บทที่ 43 เปิดเขตแดนสัตว์อสูร (ต้น)
บทที่ 43 เปิดเขตแดนสัตว์อสูร (ต้น)
เมื่อลู่หยวนลืมตา พลังที่เพิ่งทําให้โลกตกตะลึงก็หายไป
เฉาหงก้าวไปข้างหน้าทันที “ขอแสดงความยินดีกับนายท่าน!”
แม้ว่าระดับบ่มเพาะของชายหนุ่มจะไม่ได้ทะลวงผ่านขั้นพลังใหม่ แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้นมาก
บุตรศักดิ์สิทธิ์เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นไป๋จางและคนอื่น ๆ อยู่ไม่ไกล เขาก็ลุกขึ้นทันทีแล้วก้าวขึ้นไปในอากาศ ชุดสะอาดสะอ้านผนวกกับรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากทำให้เขาเหมือนเซียนอมตะที่เสด็จลงมาเยือนโลก
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ ไป๋จางเป็นคนแรกที่เสวนาด้วย “ขอแสดงความยินดีกับคุณชาย”
แม้ว่าไป๋จางจะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายฝึกฝนพลังพิเศษแบบใด แต่ปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดมันคือการประกาศว่าความสามารถนั้นของชายหนุ่มได้พัฒนาขึ้นไปอีก
เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือยังพูดขึ้นว่า “ขอแสดงความยินดีกับคุณชายลู่”
บุตรศักดิ์สิทธิ์แค่ยิ้มและมองดวงตาของประมุขอย่างมีเลศนัย
ไป๋จางเข้าใจว่าลู่หยวนต้องการสอบถามเกี่ยวกับเขตแดนสัตว์อสูร ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นโดยพลัน “เขตแดนสัตว์อสูรจะเปิดในสามวัน และตระกูลไป๋จะส่งไป๋ซีเจ๋อเข้าร่วมด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วเอ่ย “หลังจากเก็บตัวบ่มเพาะมาหลายวัน ข้าผู้นี้รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยเช่นกัน ดังนั้นข้าจะกลับไปพักผ่อนก่อน”
“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายลู่อีกครั้ง”
ลู่หยวนกลับไปที่ลานบ้าน เมื่อเปิดประตูก็เห็นว่าบนเตียงนุ่มมีสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยสีขาวราวกับหิมะกําลังหลับใหล
ชายหนุ่มเดินไปที่เตียงช้า ๆ ก่อนจะอุ้มสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยขึ้น
สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่ตื่นขึ้นมาก็เงยหน้าขึ้นด้วยความโกรธ ขาสี่ข้างของมันเตะไปรอบ ๆ แต่หลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มันก็สงบอารมณ์ทันใด ขาของมันกลายเป็นปวกเปียกและพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างประจบสอพลอ “ยินดีต้อนรับนายท่านกลับจากการเก็บตัวบ่มเพาะ”
ลู่หยวนเดินไปที่เก้าอี้นุ่ม ๆ ด้านข้าง นั่งลงโดยวางสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยไว้บนตัก มือใหญ่ลูบขนสีขาวของมันอย่างช้า ๆ พลางยกมุมปาก “ข้าลืมไปว่าเจ้าเป็นเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ เจ้าจึงสามารถกลายร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกได้”
เทียนเม่ยเอ๋อร์นอนบนตักแกร่งอย่างเชื่อฟัง พลางปล่อยให้ชายหนุ่มลูบขนสีขาวของนาง
เขาหลับตาลงก่อนจะเอ่ย “ไป๋อู๋อีพูดอะไรในที่สุด”
“ไป๋อู๋อีบอกว่าเขาต้องการพาคนในเผ่าภูติผีไปลอบสังหารนายท่านในเขตแดนสัตว์อสูร และให้ยันต์ติดตามแก่ข้าเพื่อลอบติดต่อกับนายท่าน”
ทันทีที่เทียนเม่ยเอ๋อร์สะบัดหางสีขาวของนาง ยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายใต้การจ้องมองของลู่หยวน
ชายหนุ่มหยิบยันต์และครุ่นคิดบางอย่างในใจ
เขามองสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยในอ้อมแขนและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตํานานเล่าว่ามีวิชาลับในตระกูลจิ้งจอกสวรรค์ที่สามารถแปลงร่างเป็นรูปลักษณ์ของผู้อื่นได้ ซึ่งเหมือนจริงจนแยกไม่ออก มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เทียนเม่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่าทําไมอีกฝ่ายถึงถามสิ่งนี้ แต่นางก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา “มีวิชาลับเช่นนั้นจริง แต่มันใช้ปราณค่อนข้างมาก”
“แล้วเจ้ารู้วิชาลับนี้หรือไม่”
สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยพยักหน้า
ดวงตาของลู่หยวนเผยถึงความพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่เทียนเม่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกว่าความพึงพอใจของชายหนุ่มค่อนข้างน่าหวาดกลัว ชวนให้มีลางสังหรณ์ร้ายผุดขึ้นในใจ
…
สามวันต่อมา
ไป๋จางนําทางชายหนุ่มไปยังสถานที่ห่างไกลในตระกูลไป๋ซึ่งเป็นป่าทึบ และด้วยการโบกมือของประมุข ใบไม้ทั้งหมดที่เดิมปกคลุมอยู่ทั่วใต้ต้นไม้หนึ่งก็ถูกปัดเป่าออก
“ข่ายประตูมิตินี้สามารถบังคับให้เปิดได้สามลมหายใจเท่านั้น คุณชายจะต้องเข้าไปโดยเร็วที่สุด และข่ายประตูมิตินี้จะเปิดอีกครั้งหลังจากยี่สิบวัน ซึ่งคุณชายจะต้องออกมาเมื่อครบกำหนดเวลายี่สิบวัน ไม่เช่นนั้นคุณชายจะต้องรออีกหนึ่งปีเพื่อให้มันเปิดใหม่”
ลู่หยวนพยักหน้า ก่อนจะหยิบโอสถปราณควบแน่นสามเม็ดออกมาพลางเอ่ย “โอสถสามเม็ดนี้สามารถช่วยต่อชีวิตบุตรสาวของท่านได้สามสิบวัน”
ไป๋จางรับไว้และขอบคุณเขา
ทันใดนั้นพลังวิญญาณก็ปะทุขึ้นทันที ประมุขไป๋ใช้มือเป็นดั่งพู่กันและใช้พลังวิญญาณเป็นหมึก
เขาวาดข่ายเวทเหนือพื้นดิน
หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้น ไป๋จางก็พูดทันทีว่า “คุณชายลู่รีบก้าวเข้าไปด้านในเถิด”
ลู่หยวนไม่ลังเลและก้าวเข้าสู่ข่ายเวท
ทันใดนั้นฉากรอบด้านที่เห็นพลันแปรเปลี่ยนไป ทิวทัศน์กลายเป็นสถานที่รกร้าง มีทรายและฝุ่นรอบ ๆ ทุกหนทุกแห่งทําให้ผู้คนแทบลืมตาไม่ขึ้น
ชายหนุ่มยืนนิ่งขมวดคิ้วแน่น ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในข่ายเวทก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ในใจ ราวกับว่ามีบางอย่างเรียกเขา แต่เมื่อเขาต้องการมองหาร่องรอย สิ่งนั้นก็หายไปอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ บุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ระงับความสงสัยในใจ ก่อนจะสร้างม่านพลังปกคลุมทั่วร่างระยะหนึ่งจั้ง ปิดกั้นลมและทรายโดยรอบแล้วเอ่ย “ออกมา”
หัวสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กโผล่ออกมาจากเสื้อของเขา มันมองไปรอบ ๆ พลางเอ่ย “นี่คือยอดเขาเมฆาม่วงที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไป๋เจ๋ออาศัยอยู่หรือนายท่าน? มันแตกต่างจากที่ข้าจินตนาการไว้มาก”
“มันเป็นแค่รอบนอก”
ลู่หยวนก้าวไปด้านข้างสองสามก้าว จากนั้นก็แตะพื้นเบา ๆ ด้วยปลายเท้า เขาเห็นว่าภายใต้ลมและทรายมีอักขระโบราณลอยอยู่ใต้พื้นดินซึ่งถูกจารึกทอดยาวหลายร้อยลี้ไกลออกไป
“อักขระโบราณเหล่านี้มีเพื่อปกป้องการดํารงอยู่ของยอดเขาเมฆาม่วง หากคนธรรมดาก้าวมาที่นี่ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะหลงทางไปชั่วชีวิต และผู้คนที่มาที่นี่ก่อนตระกูลไป๋คงตายไปแล้วมากมาย”
ลมและทรายพัดผ่านเผยให้เทียนเม่ยเอ๋อร์เห็นโครงกระดูกที่ถูกฝังอยู่ในทรายไม่ไกลนัก หัวเล็ก ๆ ของนางก็อดไม่ได้ที่จะหดกลับเข้าไปในเสื้อของลู่หยวน หัวใจของนางวิตกกังวล ก่อนจะส่งเสียงอ้อนวอน “นายท่านโปรดอย่าให้ข้าเข้าไปคนเดียวเลยข้ากลัว”
บุตรศักดิ์สิทธิ์ลูบขนบริวารก่อนจะเอ่ย “อย่ากลัวเลย ไม่ใช่ว่าข้าคลายตราทาสให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้วหรือ ตอนนี้เจ้ามีความแข็งแกร่งของขั้นราชันยุทธ์ และรวมกับที่ข้าถ่ายพลังวิญญาณให้เจ้าเพิ่มอีก เจ้าไม่ตายหรอก”
จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา “แต่ถ้าเจ้าตกอยู่ในอันตราย เจ้าสามารถใช้ยันต์นี้ได้ เมื่อใดที่เจ้าใช้มัน ข้าผู้นี้จะปรากฏขึ้นเพื่อช่วยเจ้าทันที”
เทียนเม่ยเอ๋อร์โล่งใจ รีบรับยันต์มาเก็บไว้อย่างทะนุถนอมราวกับเป็นของล้ำค่าที่สุดในชีวิตนาง ถ้านางสูญเสียมันไปโดยบังเอิญจะไม่มีใครช่วยนางได้
ต่อมาสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยก็เคลื่อนไหวกระโดดออกจากเสื้อของลู่หยวนลงไปยืนบนพื้น ทันใดนั้นแสงสีขาวก็ปกคลุมทั้งร่างกาย และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ
แสงกระจายไป ก่อนร่างคนที่มีรูปลักษณ์เหมือนลู่หยวนจะปรากฏตัวขึ้น
ชายหนุ่มมองดูอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ซึ่งมันก็เหมือนกับเขาจริง ๆ เกรงว่าแม้แต่เฉาหงก็คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าร่างนี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอม
ลู่หยวนประทับยันต์ติดตามของไป๋อู๋อีลงบนร่างของเทียนเม่ยเอ๋อร์ที่ตอนนี้กำลังปลอมเป็นตัวเขา “หลายวันถัดจากนี้เจ้าไม่จําเป็นต้องทําสิ่งใดเลย เพียงแค่วิ่งไปรอบ ๆ ที่นี่และดึงดูดความสนใจของไป๋อู๋อีก็พอ พลังวิญญาณที่ข้าผู้นี้ถ่ายให้แก่เจ้าย่อมเพียงพอที่จะทำให้เจ้าคงสถานะร่างแปลงได้ถึงยี่สิบวัน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะกลับกลายเป็นร่างเดิมในขณะอยู่ในนี้”
เทียนเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่นางก็รู้สึกหวั่นใจมาก
หากนางไม่สามารถแสดงรูปร่างเดิมของนางได้ เมื่อไป๋อู๋อีและคนอื่น ๆ มาพบเจอนางในร่างของชายหนุ่มแล้วพยายามฆ่านางทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคํา นางจะไม่ตายหรือ?
“ท่านนาย ถ้าข้าใช้ยันต์แล้วท่านต้องรีบมาช่วยข้าทันทีนะ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ เอาละ เจ้าไปได้แล้ว”
จากนั้นเทียนเม่ยเอ๋อร์ก็วิ่งหายตัวไปในทะเลทราย