บทที่ 42 เผ่าภูตผี
บทที่ 42 เผ่าภูตผี
เมื่อเห็นผู้คนมาที่นี่ วานรยักษ์สามตาก็คลี่ยิ้มและส่งเสียงคํารามสะท้านปฐพี
ไป๋อู๋อีเหลือบมองอีกฝ่าย จนมันรีบหุบปากราวกับว่ามันหวาดกลัว และหลีกทางอย่างเชื่อฟัง
บุตรแห่งโชคชะตายกมือขึ้น “องค์หญิง เชิญท่านก่อน”
เทียนเม่ยเอ๋อร์มองไปที่ประตูสัมฤทธิ์ตรงหน้า ในใจพลันบังเกิดความรังเกียจ เนื่องจากกลิ่นที่พวยพุ่งออกมาช่างเหม็นเน่าและปนเปไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
องค์หญิงหางจิ้งจอกเกือบอาเจียน แต่นางต้องการให้ลู่หยวนอธิบายสิ่งต่าง ๆ จึงอดทนต่อความรู้สึกคลื่นเหียนพลางยกขาขึ้นและก้าวเดินเข้าไป
ที่ด้านหลังประตูมีเพียงแสงริบหรี่เท่านั้นช่วยให้มองเห็นได้อย่างเลือนราง… ว่าสภาพพื้นที่ตรงหน้ายังคงรกร้างเช่นกัน และถัดไปอีกหน่อยคือภูเขาที่มีการสร้างกระโจมอันทรุดโทรมหลายหลัง พร้อมภาพเหล่าชายฉกรรจ์ยืนและเดินเตร่ไปมา
บุรุษเหล่านี้มีเกล็ดปกคลุมตามร่างกาย ดวงตาหาใช่มนุษย์แต่คล้ายกับงู กล้ามเนื้อตามร่างบึกบึนเป็นมัด ๆ เห็นเด่นชัดมาก
กล้ามเนื้อที่กำยำล่ำสันแสดงให้เห็นชัดว่าเป็นเผ่าพันธ์ที่ทรงพลังด้านกำลังกาย
เทียนเม่ยเอ๋อร์กวาดมองอย่างรวดเร็ว พลังที่ห่อหุ้มคนเหล่านี้คือพลังของเผ่าภูตผี รากฐานการบ่มเพาะส่วนใหญ่ของพวกมันอยู่ในขั้นยอดยุทธ์
ขณะสังเกต หญิงสาวหางจิ้งจอกลอบรายงานทุกสิ่งที่เห็นและได้ยินต่อลู่หยวนอยู่ในใจ
เมื่อสมาชิกเผ่าภูตผีเหล่านั้นเห็นสายตาที่น่ากลัวของไป๋อู๋อี พวกเขาก็คุกเข่าลงทีละคน
บุรุษชุดขาวเดินนำเทียนเม่ยเอ๋อร์ขึ้นไปบนเขา ซึ่งบนยอดมีวิหารที่แม้ว่าจะดูเรียบง่าย แต่ก็เป็นสิ่งก่อสร้างที่ดูดีที่สุดของที่นี่
เมื่อเข้าไปในวิหาร ทั้งคู่เห็นว่ามีรูปปั้นสัตว์อสูรที่มีสี่ตาและสองเขาอยู่บนศีรษะ มีเขี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคม อีกทั้งสูงหลายจั้ง ดูดุดันและน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“กุ่ยซู่!”
ไป๋อู๋อีตะโกนขึ้นมา และทันใดนั้นกลางอากาศพลันบิดเบี้ยว ก่อนที่หลายร่างจะปรากฏตัวขึ้นโดยพลัน
คนแรกคือเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปี สวมเสื้อสีดําดูงดงามน่าเอ็นดู แต่ดวงตาของนางเป็นสีแดงเข้ม กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างน่าอึดอัด มันเต็มไปด้วยจิตสังหารซึ่งทําให้ผู้คนหวาดกลัว
ส่วนคนที่เหลือไม่กี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ล้วนดูดุดัน
“กุ่ยซู่คารวะนายท่าน!”
“คารวะนายท่าน!”
กุ่ยซู่และคนอื่น ๆ ทักทายไป๋อู๋อีด้วยความเคารพ
ไป๋อู๋อีพูดกับเทียนเม่ยเอ๋อร์ว่า “องค์หญิงสามารถมั่นใจได้แล้วหรือไม่ตอนนี้? ข้ามีผู้ใต้บัญชาขั้นเทียมเทพอยู่หนึ่งคนที่นี่ และยังมีขั้นครึ่งก้าวสู่เทียมเทพอีกห้าคน ตราบใดที่องค์หญิงร่วมมือกับข้าเพื่อล่อลู่หยวนออกจากตระกูลไป๋ได้สำเร็จ ต่อให้เขามีไพ่ลับมากมาย ข้าก็มั่นใจว่าจะสามารถฆ่าได้อย่างแน่นอน!”
เทียนเม่ยเอ๋อร์พยักหน้า “คุณชายไป๋ช่างมีความสามารถจริง ๆ ถึงขนาดมีผู้ใต้บังคับบัญชาเผ่าภูตผีมากมาย”
ขณะเดียวกันเสียงของลู่หยวนพลันดังขึ้นในใจของนางอีกครั้ง “บอกเขาว่า เมื่อข้าเสร็จสิ้นจากการบ่มเพาะแล้ว ข้าจะเข้าไปในเขตแดนสัตว์อสูร พยายามหลอกล่อให้เขานำผู้คนมาที่ตระกูลไป๋เพื่อฆ่าข้าผู้นี้ในเขตแดนสัตว์อสูรแทน”
หลังจากได้ยินคำสั่ง องค์หญิงหางจิ้งจอกก็แสร้งถอนหายใจให้ไป๋อู๋อีเห็นและเอ่ย “ข้ากลัวว่ามันจะยากที่จะล่อลู่หยวนออกจากตระกูลไป๋ในเดือนหน้า”
ชายชุดขาวขมวดคิ้ว “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
อีกฝ่ายกล่าวว่า “ตอนนี้ลู่หยวนกําลังจะออกจากการบ่มเพาะแล้ว เขาจะเข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูรของตระกูลไป๋ ถ้าเจ้าต้องการลอบสังหาร เกรงว่าจะต้องรอให้เขาออกมาจากเขตแดนสัตว์อสูรเสียก่อน”
แววตาของไป๋อู๋อีมืดหม่นทันทีก่อนจะพูดอย่างเด็ดขาด “เป็นไปไม่ได้! ประมุขตระกูลไป๋อนุญาตให้ลู่หยวนเข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูรได้อย่างไร!?”
“นี่คือสิ่งที่ข้าได้ยินด้วยหูของข้าเอง ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้”
องค์หญิงหางจิ้งจอกทําเป็นเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสดงอาการราวกับนึกบางสิ่งได้ “จริงสิ ข้าจําได้ว่าเมื่อวานนี้เขาพูดกับเฉาหงว่าเขาได้บรรลุข้อตกลงอะไรบางอย่างกับตระกูลไป๋”
“ข้อตกลง?”
ไป๋อู๋อีหรี่ตาลง เขากําลังคิดในใจว่าข้อตกลงแบบใดที่สามารถทำให้ท่านประมุขยอมอนุญาตให้ลู่หยวนเข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูร?!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าประมุขไป๋คิดว่าตระกูลลู่มีวิธีรักษาปัญหาเส้นชีพจรวิญญาณของไป๋ชิวเอ๋อร์?
เขามั่นใจว่าต้องเป็นเช่นนั้น เพราะไป๋จางมีจุดอ่อนเพียงข้อเดียวคืออาการป่วยของบุตรสาว ซึ่งลู่หยวนก็น่าจะรู้เรื่องนี้และใช้มันเป็นข้อตกลงในการได้เข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูร
เฮ้อ… ช่างโง่เง่าเสียจริง ๆ อุตส่าห์เป็นถึงประมุขตระกูลที่ยิ่งใหญ่ทว่ากลับมองลูกไม้ตื้น ๆ เช่นนี้ไม่ออก มันไม่มีกลวิธีใด ๆ ในการรักษาเส้นชีพจรวิญญาณของไป๋ชิวเอ๋อร์ทั้งนั้น!
ลู่หยวนคนนี้ต้องหลอกไป๋จาง และประมุขไป๋ก็ยังหลงเชื่ออีก นี่มันโง่เขลาจริง ๆ!
“ข้าคิดว่ามันจะดีที่สุดหากเจ้าลงมือในเขตแดนสัตว์อสูร”
ทันใดนั้น เทียนเม่ยเอ๋อร์ก็กล่าวว่า “เมื่อทางเข้าเขตแดนสัตว์อสูรปิดลง มิติภายในจะถูกแยกออกจากโลกภายนอก และในเวลานั้นลู่หยวนจะไร้การป้องกันมากที่สุด ซึ่งแค่เจ้าพร้อมกับคนไม่กี่คนจากเผ่าภูตผีก็น่าจะลอบสังหารได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็น”
คู่สนทนาเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง…
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลังเล นางจึงกล่าวต่อ “แต่ถ้าเจ้าต้องการรอให้เขาออกมาก่อน ก็สามารถทําได้ แต่ข้ากลัวว่าเขาจะรีบกลับไปตระกูลลู่ทันที ซึ่งในเวลานั้น ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็ไม่มีใครทราบได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ระหว่างทางหรือไม่”
ไป๋อู๋อีครุ่นคิด…
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้น “สิ่งที่องค์หญิงพูดนั้นสมเหตุสมผล อันที่จริงข้าเองก็วางแผนจะเข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูรเช่นกัน ดังนั้นการจัดการเขาในนั้นนับว่าเหมาะสมแล้ว!”
เขาหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมายื่นให้อีกฝ่าย “นี่คือยันต์ระบุตำแหน่ง ท่านต้องแอบใส่มันลงในตัวของลู่หยวนและอย่าให้เขาสังเกตเห็น”
เทียนเม่ยเอ๋อร์รับมัน “ถ้าไม่มีอะไรอื่นอีกแล้วข้าขอตัวกลับไปก่อน แม้ว่าลู่หยวนและเฉาหงไม่ได้รอข้าอยู่ แต่การที่ข้าออกมาข้างนอกนานมากเกินไปอาจทำให้ตระกูลไป๋สังเกตเห็นถึงความผิดปกติและแจ้งไปถึงหูของลู่หยวนได้ มันจะไม่ดีที่จะทําให้เขาสงสัย”
ไป๋อู๋อีพยักหน้าและส่งนางออกไป
หลังองค์หญิงหางจิ้งจอกกลับไปถึงห้องพักก็ได้รับคําสั่งของลู่หยวนทันที โดยให้นางเตรียมการเรื่องต่าง ๆ ไว้ให้พร้อม รอรับเขาออกจากการเก็บตัว
เทียนเม่ยเอ๋อร์รับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง
…
ยามค่ำ ยอดเขาอันโดดเดี่ยวยังคงถูกห้อมล้อมด้วยเมฆหมอกเช่นเดิม สายฟ้าแลบแปลบปลาบหลายครั้งดูคล้ายอสรพิษสีเงินซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆกำลังส่งเสียงคำรามขู่ฟ้าดิน
ทันใดนั้นจู่ ๆ เมฆหมอกที่ลอยเหนือยอดเขาพลันปั่นป่วนอย่างรุนแรง ท้องฟ้าทั้งหมดพลันแตกสลาย ลำแสงสีแดงปรากฏขึ้นจากบนท้องฟ้าพุ่งลงเข้าใส่บนยอดเขาอันโดดเดี่ยวที่ลู่หยวนกำลังฝึกฝนอยู่
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงฟ้าร้องและระเบิดก้องกังวานสะเทือนไปทั่วทุกทิศ ฟ้าดินปั่นป่วนราวกับวันสิ้นโลก ไป๋จางและผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลไป๋รีบออกมาที่ด้านนอกและก้าวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกของอำนาจกดดันโบราณก็ค่อย ๆ กดทับลงบนไหล่ของพวกเขา
สีหน้าของผู้เฒ่าคนหนึ่งประหลาดใจ “คุณชายลู่คนนี้ไม่ได้บอกว่ากำลังพยายามทลายขั้นหรอกหรือ? เหตุใดปรากฏการณ์ที่บังเกิดขึ้นกลับคล้ายเหมือนการกำเนิดของบางสิ่งเสียมากกว่า?”
อีกคนหนึ่งเอ่ยสำทับว่า “ใช่ ปรากฏการณ์เช่นนี้ตาเฒ่าผู้นี้เคยเห็นมันครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เด็กชายผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นบนโลกพร้อมกับอำนาจแห่งเต๋าที่ทรงพลัง”
ไป๋จางเงียบงัน ทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือนและเสียงฟ้าร้องยังคงดําเนินต่อไปเหมือนเสียงสวรรค์พิโรธ
ครืน!
แสงสีแดงแผ่ออกไปอย่างรุนแรง และมีคลื่นพลังปราณกวาดไปรอบ ๆ ทำให้เสื้อคลุมของผู้อาวุโสหลายคนพลิ้วสะบัด
ตูม!
บนยอดเขาขณะนี้ ศิลาแหลกสลายและลำแสงสีแดงที่ตกลงมาจากท้องฟ้าพลันปกคลุมทั้งยอดเขา ทว่าร่างหนึ่งยังคงนั่งตัวตรงไม่ไหวติง แม้ทุกสรรพสิ่งรอบบริเวณจะถูกทำลายย่อยยับกลายเป็นควันและฝุ่นกระจายไปในอากาศ
สายตาของทุกคนจดจ่ออยู่กับลู่หยวน และด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ลู่หยวนกำลังถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดง ราวกับจักรพรรดิแห่งโลกาพาให้ผู้คนจิตใจสั่นไหว
ระบบแจ้งเตือนว่า [การอัปเกรดเนตรเทวะประสบความสําเร็จ พลังเนตรเทวะในปัจจุบันคือระดับกลาง!]
[ค่าชะตาของท่านเหลืออยู่ 1,000! แต้ม]
ลู่หยวนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น และทันใดนั้น แรงกดดันที่ไม่มีใครเทียบได้พลันทลายทุกอย่างภายในระยะสิบจั้งรอบตัวเขา
พลังดังกล่าวคุกคามทั้งตระกูลไป๋ในทันที จนสมาชิกหลายคนของตระกูลที่วิ่งออกมาดูต่างก็ตกใจจนเข่าทรุดลง
ดวงตาของลู่หยวนขณะนี้อาบไปด้วยแสงสีแดง มันดูทรงอำนาจราวกับว่าเขาคือเทพจักรพรรดิที่มองลงมายังโลกใต้ฝ่าเท้า
ไป๋จางและเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนักต่างก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตะลึง และผู้อาวุโสหลายคนถึงกับเกิดความรู้สึกอยากยอมจํานน
ประมุขไป๋เงยหน้าขึ้นสบตากับลู่หยวน ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่าทั้งร่างกายถูกกลืนด้วยแสงสีแดงเข้ม ราวกับถูกส่งไปอยู่ในดินแดนป่าเถื่อนยุคบรรพกาลที่มีสัตว์อสูรคํารามกึกก้องในหูตลอดเวลา อีกทั้งยังมีลมหายใจที่อบอุ่นสัมผัสที่หลังคอของเขา ซึ่งทำให้ต้องรีบหันกลับไปมอง แต่กลับไม่เจออะไร มีแต่ความว่างเปล่า
อึดใจต่อมา แสงสีแดงสลายออกไป ไป๋จางยังคงอยู่กลางอากาศ และทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็นภาพลวงตา
ลู่หยวนค่อย ๆ หลับตาลง เมฆหมอกบนท้องฟ้าค่อย ๆ กระจายตัว และแสงสีแดงก็ค่อย ๆ หายไป ทุกอย่างกลับสู่ปกติ
ไป๋จางถอนหายใจ “เขาเข้าถึงพลังอันแข็งแกร่งด้วยวัยเพียงเท่านี้ ตระกูลลู่ให้กำเนิดปีศาจขึ้นมาอย่างแท้จริง”