บทที่ 75 โชคชะตาแห่งราชวงศ์
บทที่ 75 โชคชะตาแห่งราชวงศ์
หลังจากกินอาหารเรียบร้อย เหลยโม่พลันเข้ามาพร้อมกับผู้อาวุโสจำนวนมาก เขาบอกว่าอยากสนทนากับเจ้าสำนักเรื่องพิธีแต่งตั้งนายน้อย
อู่หมิงเสวี่ยติดพันภาระ ทำให้ลู่หยวนเป็นอิสระ เขาจึงกลับไปที่ลานบ้านเพื่อพบเฉาหง เทียนเม่ยเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ
ทันทีที่ก้าวออกจากห้องโถงหลัก เขาก็เห็นศิษย์กำลังคุ้มกันประตู หลังจากเห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ เหล่าศิษย์สำนักต่างทำความเคารพทันที “คารวะนายน้อย”
ลู่หยวนพยักหน้า ตอนนี้ในสำนักอักขระสวรรค์ น้อยคนนักที่จะเรียกเขาว่านายน้อย
“มีอะไร?”
ศิษย์ตอบว่า “ศิษย์พี่ฉินเชิญท่านไปพบที่ยอดเขาวิหคคราม”
ฉินอี่หานกำลังตามหาเขางั้นหรือ?
ลู่หยวนครุ่นคิดสักพัก นางอยากขอบคุณงั้นหรือ?
ถึงอย่างไรถ้าไม่ใช่เพราะเขา นางคงไม่ได้รับการอภัยโทษอย่างราบรื่นขนาดนี้
ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก ก่อนเดินไปทางยอดเขาวิหคคราม
บนยอดเขา ลู่หยวนมองเห็นสมบัติแห่งสวรรค์นานาชนิด พลังวิญญาณที่นี่แผ่ซ่าน เมื่อสูดพลังวิญญาณเข้าไปจึงทำให้รู้สึกสดชื่น
ที่นี่ดีกว่ายอดเขาบาปสวรรค์เล็กน้อย
เมื่อลู่หยวนย่างกรายเข้าสู่ยอดเขาวิหคคราม เขาพบว่าบนยอดเขามีร่างผอมบางยืนอยู่บนศิลาสีน้ำเงิน กำลังทอดสายตาออกไปไกล
ชายหนุ่มยืนเอามือไพล่หลัง ถามว่า “ศิษย์พี่ฉินขอให้ข้ามาที่นี่ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือ?”
ฉินอี่หานหันหลัง สะกิดเท้าก่อนลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา ยืนอยู่หน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างมั่นคง
“เข้าไปคุยกัน”
ฉินอี่หานพาลู่หยวนเข้าไปในห้อง
ชายหนุ่มมองซ้ายขวา ดูการตกแต่งภายใน
บนยอดเขาวิหคครามมีที่อยู่อาศัยเพียงหนึ่งแห่ง นั่นก็คือห้องเก่าของฉินอี่หาน
ต่อให้ฉินอี่หานถูกจองจำอยู่ในยอดเขาบาปสวรรค์มาหลายปี แต่ไม่มีคนอื่นใช้ชีวิตที่นี่
ลู่หยวนมองรอบข้าง เขาพบจี้หยกบนโต๊ะในห้องทันที มันเป็นสีดำสนิท มีลวดลายสีขาวบางวูบไหวบนจี้หยก บางครั้งเส้นบางเหล่านี้จะมาบรรจบกัน เกิดเป็นอักขระแปลกประหลาด บางครั้งก็กระจายออกไปราวกับลวดลาย
ฉินอี่หานย่อมรู้ว่าสายตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์จับจ้องอยู่ที่จี้หยก นางจึงไม่ปกปิด และกล่าวตามตรงว่า “นี่คือจี้หยกที่ตกทอดมาจากตระกูลของข้า”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว หลายคนไม่รู้ว่าฉินอี่หานเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง นางถูกพาตัวมาที่สำนักอักขระสวรรค์ด้วยความบังเอิญเท่านั้น แต่ชายหนุ่มทราบดีว่านางมีโชคชะตาแห่งราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่หลับใหลอยู่
นางยอมรับด้วยตัวเองว่าจี้หยกนี้ตกทอดมาจากตระกูล หรือว่า…
ขณะชายหนุ่มครุ่นคิด ผู้ฝึกกระบี่หญิงก็หาที่นั่งลง พลางถือจี้หยกเอาไว้ในมือ และกล่าวว่า “ที่ข้าให้เจ้ามาในวันนี้ เพราะมีบางอย่างจะพูด”
ผู้ฟังหักห้ามความสงสัยไว้ในใจ ก่อนนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม “เชิญว่ามาเถิด”
ฉินอี่หานกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้อแรก การที่เจ้าปฏิบัติกับหวังเหิงในวันนี้เป็นการทำให้เขาเสียหน้า และเจ้ายังสืบทอดตำแหน่งนายน้อยอีก เรียกได้ว่าเป็นการทำลายแผนการแยบยลที่วางมาหลายปี ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาทางเอาคืนอย่างแน่นอน”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว “นั่นคือสิ่งที่อยากพูดกับข้างั้นหรือ? ไม่สมเป็นท่านเลย”
ฉินอี่หานมีคติประจำใจว่า ‘เรื่องของเจ้าไม่ใช่ปัญหาของข้า’ อยู่เสมอ ขอเพียงไม่มายุ่งเรื่องของนางมากนัก นางก็จะไม่ยุ่งเรื่องผู้อื่นเช่นกัน
วันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ?
ฉินอี่หานถึงกับกังวลว่าเขาจะถูกหวังเหิงโต้กลับเช่นนี้?
“แล้วก็เรื่องที่สอง”
นางกล่าวต่อว่า “ข้าสงสัยว่าเขาคือสายลับของราชวงศ์อู๋ซวงในอาณาจักรประจิม ข้าอยากร่วมมือกับเจ้าเพื่อฆ่าเขา”
“ราชวงศ์อู๋ซวงหรือ?”
ลู่หยวนอ่านชื่ออีกครั้ง มีราชวงศ์อยู่ในอาณาจักรประจิมจริง ราชวงศ์นี้นับว่าเคยทรงพลังมาก่อน แต่ช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา เกิดความขัดแย้งภายในของราชวงศ์นี้
ในความขัดแย้งภายในนี้ ยอดฝีมือจำนวนมากถูกสังหารไป ความแข็งแกร่งโดยรวมของราชวงศ์อู๋ซวงตกต่ำลงไปมาก
หลังสิ้นสุดความขัดแย้งภายใน ราชวงศ์แห่งนั้นค่อย ๆ หลีกเร้นจากสายตาของผู้คน และซ่อนตัวจากโลก
ราชวงศ์…
ความขัดแย้งภายใน…
ลู่หยวนหรี่ตา เขาได้คำตอบอยู่ในใจแล้วจึงเงยหน้าขึ้น สายตาสบเข้ากับฉินอี่หาน
ทว่าอีกฝ่ายพูดขึ้นเสียก่อน “ข้าคือองค์หญิงใหญ่ของอดีตราชันแห่งราชวงศ์อู๋ซวง”
ฉินอี่หานวางจี้หยกตรงหน้าชายหนุ่ม “จี้หยกนี้คือสัญลักษณ์แทนตัวตนข้า”
ลู่หยวนตรวจสอบจี้หยกอย่างละเอียด จากนั้นวางไว้ด้านข้าง
“การฆ่าหวังเหิงอาจไม่ทำให้ท่านพึงพอใจก็ได้”
“เป้าหมายสูงสุดของท่านคือขอให้ข้าใช้พลังของตระกูลลู่กับสำนักอักขระสวรรค์เพื่อแก้แค้น จนถึงขั้นขึ้นครองบัลลังก์”
ฉินอี่หานไม่เขินอายแต่อย่างใด “ใช่ นี่คือเป้าหมายสูงสุดของข้า”
ลู่หยวนยิ้มออกมา “ถึงแม้ราชวงศ์อู๋ซวงจะตกต่ำไปแล้ว แต่อูฐผอมก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า*[1] ต่อให้ใช้พลังทั้งหมดของตระกูลลู่และสำนักอักขระสวรรค์เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของท่าน ข้าเกรงว่าสิ่งที่ท่านต้องจ่ายมันจะมากเกินไป”
“ทำไมศิษย์พี่ถึงคิดว่าข้าจะตอบตกลงด้วย?”
“เพราะมีศพของบรรพชนเผ่ามารตนหนึ่ง ถูกเก็บซ่อนอยู่ในราชวงศ์อู๋ซวงอย่างไรล่ะ”
เสียงของฉินอี่หานต่ำลง ทั่วห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด
ลู่หยวนเงยหน้าขึ้น จิตสังหารในดวงตาปรากฏขึ้นราวกับแม่น้ำและทะเลที่ท่วมท้นเข้ามา
เพียงพริบตา จากใต้พื้นห้อง หลายสิบค่ายกลพลันปรากฏขึ้นมา ปิดกั้นห้องทั้งหมดเอาไว้
ชายหนุ่มพลันขยับตัว พุ่งไปคว้าคอของฉินอี่หานเอาไว้ เขากดนางติดกับกำแพง จิตสังหารหนักอึ้งถูกเค้นออกมาจากกายชายหนุ่ม “ศิษย์พี่รู้งั้นหรือ?”
สีหน้าของฉินอี่หานยังคงไม่แปรเปลี่ยน ขณะนี้คล้ายมีมือขนาดใหญ่ที่ตัดสินความเป็นความตายของผู้คนกุมลำคอของนางเอาไว้
“ข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน”
“เจ้าอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เมื่อห้าปีก่อน ทันทีที่เจ้าก้าวเข้าสู่โถงลับ ยันต์ที่ข้องเกี่ยวกับสายเลือดมารถูกกระตุ้นขึ้นมา”
“คนธรรมดาย่อมไม่รู้ แต่ข้าผู้เกิดมาพร้อมกับยันต์จะสัมผัสไม่ได้เชียวหรือ?”
จิตสังหารของลู่หยวนเด่นชัดมากขึ้น เขาแค่ออกแรงเล็กน้อย มนุษย์ผู้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาคนนี้ก็จะหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์
ทั้งสองมองหน้ากันอยู่พักใหญ่…
ผ่านไปหลายอึดใจ ลู่หยวนจึงปล่อยมือ ทำให้ฉินอี่หานตกลงสู่พื้น นางไอออกมาจนหายใจติดขัดเล็กน้อย
ชายหนุ่มถามว่า “บอกมา ศิษย์พี่จะทำอย่างไรเพื่อให้ข้าสบายใจได้?”
ฉินอี่หานทำถึงขนาดนี้ เท่ากับสร้างข้อแลกเปลี่ยน
ลู่หยวนช่วยนางแก้แค้นแล้วชิงบัลลังก์ ส่วนนางต้องมอบศพของบรรพชนเผ่ามารให้
แต่ที่ขาดไปก็คือ ความเชื่อใจในการร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย
“แค่ก ๆๆ”
ฉินอี่หานไอหลายครั้ง ในที่สุดก็สงบลงได้ นางยืนขึ้นก่อนจะหยิบยันต์ออกมา อักขระบนยันต์ซับซ้อน ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสีดำทมิฬ มองปราดเดียวก็บอกได้ว่ายันต์ใบนี้รับมือได้ไม่ง่าย!
ลู่หยวนชำเลืองมอง แววตาของเขาเผยความซับซ้อนออกมา จิตสังหารทั่วทั้งร่างเมื่อครู่หายไปเล็กน้อย
“ยันต์จองจำวิญญาณเก้าโคจรหรือ?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองฉินอี่หาน “ศิษย์พี่อยากใช้สิ่งนี้หรือ?”
ฉินอี่หานยิ้มเล็กน้อย “มีเพียงการใช้สิ่งนี้ถึงจะทำให้เจ้าวางใจ หรือไม่จริง?”
ยันต์จองจำวิญญาณเก้าโคจร คือยันต์ที่ใช้กักขังวิญญาณ
คนที่โดนยันต์นี้เข้าไป จะทำให้วิญญาณของคนผู้นั้นตกอยู่ในกำมือของผู้อื่น
ความเป็นความตาย การกระทำ และคำพูดจะถูกควบคุม
ยิ่งกว่านั้น ยันต์ใบนี้ไม่มีทางคลายได้ คนที่โดนยันต์นี้เข้าไปจะอายุขัยสั้นลงเป็นอย่างยิ่ง
ยันต์จองจำวิญญาณเก้าโคจรคือยันต์วิชาต้องห้าม ถูกสะกดไว้ในพื้นที่ต้องห้ามโดยบรรพชนของสำนักอักขระสวรรค์
ลู่หยวนเพียงเคยเห็นสิ่งนี้ในตำรา แต่ไม่คิดว่าจะได้พบของจริงในวันนี้
ฉินอี่หานส่งยันต์ให้ลู่หยวน “ข้าขอเพียงสองอย่างเท่านั้น หนึ่งฆ่าหวังเหิง สองฆ่าราชันคนปัจจุบันของราชวงศ์อู๋ซวง!”
[ระบบแจ้งเตือนขอแสดงความยินดีกับท่านที่เปิดใช้งานโหมดช่วงชิงโชคชะตาราชวงศ์!]
[หากท่านช่วยฉินอี่หานขึ้นครองบัลลังก์ ย่อมได้เพลิดเพลินกับค่าชะตาของราชวงศ์อู๋ซวง!]
[1] ความหมายคือ คนมีฐานะหรือบารมี หากประสบความลำบากก็ยังคงดีกว่าคนที่ยากจนเป็นทุนเดิม