บทที่ 49 รูปปั้นหินในวิหารโบราณ (ต้น)
บทที่ 49 รูปปั้นหินในวิหารโบราณ (ต้น)
ระบบแจ้งเตือนว่า [เนื่องจากท่านได้พิชิตเผ่าพันธุ์เป็นครั้งแรก จึงได้รับของขวัญพิเศษ ท่านสามารถตรวจสอบได้!]
หลังจากกุ่ยซู่ออกคำสั่งเสร็จสิ้น นางก็หันมากล่าวกับลู่หยวนว่า “นายท่านเจ้าคะ เรียบร้อยแล้ว”
อีกฝ่ายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนลำแสงจะปรากฏขึ้นในมือของเขา
ทันทีที่ยกฝ่ามือขึ้น ดวงแสงดวงหนึ่งเริ่มสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง
ไป๋อู๋อีกำลังดิ้นรนอย่างหนักอยู่ภายในอักขระสวรรค์ แต่การที่ดวงแสงสั่นสะเทือนได้มากมายเพียงนี้ ดูเหมือนเจ้าหนุ่มนี่จะเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของเขาขึ้นมากโข
ลู่หยวนยกยิ้มเย้ยหยัน ด้วยฐานการบ่มเพาะในปัจจุบันแล้วมันเป็นความเพ้อฝันของคนโง่เขลาเท่านั้นที่คิดว่าจะสามารถฝ่าฟันวิชาอักขระสวรรค์นี้ได้!
ฝ่ามือของชายหนุ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขาเริ่มลดพลังของอักขระสวรรค์ลง ก่อนจะโบกมืออย่างรวดเร็ว อีกครั้งให้ลำแสงสีแดงทั้งหมดที่ปกคลุมเอาไว้จางหายไป จนเหลือเพียงไป๋อู๋อีซึ่งถือกระบี่ยาวอยู่ ณ ใจกลางอักขระสวรรค์ผู้ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว
หลังเห็นแสงสีแดงจางไปแล้ว ไป๋อู๋อีตะโกนลั่น “พวกเจ้ามัวรอสิ่งใดอยู่? สังหารลู่หยวนเร็วเข้า!”
สมาชิกในเผ่าภูตผียืนมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ทั้งยังไม่เคลื่อนไหวใด ๆ
อีกฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางจับจ้องพวกเขาอย่างอาฆาต “พวกเจ้าได้ยินข้าหรือไม่?”
ในห้วงความคิด เขาเปิดใช้คำสั่งตราประทับทาส ก่อนจะตระหนักได้ว่าเผ่าภูตผีไม่มีใครเคลื่อนไหว อีกทั้งยังดูเหมือนจะไม่มีอาการเจ็บปวด
ในใจของบุตรแห่งโชคชะตาเกิดคลื่นทะเลปั่นป่วนบ้าคลั่ง “เจ้าปลดผนึกตราประทับทาสของเผ่าภูตผีงั้นหรือ?”
ไป๋อู๋อียิ่งรู้สึกว่าลู่หยวนสามารถรับมือได้ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ตราประทับทาสเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษตระกูลไป๋ แม้แต่เขาที่ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดในเวลานี้ก็ไม่สามารถปลดผนึกได้ แล้วบุตรศักดิ์สิทธิ์จะแก้ไขมันได้อย่างไร?!
ทักษะเหล่านี้เป็นความสามารถของตระกูลลู่จริงหรือ?
ขณะนั้น บุตรแห่งโชคชะตาถอยห่างออกไป ก่อนจะขว้างสมบัติศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนพร้อมด้วยอาวุธวิเศษออกมา เขาต้องการถ่วงเวลาลู่หยวนและคนอื่น ๆ ชั่วขณะ หากได้รับเวลาอีกสักหน่อยเขาจะสามารถหลบหนีได้
นอกจากนี้ เขาไม่สนใจว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ปลดผนึกตราทาสเหล่านั้นอย่างไร
ทั้งหมดที่เขาทราบในเวลานี้คือ ตนเองไม่มีทางต่อสู้กับอีกฝ่ายแบบตัวต่อตัวได้ เขาต้องรีบหนีโดยเร็ว หากเมื่อใดที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ ค่อยกลับมาต่อสู้ใหม่อีกครั้งยังไม่สาย
นี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด!
ท้ายที่สุดแล้ว สักวันจะเป็นวันของข้า ฝากไว้ก่อนเถอะ!
เมื่อเห็นไป๋อู๋อีกำลังจะหลบหนี กุ่ยซู่พลันก้าวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แรงกดดันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ก่อนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นจะกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “นายท่าน ข้าจะจัดการกับเขาเองเจ้าค่ะ!”
เวลานี้นางเพิ่งนำเผ่าภูตผีเข้ารับคำสั่งของลู่หยวน นางจึงต้องการแสดงความภักดีของตน ดังนั้นจึงคิดสะบั้นศีรษะของไป๋อู๋อีเพื่อแสดงความภักดี!
แรงกดดันอันหนักหน่วงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าสีดำบนร่างกายของกุ่ยซู่นั้นโบกสะบัดทั้งที่ไร้ซึ่งแรงลมใด ผิวขาวซีดของนางทำให้ผู้รับชมรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย
ชายหนุ่มยกมือขึ้นพร้อมกับหยุดกุ่ยซู่ “ไม่เป็นไร บุตรแห่งโชคชะตายังมีประโยชน์อยู่ และเขาต้องช่วยข้าออกค้นหา เอาละ ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องไปจัดการ”
ลู่หยวนหันศีรษะมองวิหารโบราณไม่ไกลนัก นับตั้งแต่จิตสำนึกทวยเทพถูกสังหาร กลิ่นอายมารที่แข็งแกร่งก็ถูกปลดปล่อยออกจากวิหารโบราณแห่งนั้น และแทรกซึมเข้าไปทั่วทุกพื้นที่
“ข้าจะเข้าไปด้านในนั้น ส่วนพวกเจ้าป้องกันอยู่ด้านนอก”
กุ่ยซู่และคนอื่น ๆ ตอบรับพร้อมกับยืนเรียงกันด้วยความเคารพรอบวิหาร
ลู่หยวนก้าวเข้าไปในวิหารโบราณ ทันทีที่เข้ามาด้านใน กลิ่นอายมารโดยรอบพลันหวนคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว มันปกคลุมวิหารโบราณทั้งหมด แล้วก่อตัวเป็นเกราะป้องกันจนทำให้ที่นี่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองเห็นรูปปั้นหินประดิษฐานอยู่ใจกลางของวิหารโบราณ
หลายปีผ่าน รูปปั้นหินถูกปกคลุมด้วยฝุ่นและหยากไย่จนมองไม่เห็นสิ่งใด ทว่าดวงตาชวนพิศวงทั้งสองบนใบหน้าของรูปปั้นหินกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม
ด้วยการโบกมือของบุตรศักดิ์สิทธิ์ ลมแรงพัดเอาฝุ่นและใยแมงมุมออกไป ใบหน้าของรูปปั้นหินจึงปรากฏสู่สายตา
เขามองมันอย่างตั้งใจ และเห็นว่าดวงตาของรูปปั้นหินนี้ไม่ต่างจากคบไฟ มีลำแสงสีแดงเข้มส่องสว่างออกจากดวงตา และยังส่องออกมาจากระหว่างคิ้วอีกด้วย
ครั้นมองขึ้นไป ก็พบว่ามีเส้นสีแดงเข้มระหว่างคิ้วของรูปปั้นหิน จากตรงกลางของลำแสงมีบางอย่างที่คล้ายจะแตกสลายออกมา ลำแสงสีแดงที่อยู่ตรงกลางของรอยแตกแพร่ออกไป …นี่เอง กลิ่นอายมารนับไม่ถ้วนที่อัดแน่นอยู่ภายในวิหาร
เมื่อเห็นดังนั้นลู่หยวนพลันขมวดคิ้วแน่น เขารู้สึกว่าเส้นลวดลายลำแสงพวกนี้คุ้นเคยนัก
“รูปแบบสีเช่นนี้มันเหมือนกับรูปแบบของเบิกเนตรเทวะของข้าผู้นี้”
เมื่อมองลงมา รูปปั้นหินนี้นั่งตัวตรง มือข้างหนึ่งวางไว้บนเข่า และมืออีกข้างหนึ่งยกขึ้นราวกับกำลังถือบางสิ่ง
หลังจากครุ่นคิดสักครู่ ลู่หยวนจึงหยิบหอคอยออกมาจากจิตสำนึก
ในมือของชายหนุ่มคือหอคอยขนาดเล็กที่มียอดซ้อนทับอยู่ด้านบนสามชั้น ส่วนฐานด้านล่างมีใจกลางกลวงเปล่า อาบด้วยพลังมารหนาแน่นไหลเวียนภายในระหว่างหอคอยด้านบนและฐาน
ด้านบนของหอคอยสามชั้นคือหอคอยอสูรสวรรค์ที่เขาได้รับจากไป๋อู๋อี และด้านล่างของหอคอยคือสมบัติของเผ่ามารที่ได้รับมาจากหอประมูล
ก่อนจะเข้าสู่เขตแดนสัตว์อสูร ลู่หยวนเปิดกล่องสมบัติของเผ่ามารและพบหอคอยขนาดเล็กนี้อยู่ด้านใน ทันทีที่หยิบมันออกมา หอคอยสามชั้นในจิตเทวะของเขาก็พลันเปล่งประกายขึ้นมาอย่างประหลาด
ชายหนุ่มจึงเรียกหอคอยอสูรสวรรค์ออกมา ก่อนที่ทั้งหอคอยทั้งสองจะประกอบเข้าหากันทันที
[ระบบแจ้งเตือน]
[การประกอบชิ้นส่วนของหอคอยอสูรสวรรค์เสร็จสิ้นแล้ว และอัตราความสำเร็จในปัจจุบันคือหนึ่งในสี่!]
คราวแรกเขาคิดว่าสิ่งนี้จะไม่มีประโยชน์ แต่เมื่อได้เห็นรูปปั้นหินตรงหน้า เขาก็รู้สึกว่าฝ่ามือของรูปปั้นนั้นน่าจะกำลังยกหอคอยขนาดเล็กเอาไว้?
ลู่หยวนก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับวางมันบนฝ่ามือของรูปปั้นหิน
กึก!
เสียงจากส่วนลึกของจิตวิญญาณดังขึ้น หอคอยดังกล่าวหมุนไปรอบฝ่ามือของรูปปั้นหินในบัดดล
ทันใดนั้น ลำแสงสีแดงพลันระเบิดขึ้นฟ้าดังเสาที่ทอดยาวสู่สวรรค์! ในขณะที่พลังรุนแรงนั้นคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวโลหิตทะลักออกมาอย่างรุนแรง
หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ เลือดหนึ่งหยดได้ไหลออกมาจากระหว่างคิ้วของรูปปั้น
ขณะเลือดไหลออกมา โลหิตในกายของลู่หยวนก็เดือดพล่านด้วยเช่นกัน ความปรารถนารุนแรงจากก้นบึ้งของหัวใจปรากฏขึ้น เขาต้องการกลืนโลหิตหยดนั้นเข้าสู่ร่างกายเสียเดี๋ยวนี้
ดวงตาของวายร้ายเปล่งประกาย เขาตระหนักได้ทันทีว่าหยาดเลือดนี้คือแก่นโลหิตมาร!
ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าโชคลาภครั้งใหญ่จะซุกซ่อนอยู่ในยอดเขาเมฆาม่วงแห่งนี้!
แม้แต่โชคลาภนี้ก็ยังได้รับการปกป้องจากจิตสำนึกทวยเทพ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้แล้ว ลู่หยวนจึงยกยิ้ม หากไป๋อู๋อีไม่ทำลายอุปสรรคทั้งหมดนี้ให้ เขาคงไม่อาจพบเจอสถานที่แห่งนี้และได้แก่นโลหิตมารมาได้โดยง่าย!
หึหึ ช่างเป็นพระเอกที่แสนดีเสียจริง!
เวลานี้ไป๋อู๋อีกำลังออกค้นหาไป๋เจ๋อ หลังจากที่เขาออกไป เขาก็จะได้รับไป๋เจ๋อจากเจ้าพระเอกนั่นด้วยเช่นกัน
แววตาของลู่หยวนยังคงมองแก่นโลหิตมารตรงหน้า เขาไม่รอช้า เพียงสะบัดมือก็ทำให้ยันต์ที่ปกป้องพลังของเขาเอาไว้ถูกฉีดขาด การระเบิดของพลังมารทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างล้นหลาม มากเป็นสองเท่าจากที่เคย
พลังมารที่ปะทุออกมานั้นทรงพลังยิ่ง มันทำให้เหล่าภูตผีด้านนอกตื่นตระหนก และพลังมารเหล่านั้นก็เข้ามาพัวพันกับกายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว!
แววตาของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง พวกเขาเริ่มลุกขึ้นยืน จิตสังหารต่างพวยพุ่งออกอย่างไม่อาจซ่อนเร้นไว้ได้!
“ข้าจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้น!”
“ฆ่ามัน! ฆ่าพวกมัน!”
กุ่ยซู่รู้ว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้ายแล้ว แม้คนเหล่านี้จะอยู่ในขั้นเทียมเทพที่กำลังลุ่มหลง ทว่าจิตสำนึกของพวกเขาถูกครอบงำด้วยพลังมารท่วมท้น จิตใจของพวกเขากลายเป็นสูญเสียการควบคุม หากยังเป็นเช่นนี้ต่อ แม้แต่ตัวนางเองก็อาจควบคุมสถานการณ์ไม่ได้!