ระบบศัลยแพทย์ในยุคสิ้นโลก ตอนที่ 105 บุตรแห่งความโชคร้าย
กู้จวินเพ่งดูรูปถ่ายในห้วงของจิตใจอีกครั้ง แต่เขากลับไม่รู้สึกว่ามันเป็นการศัลยกรรมหรือตกแต่งรูปเลย ใบหน้าเหล่านี้ดูเหมือนกันอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกคนในภาพล้วนแต่ทําท่าทางที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะกระพริบตา เหล่มองด้านอื่น หรือแม้แต่มองต้นหญ้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่น่าจะใช่การแต่งรูป ส่วนเรื่องศัลยกรรม เขาไม่แน่ใจว่ายุคโบราณมันจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ศัลยกรรม’ ไหม?
แล้วมันเป็นยังไงกันแน่? กู้จวินมองไปที่เหล่าผู้คนที่ปรากฏตัวในรูปและรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลยที่มีคนหลายสิบคนมองกลับมาที่เขาด้วยแววตาเย็นชาแม้จะไม่ใช่คนจริงก็ตาม…เขานับจํานวนคนในรูปถ่ายได้ 52 คน ซึ่งก็เยอะพอดู!
กู้จวินจําชายในชุดสีแดงได้จากนิมิตของเขา ซึ่งเขาเป็นชายที่ตัดแขนและสังเวยคนให้กับต้นไทร ปานนี้กู้จวินก็จําได้ไม่มีวันลืม เขามีสัดส่วนใบหน้าเท่ากันกับผู้คนอีกห้าสิบเอ็ดคนที่กําลังคุกเข่าอยู่ข้างๆเขานั่นแหละ และทุกคนกําลังนั่งคุกเข่าอยู่เยื้องๆกับต้นไทร
แต่คนกลุ่มนี้นั้นไม่ใช่ ‘พนักงานต้อนรับ’ พนักงานต้อนรับที่ว่านั่นไม่ได้อยู่ในรูปถ่าย เขาเป็นคนที่แตกต่างจากคนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง
กู้จวินเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน เขาคิดถึงรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวและคําพูดที่น่าขนลุกที่ “ พนักงานต้อนรับ” เคยพูดกับเขาที่ตรอกแห่งหนุ่งในเมืองชิงหยุน
แม้ผ่านมานานแต่คําพูดนั้นก็ยังคงปรากฏอยู่ในความคิดของเขา
“ ฉันเป็นคนที่ไม่สําคัญ เป็นคนที่จัดการง่าย เป็นใครบางคนที่คุณสามารถมองเห็นได้ แต่ก็เหมือนกับมองไม่เห็น
ตอนนี้เขาคิดย้อนกลับไปถึงน้ำเสียงที่ชายคนนั้นใช้ น้ำเสียงนั่นชัดเจนว่าเป็นการดูถูก เหยียดหยาม หรือแม้กระทั่งเยาะเย้ย!
และพอเห็นรูปภาพนี้ ณ บัดนี้
กู้จวินก็ได้ตระหนักแล้วว่ามันเป็นดั่งคําพูดที่พนักงานต้อนรับคนนั้นพูดจริงๆ และเขาก็ถูกพนักงานต้อนรับคนนั้นเยาะเย้ย
ต่อให้เขาเห็นชายคนนั้นอีกรอบหนึ่งเขาก็ไม่สามารถแยกแยะออกได้…เพราะทุกคนนั้นมีหน้าตาเหมือนกันไปหมด!
นี่ยังไม่นับเรื่องที่เขาเหมือนจะจําได้คลุมเครือว่าเขาเคยเห็นชายคนนี้มาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ผู้ชายที่สุขสภาพย่ำแย์ใกล้ผอมตายในความทรงจําอันเลือนลางของเขานั้นจะเป็นคนเดียวกับพนักงานต้อนรับจริงๆหรือ?
“ บริษัทไล่เฉิง ไล่เฉิง…” กู้จวินพึมพําหลายครั้งและท่องชื่อบริษัทไปมา “ ความหมายเบื้องหลังชื่อนี้คืออะไรกันแน่?”
คําถามนี้วนเวียนอยู่ในใจของเขาหลายครั้ง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจ!
เขาเคยค้นเจอว่า ‘ไล่เฉิง’ เป็นสายพันธุ์ของพืชผักปาที่คนจนกินบ่อยๆ ในสมัยโบราณ นี่คือความหมายตามพจนานุกรมที่เขาอุตส่าห์สืบหาและเทียบอักษรมาหลายๆรอบ
แต่เมื่อกู้จวินได้มองภาพนี้ เขาก็รู้สึกถึงความคิดที่คลุมเครือแบบแปลกที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างเงียบงัน
“ จะเป็นอย่างไร? ถ้า“ ไล่เฉิง” ไม่ได้นับตามอักษร แต่มองเป็นเพียงคําพ้องเสียงแทน? ถ้านับแบบนั้นแล้วมันจะหมายถึง “ชีวิตหลังความตาย”?”
ชีวิตนี้ ชาติหน้า ชาติก่อน…ชีวิตของมนุษย์ทุกคน…แม้จะตายจนวิญญาณดับสูญ แต่เมื่อถึงจุดๆหนึ่งพวกเขาก็จะมาเกิดใหม่…ใช้ชีวิตแบบใหม่วนเวียนไปไม่รู้จบ
บ้างก็ว่าผู้คนล้มตายจะต้องไปจุติในนรก…จากนั้นก็ผ่านช่องทางการเกิดและมาเกิดใหม่เป็นบุคคลใหม่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในชาติภพใหม่นั่นเอง
และภาพที่กู้จวินเห็น… เมื่อเห็นภาพของบุคคลที่มีใบหน้าเดียวกันทั้งรูป กู้จวินก็คิดถึงต้นไม้ ต้นหนึ่งที่ออกผลไม้มาแบบเดียวกัน แม้มันจะมีรูปร่างที่แตกต่างกันก็ตาม
คล้ายกับต้นส้ม ที่แม้จะมีลูกใหญ่ ลูกเล็ก ลูกอัปลักษณ์และลูกที่สวยงาม ใช่แล้วท้ายที่สุดพวกมันก็คือส้ม และมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเกือบทั้งหมด…
“ไล่เฉิง ชีวิตหลังความตาย…ลัทธิชีวิตหลังความตาย?” ทันใดนั้นกู้จวินนึกออก หลังจากลงทุนพร่ําบ่นชื่อของบริษัทไล่เฉิงมานานแสนนานและความรู้สึกบ้าคลั่งในใจของเขาก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ บางสิ่งที่ฝังอยู่ในจิตใต้สํานึกส่วนลึกของเขากําลังดิ้นรนเพื่อที่จะตื่นขึ้น
พวกคนเหล่านี้จากลัทธิชีวิตหลังความตาย พวกแสวงหาความแข็งแกร่งจากใต้ทะเลและเรียกสิ่งที่ไม่รู้จักอยากมนุษย์ต้นไทร แต่พวกเขากําลังไล่ตามอะไรกันแน่? หรือจะเป็นความเป็นอมตะ?
กู้จวินรู้สึกว่าเขาเป็นเรือที่โดดเดี่ยวในทะเลกว้างใหญ่ที่พยายามหาชายฝั่งและในที่สุดก็สามารถมองเห็นแสงสลัวจากประภาคารในระยะไกลได้ มันดูเหมือนว่าเขาจะพบทิศทางที่ถูกต้องในการเข้าฝั่งแล้ว แต่เมื่อเขาขับเรือเข้าไปใกล้สิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้ากลับเป็นหมอกหนาทึบที่โอบล้อมทุกสิ่ง…จากนั้นเขาก็หลงทางอีกรอบหนึ่ง!
เขามองดูรูปนี้เป็นเวลานาน และใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นานก่อนที่เขาจะปิดมันลง แต่ดวงตาของเขายังคงฉายแววมุ่งมั่น
“ ฉันต้องหาวิธีที่จะทําให้ภาพนี้กลายเป็นภาพลวงตา ฉันต้องเข้าใจให้ได้ว่าความจริงคืออะไร”
หลังจากที่กู้จวินตั้งปณิธานไว้ในใจแล้ว เขาก็ตัดสินใจหลับตาและเข้านอนแม้จะตาสว่างไปนานเนินแล้วก็ตาม
เขาต้องฟื้นฟูจิตวิญญาณ ฟื้นคืนพลัง พักสมองของเขาเพื่อรับมือกับสิ่งที่ไม่รู้จักต่อในวันต่อๆไปอีก กู้จวินปรับการหายใจและละทิ้งความคิดที่ว้าวุ่นใจเพื่อหลับไหลในความมืดมิด
และหลังจากนั้นราวๆ 10 นาที ก็มีเพียงผ้าห่มแห่งความเงียบห้องนอนและเงียบต่อไปเรื่อยๆ ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นมันจะนานแค่ไหน แต่กู้จวินคล้ายกับตกอยู่ในฝันร้ายที่ยากจะตื่น
เขาได้ยินเสียงกระซิบลึกลับซึ่งยากที่จะเข้าใจ บางครั้งมันก็พูดด้วยเสียงสูง แต่บางค รั้งมันก็พูดด้วยเสียงที่ต่ำอย่างหาที่เปรียบมิได้
ดูเหมือนว่าเขากําลังเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยโคลน และกําลังเดินหน้าเข้าไปหาต้นไทรขนาดมหึมา
จากนั้นเสียงกระซิบก็ดังขึ้นในหูของเขา
และทันใดนั้นเขาก็เข้าใจคําพูดเหล่านั้นขึ้นมาในทันที
“เจ้าเป็นบุตรแห่งความโชคร้าย เจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สกปรก โง่เขลาน่าสมเพชน่าน่า รังเกียจ..”
เสียงพูดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในสมองไม่เคยขาดตอน ทําให้ราตรีที่ควรจะเงียบสงบ กลายเป็นค่ำคืนหฤโหดที่เต็มไปด้วยฝันร้าย กู้จวินที่น่าสงสารที่ทั้งหมดแรงและเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินอยู่ในความฝันเพียงลําพัง ร่างกายของเขากระตุกเป็นช่วงๆ คล้ายกับว่าฝันร้ายนั้นได้ทําร้ายจิตใจเขาอย่างยิ่ง และเวลาก็ได้ดําเนินต่อไปจนกระทั่งได้เวลาตื่นนอน
เมื่อกู้จวินตื่นจากฝันร้าย ก็มีประโยคแปลกๆ ประโยคหนึ่งอยู่ในใจของเขา เขาจําความหมายของประโยคได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือมันไม่ใช่ภาษาที่เขารู้จักเลย แต่เขาดันฟังรู้เรื่องได้!?
นั่นเป็นเพียงความฝันร้ายใช่หรือเปล่า? ฝันร้ายที่แค่สะเดาะเคราะห์ก็หายไปใช่หรือไม่!? เป็นเรื่องที่คิดไปเองเพียงฝ่ายเดียว
เป็นเรื่องธรรมดาของเหล่าเด็กที่เป็นทาสแห่งการแพทย์ พวกเขาย่อมได้เรียนวิทยาศาสตร์ มาอย่างเข้มงวด และทุกคนจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง
ดังนั้นแล้วความรู้ที่ได้เรียนมามันก็ย่อมส่งผลต่อชีวิตประจําวัน ดั่งที่ในวิชาเรียนได้กล่าวไว้ ความฝันก็คือการตกตะกอนของความคิดของสมองของเราเอง มันคือโลกที่ไม่มีจริง
กู้จวินก็เคยคิดเช่นนั้น จนกระทั่งเขาได้พบกับฝันร้ายที่มีต้นไทรโบราณที่ใกล้แห้งแล้งอยู่ที่นั่น มีเด็กชายที่หน้าตาเหมือนกับศพเด็กที่ถูกดองอยู่ในห้องเก็บศพ นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยเชื่อว่ามันเป็นความฝันธรรมดาอีกต่อไปเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นนิมิตอีกรูปแบบหนึ่ง
เมื่อพูดถึงเรื่องภาพในความฝัน จริงๆมันเป็นหัวข้อหนึ่งของการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์อาจจะเพราะมันน่าสนใจและมีความหลากหลาย ดังนั้นความฝันที่ไม่เคยเป็นจริงจึงได้กลายเป็น หัวข้อวิจัยของสาขาวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะและมีทฤษฎีต่างๆ มารองรับมากมาย
แม้กระทั่งเหล่านักวิจัย นักปรัชญา บัณฑิตและผู้มีความรู้ทั้งหลายต่างก็เอาความฝันมาวิเคราะห์จากนั้นก็บรรยายและระบุว่าความฝันคืออะไรกันแน่ตามแง่คิดของแต่ละคน
ท่านอ๋องคนหนึ่งในยุคโจวก็เคยพูดถึงเรื่องความฝันเช่นกัน เขานั้นเป็นนักปราชญ์คนหนึ่ง และเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีอํานาจมากในสมัยนั้น เขากล่าวว่าความฝันของบุคคลจะช่วยสะท้อนถึงโชคลาภและชะตากรรมชั่วชีวิตของเขา ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมายอย่างเช่น กําเนิดของวีรบุรุษที่มารดาของวีรบุรุษนั้นมักฝันถึงมังกร หรือ วันเกิดของวีรสตรีที่เชื่อกันว่าหงส์จะมาเกิด
ในขณะที่ซิกมุนด์ฟรอยด์มีมุมมองที่แตกต่างกันจากท่านอ๋องโจวอย่างสิ้นเชิง เขาเป็นหนึ่งในผู้คิดค้นทฤษฎีทางจิตวิทยา เขาคิดว่าจิตใต้สํานึกของคนสามารถเข้าใจได้ด้วยการตีความความฝัน…ซึ่งมันต่างจากฝันบอกอนาคตของอ๋องโจวโดยสิ้นเชิง
แต่สําหรับกู้จวิน เขาเชื่อว่าทฤษฎีข้อโต้แย้งของทั้งสองคนมีเหตุผล ปีนี้ชะตากรรมของเขาเลวร้ายมาก และเขาเชื่อว่าจิตใต้สํานึกของเขาจะต้องผิดปกติอย่างแน่นอน
จากนั้นคําถามแปลกๆก็วกกลับมา
ถ้าเป็นฝัน…แล้วใครกันที่กระซิบกับเขา?
“ บุตรแห่งความโชคร้าย?” เจ้านั่นคือใคร?
“ เป็นไปได้ไหม.ต้นไทรกําลังเรียกตัวเองว่า “บุตรแห่งโชคร้ายและพูดกับฉัน” สมมติฐาน ที่นึกไม่ถึงผุดขึ้นในใจของกู้จวิน มันเป็นเรื่องไกลตัวแต่ก็เป็นไปได้ ท้ายที่สุดแล้วเสียงนั้นก็มาจากทิศทางของต้นไทร…เขาจะคิดว่าต้นไทรเป็นบุตรแห่งความโชคร้ายก็ไม่แปลก
เป็นครั้งแรกที่การนอนของเขานั้นเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย….ปกติคนเรา ต้องนอนเพื่อพักผ่อนไม่ใช่เหรอ?
แต่สําหรับเขาการนอนเมื่อคืนนี้ไม่ได้ช่วยให้หายเหนื่อยเลย ในทางตรงกันข้ามเขาเกือบจะบ้าตายเพราะมัน
แม้เขาจะเจ็บปวดตึงเครียดมากเพียงใด แต่เช้าตรูได้มาถึงแล้ว กู้จวินจึงทําได้แค่ลุกขึ้นจาก เตียงไปจัดการตัวเองให้เสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็วางแผนที่จะมุ่งหน้าไปที่ศูนย์ฝึกเพื่อเข้าเรียนตามปกติ