าประทานอยู่ภายใต้ตระกูลลู่แล้ว ข้าจะหาผู้ที่เหมาะสมมาดูแลที่นี่หลังจากกลับไป”
ประมุขตู้พยักหน้ารับ…
ลู่หยวนชำเลืองมองซวี่รั่วหลิงพลางกล่าวต่อนาง “หลิงเอ๋อร์กำลังจะฝึกฝนเจตจำนงกระบี่ในสำนักฟ้าประทาน ข้าเกรงว่าอาจใช้เวลาหลายวันในการฝึกฝน นางอาจไม่สามารถขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากข้าได้”
“คุณชายอย่าเป็นกังวล เราทุกคนในสำนักฟ้าประทานจะพยายามช่วยเหลือผู้สืบทอดสำนักให้ฝึกฝนเจตจำนงแห่งกระบี่ และทรัพยากรทั้งสิ้นจะถูกจัดมอบให้นางก่อนเสมอ!”
ชายหนุ่มเพียงพยักหน้า ก่อนปล่อยให้ซวี่รั่วหลิงฝึกฝนกับพวกเขาให้เรียบร้อย จากนั้นจึงจากไปพร้อมกับผู้คนในตระกูลลู่
ลู่หยวนเดินทางกลับมายังตระกูลลู่ด้วยรถเทียมสัตว์อสูรของเขา
ทันทีที่นั่งลง คนรับใช้ก็เข้ามาหาเขาและบอกว่า ลู่เทียนเหอกำลังรอพบเขาอยู่ในหอตำรา
ลู่หยวนเดินตามไป หลังจากเข้าไปข้างใน เขาเห็นบิดานั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมถือยันต์ปริศนาบางอย่างไว้ในมือ โดยปรากฏตัวอักษรมากมายบนแผ่นยันต์นั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นแผ่นยันต์ส่งสาร
เมื่อเห็นการมาถึงของบุตรชาย ลู่เทียนเหอก็เผยรอยยิ้ม “หยวนเอ๋อร์ กลับมาแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มผิวปากแผ่วเบาก่อนจะเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการเดินทางในครั้งนี้ “ข้าไม่ได้รับสิ่งใดจากซากมังกรสถิตเลย และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ถือเป็นเพียงการกำเนิดของสมบัติลับธรรมดาทั่วไป”
สีหน้าของลู่เทียนเหอหม่นหมองลงเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวด้วยความโล่งใจ “หยวนเอ๋อร์ พ่อรู้ดีว่าเจ้ามีแก่นโลหิตมารเป็นอุปสรรคในการฝึกฝนของเจ้า แต่ขอเจ้าอย่าเป็นกังวล พ่อส่งคนออกไปตามหามันแล้ว คาดว่าจะได้รับเบาะแสในอีกไม่นาน”
อาจกล่าวได้ว่าลู่เทียนเหอรักลู่หยวนจนสุดก้นบึ้งของหัวใจ ในแผ่นดินหยวนหงแห่งนี้ เพียงพูดถึงแก่นโลหิตมาร ทุกคนต่างก็สู้รบกันเพื่อมัน
หลายสิบล้านปีก่อน เผ่าพันธุ์โลหิตมารถือกำเนิดขึ้นและทำลายล้างโลก จากนั้นมา ผู้ที่มีสายเลือดเผ่าพันธุ์โลหิตมารก็มักจะถูกสังหาร
แต่เมื่อเผ่าพันธุ์โลหิตมารกำลังจะตาย พวกเขาได้กระจายเลือดของตนไปทั่วแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่นั้นมา คนที่มีสายเลือดโลหิตมารจะปรากฏตัวขึ้นทุก ๆ หนึ่งหมื่นปี แต่พวกเขาทั้งหมดถูกสังหารโดยมนุษย์
แต่เมื่อลู่หยวนเกิดมา เขาได้รับการปกป้องของลู่เทียนเหอ บิดาตัดสินใจตัดหัวทุกคนในทวีปที่รู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นจึงมีสมาชิกในตระกูลลู่เพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ความลับของชายหนุ่ม
บุตรศักดิ์สิทธิ์กล่าวเบา ๆ “ขอบคุณท่านพ่อ”
เจ้าของร่างคนเก่าดูเหมือนจะไม่สนใจความตั้งใจดีของประมุขลู่ แต่ลู่หยวนรับรู้ดีว่า เมื่อลู่เทียนเหอพยายามปกปิดสายเลือดของเขา หมายความว่าบิดาตัดสินใจเป็นศัตรูกับโลกทั้งใบและเลือกปกป้องลูกชายด้วยชีวิต
ความรักเช่นนี้ของพ่อทำให้ชายหนุ่มซาบซึ้งใจนัก
ลู่เทียนเหอลูบศีรษะบุตรชายอย่างแผ่วเบา ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าหยวนเอ๋อร์ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังการเดินทางออกไปในครั้งนี้
บิดาวางมือลงบนไหล่เขาพลางกล่าว “จริงสิ ในอีกสามเดือนข้างหน้า ตระกูลเสิ่นจะจัดงานเลี้ยงวันเกิด เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะต้องเข้าร่วมในนามของพ่อ”
ลู่หยวนรู้จักตระกูลเสิ่นเป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับตระกูลลู่แล้ว ตระกูลเสิ่นเป็นหนึ่งในสิบตระกูลชั้นนำแห่งตำหนักธารสุญญะแดนเหนือ โดยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ห้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว เสิ่นซูเหยียน บุตรสาวแห่งตระกูลเสิ่นดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของร่างเดิม
เจ้าของร่างเดิมมีนิสัยราวกับมารร้าย แต่เสิ่นซูเหยียนก็ไม่ได้หวาดกลัว และมักกลั่นแกล้งเจ้าของร่างเดิม ให้เขาทำเรื่องเลวทรามมากมาย
ผู้ที่ไปหาตระกูลเซียวแห่งมหาสมุทรแดนใต้เพื่อสร้างปัญหาให้ให้เกิดสงครามคือ เสิ่นซูเหยียนจากตระกูลเสิ่น และลู่หยวนก็ถูกนางลากไปเพื่อให้ช่วยสนับสนุนสถานการณ์ในเวลานั้น
เมื่อนึกถึงสตรีผู้นี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกรำคาญจึงตอบกลับอย่างหนักแน่น “ไม่ไป”
ลู่เทียนเหอมอบแผ่นยันต์บางอย่างให้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ “แต่พ่อคิดว่าคราวนี้เจ้าควรไป”
ลู่หยวนมองไปยังแผ่นยันต์นั้นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ต้องการใช้สถานที่ในบ้านตระกูลเสิ่นเพื่อคัดเลือกศิษย์คนใหม่อย่างนั้นหรือ?”
สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นโดยความร่วมมือของหลายตระกูลเมื่อหลายแสนปีก่อน และเป็นที่รู้จักกันดีในนามสำนักที่แข็งแกร่งที่สุด
ผู้ที่สามารถเข้าสู่สำนักชั้นสูงนี้ได้ต้องเป็นลูกหลานของตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ที่สืบทอดกันมานานนับหมื่นปี หรือศิษย์ของสำนักที่มีพรสวรรค์อันหาได้ยากยิ่ง
มรดกล้ำค่าในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์นั้นหาได้ยากยิ่ง และไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเข้าไปในที่แห่งนั้นและได้รับโชคดี
ว่ากันว่าหลังจากเข้าสู่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยอดฝีมือผู้หนึ่งได้ทำการฝึกยุทธ์ตามตำราลับและก้าวจากขั้นเทียมเซียนสู่ขั้นเทียมเทพภายในชั่วข้ามคืน หลังออกจากสำนักชั้นสูง เขาต่อสู้กับสุดยอดปรมาจารย์กระบี่ และสามารถเอาชนะไปได้
สถานที่ดังกล่าวเป็นสำนักแห่งการฝึกฝนที่หลายคนถวิลหา…
ลู่หยวนไม่สนใจเกี่ยวกับวิธีการสืบทอดมรดกลับเหล่านี้ ทว่าตามตำนาน สำนักชั้นสูงครอบครองบันทึกเกี่ยวกับเผ่ามารโดยละเอียด รวมถึงสถานที่ที่ลูกหลานของเผ่ามารเกิดและตาย หากเขาได้รับบันทึกเหล่านี้ อาจเป็นประโยชน์ต่อการค้นหาแก่นโลหิตมารก็ได้
ลู่หยวนคืนยันต์ส่งสารนั้นให้กับลู่เทียนเหอพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าจะไปเยี่ยมเยียนตระกูลเสิ่น”
บิดาพยักหน้าด้วยความสบายใจ เขาพลันนึกได้ถึงบางสิ่งจึงเอ่ยขึ้น “ไป๋ซีเจ๋อจากตระกูลไป๋เดินทางมายังตระกูลลู่ของเรา บอกกล่าวว่าจะเดินทางไปยังบ้านตระกูลเสิ่นพร้อมกับเจ้าและรอพบเจ้าอยู่”
ตระกูลไป๋เองก็เป็นหนึ่งในสิบอันดับตระกูลชั้นสูงแห่งตำหนักธารสุญญะ ซึ่งอยู่ในอันดับที่เจ็ด
โดยไป๋ซีเจ๋อเป็นคุณชายที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล ทั้งยังเป็นอันดับหนึ่งในตัวเลือกเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นนายน้อยของตระกูล ด้วยความแข็งแกร่ง เกรงว่าเขาอาจแค่นอนรอวันเข้ารับการประกาศให้เป็นนายน้อยอย่างเป็นทางการ
คุณชายไป๋ผู้นี้เป็นเพื่อนกินของเจ้าของร่างเดิม พวกเขามีรสนิยมที่คล้ายคลึงกัน และมักจะออกไปเที่ยวอาละวาดในแดนเหนือด้วยกันเสมอ
กว่าตระกูลเสิ่นจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดก็ยังอีกนานหลายเดือน แต่ไป๋ซีเจ๋อเดินทางมาที่นี่ก่อนเวลาเพื่อรอลู่หยวน แน่นอนว่าเขาจะต้องชักชวนเพื่อนสนิทไปก่อเรื่องอย่างที่เคยแน่
หลังคุยกับบิดาอีกสองสามคำ ชายหนุ่มก็เดินออกจากหอตำรา โดยเฉาหงรอคอยเขาอยู่ด้านนอกมาเนิ่นนานแล้ว
บุตรศักดิ์สิทธิ์พาผู้ติดตามเดินไปยังลานขนาดเล็กที่ไป๋ซีเจ๋อรอคอยอยู่ …ก่อนจะได้ยินเสียงทุบตีและเสียงด่าทอดังขึ้นในห้องนั้น