บทที่ 70 เอาชนะเขาเพื่อแม่เสีย! (ต้น)
บทที่ 70 เอาชนะเขาเพื่อแม่เสีย! (ต้น)
ทุกคนที่ได้ฟังต่างตอบสนองด้วยความโกรธเกรี้ยว ลู่หยวนพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
กำลังดูถูกพวกเขางั้นหรือ?!
ในบรรดาฝูงชน มียอดฝีมือผู้หนึ่งนำผู้ฝึกยุทธ์สิบกว่าคนขึ้นลานประลอง
ผู้นำสร้างค่ายกลทันที “ข้าขอประมือกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ก่อน”
เมื่อกล่าวจบ ค่ายกลจำนวนมากในมือของผู้คนทั้งหลายรวมเข้าด้วยกัน พวกเขาประทับลงบนลานประลอง จนเกิดเกลียวแสงสว่างสีแดงส่องสว่างทั้งแนวนอนและแนวตั้งดังฝาครอบ กวาดผ่านไปมาเข้าหาลู่หยวน มันทำให้แรงกดดันจากกายชายหนุ่มหายไปชั่วขณะ
บุตรศักดิ์สิทธิ์ยกมุมปากขึ้น ก่อนกระทืบเท้า
ตูม!
จากท้องนภา แรงกดดันทรงพลังอันน่าสะพรึงราวกับจะพังทลายสวรรค์และโลก ปกคลุมทั่วทั้งยอดเขาหลักในพริบตา
ตูม! ตูม! ตูม!
สิ่งปลูกสร้างนับไม่ถ้วนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายใต้แรงกดดันนี้ทันที
ศิษย์ส่วนใหญ่ที่ชมอยู่เจอแรงกดดันเช่นนี้เข้าไป พวกเขาต่างก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกระอักโลหิตในเสี้ยวพริบตา คนที่มีรากฐานการบ่มเพาะสูงส่งกว่าตกตะลึงจนคุกเข่ากับพื้นเพราะแรงกดดันนั่น พยายามขัดขืนสุดกำลัง
มีเพียงยอดฝีมือบางส่วนที่อยู่ใจกลางแรงกดดันในลานประลอง เมื่อแรงกดดันเคลื่อนลงมา ค่ายกลในมือก็แตกสลายทันที! มันราวกับขุนเขาที่กดทับพวกเขาลงกับพื้น โลหิตหลั่งทั้งเจ็ดรูทวารจนแทบเจียนตาย
ต่อให้พวกเขาใช้การบ่มเพาะทั้งหมดอย่างสุดกำลัง แต่เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันที่ราวกับจะพังทลายโลกใบนี้ มันก็ช่างไร้ประโยชน์!
สายตาของผู้อาวุโสจำนวนมากบนแท่นสูงแปลกไป เมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่หลายคนได้พบกับลู่หยวน ตอนนั้นเขาไม่ได้มีรากฐานการบ่มเพาะที่ทรงพลังขนาดนี้
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ บุตรศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับได้เกิดใหม่
หวังเหิงขมวดคิ้วเช่นกัน มีศิษย์อย่างต่ำนับพันที่รายล้อมลานประลอง บางส่วนก้าวเข้าสู่ขั้นจักรพรรดิยุทธ์แล้ว บางคนถึงขั้นมียันต์ค่ายกลอันทรงพลังอยู่กับตัว แต่เมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันนี้ พวกเขากลับไม่สามารถทานทนได้
แม้กระทั่งหวังเหิงก็ไม่อาจคาดเดาพลังของชายหนุ่ม
เขาหันมองกลับไปพบกู่หงเฟยยืนอยู่ด้านหลัง ถึงแม้จะไม่ล้มลงกับพื้นจนกระอักโลหิตเหมือนคนอื่น แต่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
เมื่ออู่หมิงเสวี่ยเห็นว่าบุตรชายทรงพลังมากแค่ไหน นางคล้ายกับยินดีขึ้นมา หยวนเอ๋อร์โตขึ้นแล้วจริง ๆ พละกำลังของเขาแก่กล้าถึงเพียงนี้เชียว
ลู่หยวนสลายแรงกดดัน ให้โอกาสยอดฝีมือบนลานประลองยันร่างขึ้นด้วยความสิ้นหวัง
สายตาของชายหนุ่มราวกับคมกระบี่กวาดมองทุกคน ในที่สุดก็หยุดลงที่แท่นสูง “ผู้อาวุโสอย่าได้ปกปิดไปเลย รีบส่งศิษย์กับลูกหลานของท่านออกมา ปลาซิวปลาสร้อยเหล่านี้ไม่ควรค่าให้รับชม”
เมื่อผู้อาวุโสจำนวนมากได้ยินประโยคนี้ก็แทบกระอักโลหิตออกจากปาก
ยอดฝีมือบางส่วนที่เพิ่งมาถึงลานประลองคือศิษย์ที่ได้รับการฝึกฝนจากผู้อาวุโสเป็นอย่างดี พวกเขาล้วนเป็นคนที่ได้รับความคาดหวังสูง
ตอนนี้ลู่หยวนกลับพูดออกมาว่า …เป็นเพียงปลาซิวปลาสร้อย
กู่หงเฟยผู้ยืนอยู่บนแท่นสูงพ่นลมออกจมูกอย่างเกรี้ยวกราด ยกมือขึ้นไปทางหวังเหิงทันที “ผู้อาวุโส ให้ข้าไปสั่งสอนบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ที!”
ร่างของอัจฉริยะรุ่นเยาว์วูบไหว ก่อนมาถึงลานประลอง
“กู่หงเฟยขอรับคำชี้แนะจากบุตรศักดิ์สิทธิ์ด้วย!”
[ระบบแจ้งเตือน กู่หงเฟยคือผู้มีโชคชะตามหาศาล ค่าชะตาในตอนนี้คือ 10,000 แต้ม!]
[หลังจากท่านสืบทอดตำแหน่งนายน้อยของสำนักอักขระสวรรค์แล้ว ฆ่าเขาหรือทำให้ยอมจำนน จะทำให้แต้มชะตาทั้งหมดถูกปล้นชิง!]
ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้น อย่างที่คิด… คนผู้นี้ได้รับความคาดหวังจากสำนักอักขระสวรรค์มาก ย่อมเป็นคนที่มีวาสนาไม่น้อย
ถึงแม้กู่หงเฟยผู้นี้จะไม่ใช่บุตรแห่งโชคชะตา แต่เขาถึงกับมีค่าชะตามากถึงหนึ่งหมื่น
รอยยิ้มสยายกว้างของคู่ต่อสู้สะท้อนอยู่ในดวงตาประชดประชันของกู่หงเฟย “บุตรศักดิ์สิทธิ์ยิ้มทำไมกัน? คิดว่าท่านจะเอาชนะได้งั้นหรือ?”
ลู่หยวนตอบด้วยความมั่นใจว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
สายตาของคู่สนทนามืดมน เขาร่ายค่ายกลในมือทันที พลันมีสายลมพัดกระโชกบนลานประลอง
“ข้าขอแนะนำบุตรศักดิ์สิทธิ์ว่าอย่ามั่นใจให้มากนัก!”
เมื่อกล่าวจบ ค่ายกลในมือของกู่หงเฟยพลันหายไป ผ่านไปสักพัก ที่ใต้เท้าของชายหนุ่มก็มีเส้นด้ายสีแดงจำนวนมากปรากฏขึ้นในทันที พันธนาการเท้าเอาไว้อย่างแน่นหนา
หยดของเหลวคล้ายโลหิตหยดลงมาจากเส้นด้ายสีแดง ก่อนตกลงสู่ค่ายกลบนพื้น
กลิ่นอายรอบข้างลู่หยวนถึงกับอ่อนกำลังลง ในตอนนี้ค่ายกลบนพื้นยิ่งแข็งแกร่ง เส้นด้ายสีแดงมีจำนวนมากยิ่งขึ้น
“ค่ายกลปรสิตสองขั้วหรือ?”
ผู้อาวุโสบนลานประลองอดที่จะกล่าวไม่ได้ “กู่หงเฟยฝีมือดีจริง ๆ สามารถทำความเข้าใจค่ายกลได้ตั้งแต่อายุยังน้อย”
ค่ายกลปรสิตสองขั้วคือค่ายกลระดับสูงของเคล็ดอักขระจักรพรรดิ อักขระของมันคลุมเครือและยากต่อการทำความเข้าใจ หลายคนต้องศึกษาหลายปี แต่กู่หงเฟยกลับสามารถใช้ได้ ทั่วทั้งประวัติศาสตร์ของสำนักอักขระสวรรค์มีคนที่ทำได้เพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น
ผู้อาวุโสที่เหลือกล่าวชมเชยอยู่สองสามคำเช่นกัน จากนั้นเริ่มชื่นชมหวังเหิง กล่าวว่าเลี้ยงดูศิษย์ได้ดี ย่อมมีอนาคตไร้ขีดจำกัด
หวังเหิงส่ายหน้าก่อนยิ้มออกมา “ทุกท่านชมเกินไปแล้ว นี่ไม่เท่าไหร่หรอก แค่เคล็ดอักขระจักรพรรดิระดับสูงทั่วไปเท่านั้น ข้าคิดว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์สามารถทำลายมันได้ในไม่ช้า!”
เมื่ออู่หมิงเสวี่ยได้ยินประโยคนี้ นางก็ชำเลืองมองอีกฝ่ายทันทีด้วยสายตาลุกโชน ราวกับกำลังจะระเบิดออกมาทุกเมื่อ
หัวใจของทุกคนแข็งทื่อ ไม่ว่าใครก็เข้าใจความหมายในคำพูดของผู้อาวุโสหวังเมื่อครู่ แม้จะเหมือนกำลังชื่นชมบุตรศักดิ์สิทธิ์ แต่แท้จริงกำลังชื่นชมตัวเองต่างหาก
ค่ายกลปรสิตสองขั้วขึ้นชื่อว่ารับมือได้ยากยิ่ง จะสามารถทำลายมันอย่างง่ายดายได้อย่างไร!
เมื่อหวังเหิงรู้สึกตัวว่าถูกอู่หมิงเสวี่ยมองจึงเริ่มหวั่นวิตก ผู้หญิงคนนี้บ้าคลั่งเป็นที่สุด ใครไม่เห็นด้วยขึ้นมาก็จะชวนทะเลาะทันที หากนางลงมือ เขาคงไม่สามารถตอบโต้ได้ หาไม่แล้ว วันรุ่งขึ้น… ลู่เทียนเหอจะนำกลุ่มคนมาล้อมสำนักอักขระสวรรค์เพื่อทุบตีเขา!
เจ้าสำนักอู่ถอนสายตากลับไป จากนั้นยืนขึ้นทันที ชูมือขึ้นพลางตะโกนว่า “หยวนเอ๋อร์ เอาชนะเขาเพื่อแม่เสีย!”
ลู่หยวนและกู่หงเฟยผู้ยืนอยู่ในลานประลองต่างตกตะลึง
ก่อนบุตรศักดิ์สิทธิ์จะพยักหน้าให้มารดา “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล”
ใบหน้าของคู่ต่อสู้น่าเกลียดขึ้นมา ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ศิษย์ของอู่หมิงเสวี่ย แต่ก็ยังนับว่าเป็นศิษย์ของสำนักอักขระสวรรค์ เจ้าสำนักไม่รักษาความยุติธรรมยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่ถึงกับสนับสนุนลู่หยวนต่อหน้าทุกคน!
หัวใจของอัจฉริยะรุ่นเยาว์ดิ่งวูบ ไม่ว่าอย่างไร …วันนี้เขาก็ต้องเอาชนะให้ได้ เขาอยากแสดงให้เจ้าสำนักอักขระสวรรค์เห็นว่า กู่หงเฟยคืออนาคตของสำนักอักขระสวรรค์!
ยันต์ในมือจำนวนมากกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาพลันเปลี่ยนไป ผ่านไปสักพัก ร่างของกู่หงเฟยจำนวนมากถึงกับปรากฏตัวขึ้นบนค่ายกล
หากมองใกล้ ๆ ก็จะเห็นภาพลู่หยวนและกู่หงเฟยอยู่ในเขตค่ายกล โดยมีร่างกู่หงเฟยมากมายยื่นมือซ้ายที่มีเส้นสีขาวปรากฏขึ้นออกไปเบื้องหน้า เส้นเหล่านี้เป็นสื่อกลางดูดพลังอันแข็งแกร่งมากมายเข้าสู่ร่าง
มันกำลังดูดกินพลังของลู่หยวนอย่างบ้าคลั่ง แม้จะสูญเสียพละกำลัง แต่ชายหนุ่มกลับไม่สนใจ เขาชำเลืองมองลานประลองราวกับกำลังสังเกตการณ์บางสิ่ง
กลิ่นอายของกู่หงเฟยยังคงแผ่ขยาย พลังอันแข็งแกร่งพลันก่อตัวขึ้น
“ขอบคุณพลังของบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ข้าใช้ค่ายกลนี้ได้!”
สิ้นเสียงดังกล่าว กู่หงเฟยจำนวนมากร่ายค่ายกลพร้อมกัน
เมื่อค่ายกลเสร็จสิ้น ทุกสิ่งรอบข้างคล้ายกับหยุดนิ่ง แม้กระทั่งอากาศก็ไม่ไหลเวียน