บทที่ 58 กุ่ยซู่หลงเสน่ห์ (ต้น)
บทที่ 58 กุ่ยซู่หลงเสน่ห์ (ต้น)
ตกกลางคืน ไป๋จางพาผู้อาวุโสจำนวนมากไปยังที่ไหนสักแห่ง ส่วนไป๋ชิวเอ๋อร์มาที่จัตุรัสพร้อมกับกระบี่ยาว
ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว นอกจากองครักษ์และข้ารับใช้ผู้ตรวจตรายามราตรีแล้ว ทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงนิทรา
ไป๋ชิวเอ๋อร์ยืนอยู่กลางจัตุรัส พลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เหตุผลแท้จริงที่ทำไมค่ายกลเขตแดนสัตว์อสูรนี้ทำงานทุกสองสามปี เป็นเพราะค่ายกลที่ตั้งอยู่ในตระกูลไป๋ใช้เวลาหลายปี เพื่อสั่งสมพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้สามารถเปิดใช้มันได้
ตอนนี้ค่ายกลเขตแดนสัตว์อสูรถูกเปิดออกครั้งหนึ่งแล้ว หากจะเปิดมันจากตระกูลไป๋อีกครั้ง จะต้องรอเวลาเพื่อสั่งสมพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์คือเส้นชีพจรวิญญาณระดับสวรรค์ ประโยชน์ของมันมหาศาล แม้กระทั่งพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังช่วยเติมเต็มและเกื้อกูลเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์
ดังนั้น เพื่อทำให้ค่ายกลเขตแดนสัตว์อสูรเปิดออกอีกครั้ง ต้องทำการแปลงพลังวิญญาณบริสุทธิ์จากเส้นชีพจรให้กลายเป็นพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบังคับเปิดใช้งาน
ไป๋ชิวเอ๋อร์หยิบโอสถเสริมพลังออกมาสองเม็ด ดวงตางดงามหลุบต่ำ
หลังจากใช้โอสถ นางสามารถสัมผัสได้ว่าเส้นชีพจรวิญญาณฟื้นฟูขึ้นมาก พลังวิญญาณในร่างพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว รากฐานพลังวิญญาณเติบโตขึ้น
อันที่จริงเพียงเม็ดเดียวก็เกินพอแล้ว การกินสองเม็ดติดกันทำให้สามารถดึงพลังวิญญาณได้มหาศาล จากนั้น… ด้วยความช่วยเหลือของเส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์ พลังเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปิดค่ายกลได้
ไป๋ชิวเอ๋อร์ขยี้ยันต์เคลื่อนย้ายพริบตาในมือ ขอเพียงเปิดค่ายกลเขตแดนแล้วเข้าไปตามหาลู่หยวน แล้วพาเขามาที่ขอบค่ายกลเขตแดน ก่อนจะฝืนเปิดมันอีกครั้ง นางก็จะสามารถพาเขาออกมาได้
นางตัดสินใจได้ดังนั้น จึงหยิบโอสถเสริมพลังออกมาสองเม็ด
โอสถเสริมพลังเม็ดละลายในปาก พลังเย็นเยียบไหลเข้าสู่ช่วงท้อง พลังอันแรงกล้าถูกปลุกขึ้นในร่างนาง กระจายไปทั่วทั้งร่างกายในทันที
พลังวิญญาณจากภายนอกเองก็มารวมตัวที่ร่างไป๋ชิวเอ๋อร์ พลังวิญญาณในรัศมีสามร้อยลี้หลอมรวมเข้าสู่กายาอย่างบ้าคลั่ง
สมาชิกของตระกูลไป๋ผู้กำลังสนทนาในหอลับสัมผัสปรากฏการณ์นี้ได้ทันที ไป๋จางขมวดคิ้ว เพียงพริบตา เขาก็เดินมายังใจกลางที่พลังวิญญาณมาหลอมรวมกัน คนที่เหลือก็ไล่ตามทันที
พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งหลอมรวมเข้าไปในร่างของไป๋ชิวเอ๋อร์ ตอนนี้เส้นชีพจรวิญญาณของนางยังคงแตกร้าว ไม่มีทางที่จะรวบรวมพลังวิญญาณเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์
พลังขนาดนั้นราวกับน้ำท่วมเข้าสู่ร่างกาย มันอาละวาดปั่นป่วนทั่วกายาไม่หยุด ทำเอาความเจ็บปวดสุดแสนแล่นไปตามแขนขาและกระดูกของนาง
ไป๋ชิวเอ๋อร์เม้มริมฝีปากเล็กน้อย กดจุดที่เจ็บทั้งหมดลงไป ใช้เส้นชีพจรวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเปลี่ยนพลังมหาศาลที่กระจายไปทั่วให้กลายเป็นพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ด้วยการปรากฏตัวของกลุ่มพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ความเจ็บปวดที่ถ่ายเข้าสู่ร่างกายของนางจึงเจ็บปวดมากขึ้น โลหิตไหลออกจากมุมปากของหญิงสาว
ในไม่ช้า ความเจ็บปวดในร่างกายที่ไป๋ชิวเอ๋อร์รู้สึกได้เริ่มชินชา ฉากตรงหน้าพร่าเลือนเล็กน้อย
วิ้ง!
สิ้นเสียงครวญครางแผ่วเบาจากท้องนภา เหนือจัตุรัส ประตูเปิดค่ายกลเขตแดนปรากฏขึ้นช้า ๆ ในอากาศ
ไป๋ชิวเอ๋อร์ฝืนลืมตาขึ้น หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น ความเจ็บปวดทั่วร่างกายรุนแรงมากขึ้น นางไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่อุทิศตนเพื่อเปลี่ยนสภาพพลังวิญญาณ ผ่านไปหลายอึดใจ ประตูในความว่างเปล่าค่อย ๆ เปิดออกในที่สุด อักขระรอบข้างปรากฏทันที ห้อมล้อมทั่วทั้งจัตุรัสเอาไว้
คุณหนูตระกูลไป๋ค่อย ๆ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ตรงเข้าสู่ค่ายกล ความเจ็บปวดในร่างกายทำให้ยากที่จะขยับไปข้างหน้าได้
“ชิวเอ๋อร์!”
ไป๋จางปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องนภา และตะโกนเสียงดังว่า “กลับมา!”
บุตรสาวตกตะลึง จากนั้นฝืนเร่งฝีเท้าก้าวไปอีกหลายก้าว จนมาถึงขอบค่ายกล!
ทั่วทั้งตระกูลไป๋ ผู้ที่ทราบว่าลู่หยวนเข้าสู่ค่ายกล มีเพียงไป๋จางและไป๋ชิวเอ๋อร์เท่านั้น
ส่วนประมุขไป๋เคยเข้าค่ายกลไปแล้วหนหนึ่ง จึงไม่สามารถเข้าได้อีกเป็นหนที่สอง
ไป๋ชิวเอ๋อร์ทราบดีว่า หากนางไม่เข้าไป ลู่หยวนอาจจะไม่มีชีวิตรอด
นางก้าวออกไปข้างหน้า จนเหลืออีกเพียงครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ค่ายกล
ไป๋จางวิตก เขาไม่มีทางปล่อยให้ลูกสาวเอาชีวิตไปเสี่ยงอย่างแน่นอน!
ตอนนี้เขาพุ่งพลังวิญญาณเข้าใส่ หมายจะนำตัวนางลงมา
วิ้ง!
ประตูค่ายกลเขตแดนส่องแสงเจิดจ้า พลังวิญญาณของไป๋จางแตกสลายอย่างสมบูรณ์ ร่างของไป๋ชิวเอ๋อร์หายไปในค่ายกลทันที
พลังวิญญาณที่กวาดผ่านท้องนภาพลันหยุดนิ่งหลังจากคุณหนูตระกูลไป๋หายไป ประมุขยืนอยู่กลางอากาศด้วยความประหลาดใจ สายตาจับจ้องประตูค่ายกลเขตแดนที่กำลังหายไป
วิ้ง! วิ้ง! วิ้ง!
อีกด้านหนึ่ง กุ่ยซู่ถือค้อนขนาดใหญ่เพื่อคุ้มกันอยู่นอกเขตแดนแสงศักดิ์สิทธิ์รูปทรงเปลือกไข่ ภายในนั้นคือไป๋อู๋อีและไป๋เจ๋อ
เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน มีเสียงกระซิบแผ่วเบาอยู่ในแสงสว่าง หลังจากสิ้นเสียงกระซิบแต่ละครั้ง ก็จะมีลมหายใจแข็งแกร่งแผ่ออกมาจากเขตแดนแสงศักดิ์สิทธิ์
พลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้น …ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ก็ทรงพลัง
ลู่หยวนนั่งขัดสมาธิ หลับตางีบหลับ ราวกับทุกสิ่งอยู่ในกำมือ
ครืนนน!
ในแสงสว่างวาบ พลังอันแข็งแกร่งแผ่มาจากแสงสว่าง แม้กระทั่งกุ่ยซู่ผู้อยู่ขั้นเทียมเทพยังต้องก้าวถอยหลังออกมา
ลู่หยวนพลันลืมตาขึ้น ชูกระบี่ยาวในมือ พร้อมก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว
พลังสีดำทมิฬพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว และปกคลุมกระบี่มหันตภัยไว้รวมถึงพื้นที่รอบข้างไร้พรมแดนทันที
ครั้นแสงสว่างจางหาย …พลังสีดำสนิทก็หายไปเช่นกัน
เมื่อลู่หยวนกำลังจะก้าวขาไปข้างหน้า เขาก็เห็นแสงและเงากำลังเข้าใกล้ด้วยความเร็วมหาศาล ตรงมาที่เขา
ชายหนุ่มหลบหลีก ขณะชักกระบี่แล้วพุ่งตัวออกไป แต่ระหว่างนั้น ทางหางตากลับเห็นร่างสีดำวูบไหว เขาจึงหันสายตาตามทันที
ไป๋เจ๋อผู้พุ่งออกมาเห็นว่าโจมตีพลาด จึงรวบรวมพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากทั่วทั้งร่างกายทันทีก่อนจะล่าถอย เขายาวสองข้างบนศีรษะขยายขนาดอย่างรวดเร็ว
มันระเบิดพลังออกมา ก่อนชนเข้าที่หลังของลู่หยวน
ตู้มม!!
ค้อนยักษ์ถูกเหวี่ยงกลางอากาศเพื่อหยุดมันเอาไว้
กุ่ยซู่ถือค้อนขนาดใหญ่ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนมายืนอยู่หลังชายหนุ่ม
ลู่หยวนเห็นแล้วว่าร่างที่เพิ่งหลบหนีไปคือไป๋อู๋อี ส่วนสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา น่าจะเป็นไป๋เจ๋อตัวน้อย
บุตรแห่งโชคชะตาผู้นั้นใช้วิธีใดไม่ทราบ แต่ถึงกับฉีกเขตแดนสีโลหิตออกเป็นรู ก่อนหลบหนีไปได้
“กุ่ยซู่ ข้าฝากที่นี่กับเจ้าด้วย ข้าจะไล่ตามอีกคนเอง!”
กุ่ยซู่พยักหน้า จากนั้นถามว่า “นายท่าน พวกเราควรทำอย่างไรกับสัตว์เทพไป๋เจ๋อดี?”
ลู่หยวนไม่แม้แต่หันศีรษะ …ตอบอย่างเย็นชาว่า “ฆ่าเสีย”
หลังจากนั้น ลู่หยวนก็พุ่งทะยานออกจากเขตแดนไป
เขตแดนสีโลหิตในท้องนภาก็สลายหายไปเช่นกัน
สิ้นคำพูดของลู่หยวน หัวใจของสัตว์เทพตกไปอยู่ตาตุ่มเช่นกัน นางฉีกยิ้มกว้างให้ไป๋เจ๋อ ค้อนขนาดใหญ่ในมือเต็มไปด้วยพลังภูติผี พร้อมจิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตา
ไป๋เจ๋อเพิ่งให้กำเนิดลูกเสร็จสิ้น ร่างกายจึงอ่อนแอยิ่ง
มันใช้พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกือบครึ่งเพื่อฉีกกระชากเขต ทำให้ไป๋อู๋อีหลบหนีไปพร้อมกับไป๋เจ๋อน้อยได้
เดิมมันวางแผนจะทำให้ลู่หยวนประหลาดใจ ก่อนลงมือฆ่าในครั้งเดียว แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
“แค่ก ๆๆ”
ไป๋เจ๋อไอหลายครั้ง พยุงร่างกายที่อ่อนล้าก่อนรวบรวมพลังเพื่อเตรียมโจมตี สำหรับมันในตอนนี้ นับว่าตกที่นั่งลำบากไม่น้อย
มันจ้องกุ่ยซู่ตรงหน้า ราวกับจ้องมองมัจจุราชกำลังย่างกรายเข้ามาหา