บทที่ 52 ยันต์สาปวิญญาณ (ต้น)
บทที่ 52 ยันต์สาปวิญญาณ (ต้น)
“ช่างเป็นพลังมารที่บริสุทธิ์อะไรอย่างนี้ ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีอะไรถึงสะกดพลังมารที่รั่วไหลออกมาได้ แต่ต่อให้เป็นเพียงร่องรอยของกลิ่นอาย ก็ไม่อาจเล็ดลอดจากจมูกของข้าไปได้ เจ้ามีพลังมารที่ทรงพลังขนาดนั้น แต่จนถึงตอนนี้กลับสามารถมีชีวิตรอดมาได้”
หญิงสาวระบายยิ้ม “จุ๊ ๆๆ สายเลือดมารทรงพลังเช่นนั้นปรากฏขึ้นบนโลกแล้ว ดูท่าจอมมารกำลังจะกลับมาอีกแล้วสินะ”
“จอมมารหรือ?”
ลู่หยวนนึกขึ้นได้ ในความฝันแปลกประหลาดของเขา หญิงสาวผู้มาจากสวรรค์ชั้นเก้าเรียกเขาเช่นนั้น
เขาหลุบสายตาลงต่ำ จับจ้องสตรีเบื้องหน้าแล้วถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หญิงสาวยังคงคุกเข่า เผยรอยยิ้มเอื่อยเฉื่อยบนใบหน้า “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย? นอกเสียจากว่า หากเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะคิดดูสักครั้ง”
สายตาของชายหนุ่มจับจ้องโซ่เหล็กสองเส้นที่ยึดสะบักของหญิงสาวเอาไว้ เขาพบว่ามีชั้นผนึกสีม่วงหนาอยู่บนโซ่เหล็ก
เพียงชำเลืองมอง เขาก็เข้าใจว่าผลึกสีม่วงนี้เต็มไปด้วยพลังมาร ส่วนโซ่เหล็กที่พันธนาการร่างของหญิงสาวเอาไว้ ป้องกันไม่ให้นางรวบรวมพลังมารได้ พลังมารในร่างกายจึงไหลไปตามโซ่เหล็ก และกระจายไปทั่วโซ่ จนก่อเกิดเป็นผลึกสีม่วงเหล่านี้
แม้จะถูกพันธนาการด้วยโซ่เหล็กเช่นนั้น แต่พลังมารในร่างของหญิงสาวผู้นี้ยังคงแข็งแกร่งยิ่ง ถึงจะไม่ดีเท่ากับลู่หยวน แต่ถ้าโซ่เหล็กถูกคลายขึ้นมา พลังมารในร่างของหญิงสาวผู้นี้อาจจะถึงขั้นแข็งแกร่งกว่าของชายหนุ่มก็เป็นได้
“เหอะ”
บุตรศักดิ์สิทธิ์ก้าวไปข้างหน้า ออกแรงดึงโซ่เหล็ก
เคร้ง! เคร้ง!
โซ่เหล็กแกว่งไกว เผยบาดแผลที่โซ่เหล็กสร้างไว้บนแผ่นหลังของหญิงสาว โซ่เหล็กเสียดสีกับกระดูก ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจน
ใบหน้าของหญิงสาวไม่แปรเปลี่ยน นางยังคงดูเกียจคร้าน ดวงตาสีม่วงดอกหลันฮวาดูมีเสน่ห์มากขึ้นภายใต้สีหน้าดังกล่าว มันถึงขั้นมีร่องรอยแห่งความปรารถนาอยู่ลึกเข้าไปในดวงตา “ขอเพียงเจ้าปล่อยข้าไป อยากรู้เรื่องอะไร ข้าก็สามารถเล่าให้ฟังได้”
“ปล่อยเจ้าไปหรือ?”
ลู่หยวนแสยะยิ้ม วางโซ่เหล็กในมือลง “สิ่งที่เจ้าจะทำหลังจากได้รับอิสรภาพ คงไม่พ้นพรากชีวิตข้าผู้นี้หรอก”
อีกฝ่ายสยายยิ้มเช่นกัน กล่าวตามตรงว่า “เจ้าฉลาดไม่น้อย”
หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างสงบ เผยความละโมบในดวงตาของนางอย่างไม่ปิดบัง
ใครเล่าจะต้านทานร่างที่ทั้งหนุ่มและทรงพลังตรงหน้าได้?
ถึงลู่หยวนผู้นี้จะดูเหมือนเด็กในตระกูล แต่ภูมิหลังของเขาใช่ว่าจะเล็กจ้อย
หากพรากชีวิตเขาไป นอกจากสามารถเสพทรัพยากรอันล้ำค่าแล้ว ยังสามารถนั่งเสวยสุขบนแก่นโลหิตมารได้อีกด้วย ขอเพียงพยายามอย่างหนักหลายร้อยปี โลกทั้งใบก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือ!
“ระบบ ตรวจสอบคนตรงหน้าที”
[ระบบแจ้งว่าคนผู้นี้ข้องเกี่ยวกับวิถีสวรรค์ ไม่สามารถตรวจสอบได้ชั่วคราว!]
วิถีสวรรค์หรือ?!
ลู่หยวนหัวเราะเสียงต่ำ ดูท่าว่าเขาจะเริ่มเข้ามาพัวพันความลับบางอย่างที่อยู่ในส่วนลึกของโลกนี้เข้าเสียแล้ว
ทว่า …หากเข้ามาพัวพันเช่นนี้ เขาไม่จำเป็นต้องรู้สักพัก ด้วยพละกำลังในตอนนี้ เขาเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างแล้ว และไม่จำเป็นต้องรู้มากไปกว่านี้อีก เอาเวลาไปจัดการสิ่งที่ต้องทำในทันทีก่อนยังดีเสียกว่า
ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะเดินจากไป
ภายในหอคอยอสูรสวรรค์กลับมาสงบอีกครั้ง หญิงสาวพิงกับกำแพง ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหลับลง และตกอยู่ในห้วงนิทราอีกครั้ง
หลังกลับสู่ความเป็นจริงแล้ว ลู่หยวนยืนขึ้น เก็บหอคอยอสูรสวรรค์เข้าไปในจิตเทวะ จากนั้นเดินออกมานอกวิหารโบราณ
เมื่อก้าวออกจากวิหารโบราณก็พบกับกุ่ยซู่เข้า อีกฝ่ายสะกิดปลายเท้าก่อนมาอยู่ตรงหน้าเจ้านายในทันที “ยินดีด้วยที่นายท่านออกมาได้”
บุตรศักดิ์สิทธิ์มองรอบข้าง พบว่ามีเพียงกุ่ยซู่ที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว จึงถามว่า “ข้าเก็บตัวมากี่วันแล้ว?”
นางตอบว่า “ราวห้าวัน”
“ห้าวันหรือ?”
ลู่หยวนมองกุ่ยซู่แล้วถามว่า “ในวันที่ห้า เทียนเม่ยเอ๋อร์ไม่ได้ถูกพาตัวกลับมาหรือ? เผ่าภูตผีที่เหลือแยกย้ายกันไปแล้วเหมือนกันหรือ?”
บริวารตอบตามตรงว่า “กุ่ยเหยียนส่งคนไปตามหาเทียนเม่ยเอ๋อร์แล้ว แต่เขาขาดการติดต่อกับนาง เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนายท่าน ข้าจึงขอให้คนที่เหลือไปช่วยกันตามหา แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวของกุ่ยเหยียนและเทียนเม่ยเอ๋อร์เลย”
คนฟังพยายามเรียกเทียนเม่ยเอ๋อร์ในใจ แต่ไม่มีการตอบกลับ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น อย่าเพิ่งสนใจเรื่องพวกเขา อีกไม่กี่วัน กุยช่ายต้นเล็กน่าจะเติบโตแล้ว ไปเก็บรวบรวมมาก่อน หลังจากเก็บเสร็จแล้ว กุ่ยเหยียนและเทียนเม่ยเอ๋อร์อาจจะกลับมาในไม่ช้าก็ได้”
กุ่ยซู่ไม่ทราบว่าลู่หยวนหมายถึงอะไร อะไรคือกุยช่าย อะไรคือเก็บรวบรวม?
เมื่อเห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ผู้ติดตามเผ่าภูตผีจึงเดินตาม
ในถ้ำบนยอดเขาเมฆาม่วง ไป๋อู๋อีนั่งขัดสมาธิบนแท่นหินขนาดใหญ่ กลิ่นอายรอบตัวเขาแข็งแกร่งยิ่ง ปกคลุมร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง
ผ่านไปสักพัก ไป๋อู๋อีก็ค่อย ๆ สงบลง ดวงตาลืมขึ้น ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เขาฝึกฝนอย่างหนักจนถึงตอนนี้ ทำให้เข้าสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์ได้แล้ว
ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถก้าวข้ามระดับย่อยได้อีกระดับ หากอัตราการเติบโตของรากฐานการบ่มเพาะเช่นนี้ถูกนำไปใช้กับภายนอก ย่อมไม่มีใครสงสัยว่าตระกูลไป๋จะมีอัจฉริยะไร้เทียมทานเกิดขึ้นมาอีกคน
ไป๋อู๋อีลุกขึ้น ก่อนเดินออกจากถ้ำ…
วันนี้ท้องนภากระจ่างใส สายลมอบอุ่นพัดพา ราวกับมีความหมายบางอย่าง
บุตรแห่งโชคชะตามองขุนเขากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ในใจรู้สึกสบายสุดจะพรรณนา
ลมกระโชกพัดผ่าน …สัตว์ที่น่าเกรงขามเดินอยู่ท่ามกลางสายลม มันมีรูปลักษณ์เหมือนสิงโตขาว มีเขาสองข้างบนหน้าผาก ทั่วร่างเปล่งรัศมีสีขาวสว่าง ดูน่าเคารพยำเกรงไม่น้อย
มันคือสัตว์เทพไป๋เจ๋อ!
ไป๋เจ๋อเข้าใกล้ไป๋อู๋อี กล่าวออกมาว่า “การฝึกฝนช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
อีกฝ่ายตอบว่า “ไม่เลว ที่นี่มีพลังวิญญาณมากมาย หากฝึกฝนอีกไม่กี่วัน น่าจะสามารถเพิ่มระดับย่อยอีกระดับได้”
หลังจากไป๋อู๋อีกล่าวจบ ดวงตาของเขาหลุบต่ำ มองไปที่ท้องของสัตว์เทพ
ในความทรงจำก่อนกลับชาติมาเกิดใหม่ ไป๋เจ๋อผู้ช่วยเขายังคงตั้งท้องอยู่
เดิมเขาคิดว่า หากไป๋เจ๋อผู้ใกล้คลอดไม่อยากไปกับเขา ก็คงมีแต่ต้องใช้กำลังบังคับ ในเมื่อเขาเข้ามาในค่ายกลเขตแดนสัตว์อสูรแล้วเขาจะกลับออกไปในสภาพมือเปล่าไม่ได้!
ทว่า… ผู้ที่อยู่ตรงหน้าบอกเขาว่า ต้องรออีกเพียงไม่กี่วันก็จะให้กำเนิดขึ้นมา ถึงตอนนั้นลูกในครรภ์ของไป๋เจ๋อก็จะคลอดออกมาแล้ว
เช่นนั้นรออีกไม่กี่วันก็แล้วกัน…
ถึงอย่างไรนี่ก็คือสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับฝึกฝน การอยู่นานอีกหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่ดี ถือเป็นการพัฒนารากฐานการบ่มเพาะไปในตัว
เมื่อไป๋เจ๋อเห็นว่าการบ่มเพาะของไป๋อู๋อีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นางจึงพยักหน้า กล่าวว่า “ข้ากำลังจะเก็บตัวเพื่อให้กำเนิดในวันนี้”
หลังจากกล่าวจบ ไป๋เจ๋อก็โยนกระถางสีทองออกมา “นี่คือกระถางทองดาราสวรรค์ มันคืออาวุธวิเศษที่ข้าพกติดตัวมาหลายปี อยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ หากมีสิ่งนี้ปกป้องเจ้า ต่อให้เจ้าอยู่ขั้นเทียมเทพหรือต่ำกว่า ก็ไม่มีอะไรสามารถทำร้ายเจ้าได้”
ไป๋อู๋อีรับมา ในใจลอบมีความสุขนัก
ทันทีที่ไป๋เจ๋อก้าวเท้า สายลมก็โบกพัดก่อนหายไป…
บุตรแห่งโชคชะตายืนอยู่กับที่พลางถือกระถางสีทองเอาไว้ ดวงตาหลุบต่ำพร้อมเผยรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ทันใดนั้นก็มีร่างสีดำเดินออกมาจากด้านหลังช้า ๆ ก่อนจะคุกเข่าให้กับไป๋อู๋อี เปล่งน้ำเสียงราบเรียบ
“นายท่าน!”
เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง