ตอนที่ 106 ประเมินจิตวิทยา
การฝึกฝนอบรมได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง…และทุกคนก็ทยอยกันฝึกฝนตามโปรแกรมเดิมจนในที่สุดก็ครบ 2 สัปดาห์ตามที่ได้วางแพลนเอาไว้ และในเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่สงบหลังพายุเข้าทาง เฟคต้าไม่มีการรับผู้ป่วยโรคมนุษย์ต้นไทรเข้ามาอีกเลย ราวกับว่าทางเฟคต้าต้องการเวลาเพื่อฝึกฝนเด็กรุ่นใหม่ให้มีความสามารถมากขึ้นและปรับปรุงแผนกการแพทย์เองให้มีสเถียรภาพ และในที่สุดหลังจากเรียนมาพักใหญ่ก็ครบหนึ่งเดือนตามที่กําหนดเอาไว้อย่างพอดี บัดนี้เหล่านักศึกษาแพทย์ระดับหัวกะทิกําลังจะสิ้นสุดการฝึกฝนในระยะยาว
“ ทําได้ดีมากทุกคน ผลงานเดือนนี้ของพวกเธอสูงมากกว่ารุ่นไหนที่ฉันเคยสอน! และต่อไปก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย…” โจวเจียเฉียงประกาศผลการฝึกด้วยความตื่นเต้น “ เนื่องจากการเรียนและผลงานที่ยอดเยี่ยมของพวกเธอ คณะกรรมการได้ตัดสินใจที่จะเลื่อนขั้นให้ทุกคนเป็นสมาชิกระดับ G ของเฟคต้า! แต่ก่อนหน้านั้นพวกเธอยังต้องผ่านการประเมินสภาพจิตใจของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องห่วง แค่ทําตามขั้นตอนทุกอย่างจะดีเองเชื่อฉัน!” โจวเจียเฉียง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความร่าเริง
แน่นอนว่าคนอย่างไช่ฉีซวนและคนอื่น ๆ ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการนั่งสัมภาษณ์อีกเพราะเคยชินแล้ว ถึงกระนั้นพวกเขาก็สงสัยเกี่ยวกับเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังมากกว่าว่าทําไมถึงขั้นตอนเยอะแยะแบบนี้!
ในทางกลับกันความวิตกกังวลแบบนี้กลับไปเกิดที่ตัวกู้จวินแทน กู้จวินมีสีหน้าแตกตื่นทันที เขารู้ว่าการประเมินจะรวมถึงการทดสอบจิตใต้สํานึกด้วย คราวก่อนเขาวาดประโยคคําภาษาต่างโลกออกมา แล้วคราวนี้จะเกิดอะไรขึ้น? พูดอย่างตรงไปตรงมา เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน สิ่งที่อยู่ใต้จิตสํานึกของเขา…เขาไม่รู้เกี่ยวกับมันอย่างสิ้นเชิง
แต่ทั้งหมดมันก็เป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้! พอกู้จวินนึกถึงเรื่องนี้สมองของเขาก็เชื่อมโยงไปยังนิมิตแบบอัตโนมัติโดยที่ไม่ต้องถามไถ่ นิมิตครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นก็คือนิมิตบูชายัญต้นไทร และหลังจากที่ได้รูปถ่ายมา เขาก็พยายามทําทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดนิมิต ไม่ว่าจะเป็นฝึกฝนอย่างหนักหรือ ทําลับล่อๆ ด้วยการแอบเดินเล่น เขาเพียรร่ำเรียนและแสวงหาแต่สิ่งแปลกๆ แต่ทั้งหมดที่เขาทํา นั้นมันไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย เขาไม่รู้สึกถึงนิมิตที่เกี่ยวข้องกับภาพถ่ายขาวดําแม้แต่น้อย จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจต้องเดินทางไปที่ริมชายหาดที่มีต้นไทรจริงๆ ไม่งั้นชาตินี้นิมิตอาจจะไม่ เกิด
หลังจากที่พูดคุยทุกอย่างและนัดแนะกําหนดการณ์เสร็จ พี่ชายเฉียงก็ตัดสินใจพาพวกเขา ทุกคนเดินไปยังสถานที่ประเมิน ในระหว่างที่เดินพี่ชายเฉียงก็อธิบายรายละเอียดอย่างกระตือรือร้น การทดสอบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับบุคลิกภาพของพวกเขาเหมือน แต่ก่อน มันคือการเข้าใจ มากขึ้นเกี่ยวกับสภาพจิตใจและจิตใต้สํานึกของพวกเขาโดยละเอียด
“ สมาชิกเก่าๆ ของเฟคต้าเรียกการทดสอบนี้ว่าการประเมิน S เนื่องจากเป็นการทดสอบจิตวิญญาณของเรา และเริ่มต้นด้วยตัวอักษร S เมื่อฉันมาที่นี่ครั้งแรก ชื่อนี้ก็ได้ถูกใช้ไปแล้ว ที่สําคัญไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้บัญญัติศัพท์นี้ แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะตั้งตามชื่อของการทดสอบนะ…เป็นไง? นี่คือหนึ่งในตํานานเมืองของเฟคต้าเลยล่ะ” พี่ชายเฉียงหัวพร้อมกับเล่าเรื่อง
โจวเจียเฉียงพูดคุยกับนักศึกษาทุกคนอย่างเป็นกันเองและดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก ทําให้อารมณ์ของพวกเขายังดีอยู่ ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนตอนสอบเข้าเฟคต้าแต่อย่างใด
แต่ข้อมูลที่พี่ชายเฉียงพูดขึ้นมานี้ไม่ได้ถูกจํากัดเป็นความลับแต่อย่างใด และทุกคนที่อยู่ที่นี่ ได้รับอนุญาตให้เรียนรู้ไปแล้วเรียบร้อย ในขณะที่กู้จวินฟังเขาก็ยิ้มเยาะที่ทุกคนไม่รู้เรื่องนี้เลย
กู้จวินลองคิดดู ค่า S นี่คงหมายถึงความมีสติ…คงเป็นการทดสอบว่าพวกเขาสามารถคงสติไว้ได้นานแค่ไหนโดยไม่หลงใหลและคล้อยตามไปกับสิ่งยั่วยุ
“ พี่เฉียงครับ ผลของการประเมิน S จะเป็นค่าตัวเลขด้วยใช่หรือเปล่าครับ!?” ซุนอี้เหิงถามคําถามที่วนเวียนอยู่ในใจของทุกคน
“ ใช่แล้ว” ในขณะที่พวกเขากําลังเดินไป โจวเจียเฉียงก็ถือโอกาสอธิบายเพิ่มเติม
“ มันเป็นตัวเลขค่าเฉลี่ยรวมกัน พวกเธอก็รู้ว่างานในเฟคต้านั้นทําให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อสุขภาพจิตของเราแค่ไหน อีกทั้งยังแทบทุกวัน บ่อยครั้งที่เราต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดอาการจิตตก และสิ่งนี้จะต้องใช้เวลาในการรักษาฟื้นฟูและฟื้นตัว มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะเลวร้ายอย่างมาก” โจวเจียเฉียงอธิบายด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ต่างจากตอนแรกโดยสิ้นเชิง
ในขณะที่พวกเขากําลังพูด พวกเขาก็เข้าไปในอาคารส่วนหน้าของแผนกการสัมภาษณ์และ การประเมินเรียบร้อย จากนั้นพี่ชายเฉียงก็นําคณะของนักศึกษาทั้งหมดไปที่ชั้น 2 หลังจากทักทายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสร็จ ทุกคนก็เข้าไปในลิฟท์จากนั้นโจวเจียเฉียงก็พูดต่อ
“ ค่า S บ่งบอกถึงความมีเหตุมีผล ความพากเพียร จิตวิญญาณ ฯลฯ โดยผลรวมทั้งหมดจะอยู่ที่ 100 คะแนน ตามปกติแล้วยิ่งสูงยิ่งดี หากคะแนนต่ำกว่า 70 เธอจะต้องได้รับการรักษาและ จะได้รับภาระงานลดลง หากต่ำกว่า 50 คะแนน พวกเขาจะส่งเธอไปเที่ยวและได้รับวันหยุดภาคบังคับ และถ้าหากยังต่ำกว่านั้นติดๆกันล่ะก็…ที่นี่ก็จะไม่ใช่ที่ของเธออีกต่อไป”
แม้เขาจะกําลังร่าเริง แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าพี่ชายเฉียงกําลังทําให้มันดูเหมือนไม่ยากแต่แท้จริงแล้ว พวกเขามองหน้ากันเงียบ ๆ แล้วคิดถึงสิ่งที่เรียกว่า “ วันหยุดภาคบังคับ” หมายถึงการเลิกจ้างทันทีหรือไม่?
ค่า S นี้คงจะเข้มงวด!
“ พวกเธอไม่ต้องเสแสร้งหรอก ถ้าเธออยู่ในสภาพดีนั่นก็ดีสําหรับเธอเอง”
น้ำเสียงที่เคร่งขรึมมากขึ้นสอดแทรกคําพูดที่สนุกสนานของโจวเจียเฉียง ในขณะที่เขาเน้นย้ำซ้ำ ๆ ราวกับกลัวคนไม่เข้าใจ
“ แม้ว่าเธอจะหลอกคนประเมินได้ แต่ท้ายที่สุดคนที่ต้องเจ็บปวดในภายหลังก็คือ ตัวของเธอเอง เธอไม่จําเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทําหรอกและอย่าปิดบัง เพียงแค่พวกเธอแสดงสถานะที่แท้จริงของตัวเองออกมา หากเธอประสบปัญหาจริงๆ เธอก็สามารถเข้ารับการรักษาที่ดีที่สุดได้อย่างรวดเร็ว พวกเราทุกคนกําลังเรียนแพทย์ เราทุกคนเข้าใจเหตุผลว่าทําไมเราจึงต้องได้รับการรักษาทันที เข้าใจไหม?”
“เข้าใจครับ” ไช่ฉีชวนพยักหน้าเห็นด้วยกับโจวเจียเฉียงทันที เพราะโจวเจียเฉียงพูดถูกการรักษาอย่างทันท่วงที่มีความสําคัญสูงสุดเสมอ
“อาจขึ้น รั่วเชียง อี้เหิง” โจวเจียเฉียงพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ขึงขัง “ โดยเฉพาะพวกเธอสามคน พวกเธอเคยมีส่วนร่วมในการผ่าตัดจริง เป็นเรื่องปกติที่จะมีความสุขหลังจากการผ่าตัดสอง สามครั้งแรก แต่พวกเธอไม่จําเป็นต้องเก็บไว้ในใจ พวกเธอสามารถพูดระบายได้ในภายหลัง”
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ” หวังรั่วเชียงยิ้มอย่างเมินเฉยแล้วพูดต่อ “ ตอนนี้ฉันไม่มีความ เครียดใดๆ แล้วค่ะ นี่มันก็เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนเข้าไปแล้ว ต่อให้มีดบาด…ปานนี้ก็น่าจะหาย”
เมื่อได้ยินคําพูดของ “สตรีเหล็ก” ทุกคนต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน ซึ่งมุกตลกของเธอทําให้หัวใจของพวกเขาอบอุ่น
“ มีดบาด? หมายถึงกรรไกรตัดเล็บที่บาดเล็บใช่ไหม?” กู้จวินได้ที่ก็ต่อมุก คราวนี้เหล่าเพื่อนๆก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป…พวกเขาหัวเราะดังลั่นทันที
เมื่อเห็นสภาพจิตใจที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา โจวเจียเฉียงก็สบายใจได้ในระดับหนึ่ง จากนั้นโจวเจียเฉียงก็นําทางพวกเขาออกจากลิฟต์แล้วเดินผ่านทางเดินสองสามทางก่อนที่จะหยุดอยู่หน้า พื้นที่รอก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์ และคนแรกที่ได้รับการประเมินคือ หวังรั่วเซียง ซุนอี้เหิงและ ไช่ฉีซวน ดังนั้นทั้งสามคนจึงเข้าไปในห้องของแต่ละคนก่อน
ในขณะที่กู้จวิน เจียงบันเชี่ยและคนอื่น ๆ กําลังนั่งบนเก้าอี้ด้านนอกและคุยกับโจวเจียเฉียงในระหว่างที่พวกเขารอ
โดยปกติแล้วกู้จวินหวังว่าเขาจะผ่านการทดสอบโดยไม่มีปัญหา เพราะมันไม่เพียงแค่มันจะเป็นความคืบหน้าในการค้นหาความจริงของเขา
เพราะในที่สุดหัวใจของเขาก็พบว่าบ้านของเขาคือที่นี่ บางทีความอบอุ่นที่เขาได้พบจากพี่ชายเฉียง ศัลแพทย์รู้และเหล่าเพื่อนๆ มันอาจจะเป็นอะไรที่เขาตามหามาตลอดก็เป็นไปได้
นับตั้งแต่วันที่ครอบครัวของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเขาได้อายุ 10 ขวบ และเขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนน่าอยู่เหมือนอยู่บ้านอีกเลย แต่ตอนนี้ความรู้สึก ‘บ้าน’ มันกําลังกลับมาหาเขาอีกครั้ง
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ไช่ชวนก็ออกมาจากห้อง ในขณะที่เขาออกมาเขา คร่ำครวญอย่างสบายใจ “ ตอนนี้หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความสุขและความสบายใจอย่างอธิบายไม่ได้”
ฮะ? นี่ไม่ใช่การประเมิน S ใช่หรือไม่? เขาไปเพื่ออะไร? เข้าสปา? อาบอบนวด?
อย่างไรก็ตามกู้จวินไม่แปลกใจ! ถ้าฉีซวนไม่สามารถผ่านไปได้ ทุกคนในที่นี้ก็ไม่สามาร ถผ่านพ้นไปได้เช่นกัน
หลังจากที่เขาออกมา ไช่ฉีชวนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่านี้และถูก พี่ชายเฉียงดึงตัวออกไป หลังจากผ่านไปกว่าสิบนาที ซุนอี้เห้งและหวังรั่วเซียงก็ทําแบบทดสอบเสร็จแล้วเมื่อพวกเขาเดินออกมาจากห้อง…พวกเขาทั้งหมดดูสบาย ๆ และมีโอกาสสูงที่จะผ่านไปได้โดยไม่ยาก
ในเวลานี้เองเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาสั่งให้กู้จวินเข้าไปในห้องตรวจสอบที่หวังรั่วเซียงเพิ่งออกมา
กู้จวินก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในประตูที่เปิดอยู่ทันควัน
ห้องประเมินแตกต่างจากห้องสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง มันมีขนาดกว้างขวาง และหรูหรามากขึ้นด้วยแสงไฟหรี่ที่มีโทนสีอบอุ่น ตรงกลางห้องเป็นที่เอนกาย ทดสอบพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์มากมาย คณะกรรมการสามคนก่อนหน้านี้ไม่อยู่ มีเพียงหญิงวัยกลางคนที่กําลังยิ้มอย่างเป็นมิตรนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ เก้าอี้ผู้ป่วยแบบเอน
และเมื่อเธอเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา เธอจึงลุกขึ้นและแนะนําตัวเองอย่างอบอุ่น
“ กู้จวินมานั่งตรงนี้สิ ฉันเป็นผู้ประเมินชื่อ เหลียงเจียหุย เรียกฉันว่าพี่สาวเหลียงก็ได้”
“ ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่สาวเหลียง” กู้จวินพยักหน้าเรียกอย่างว่าง่าย แต่ในใจของเขาความระแวดระวังนั้นได้พุ่งสูงขึ้น
โอ้? เป็นมิตรมาก! นี่คือวิธีการรักษาของ [คาร์ล โรเจอร์] นักจิตวิทยาชาวอเมริกันใช่หรือไม่? แนวคิดที่ว่ามี “ ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางของการรักษา”?
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม การที่พี่ชายเฉียงเป็นผู้นําและอธิบายถึงการทดสอบ หรือบุคคลที่เป็นมิตรอย่างผู้หญิงคนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจุดมุ่งหมายของการสอบนี้คือทําให้พวกเขาอยู่ในสภาวะ ผ่อนคลายและไว้วางใจคนประเมิน
อย่างไรก็ตามกู้จวินรู้ว่าต้องมีจุดประสงค์ที่อันตรายกว่านี้อยู่เบื้องหลังเรื่องตลกนี้แน่ๆ มิฉะนั้นนี้ไม่ควรเรียกว่าประเมินด้วยซ้ำ! ยิ่งไปกว่านั้นการประเมินสําหรับเขาหวังรัวเซียงและซุนอี้เหิงมีความละเอียดมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับเขา
“จะนั่งหรือนอนก็ได้ตามใจเลย…” พี่สาวเหลียงยิ้มแล้วพูดต่อ “ แต่ฉันจะใส่เครื่องมือเพิ่มเติมให้เธอโอเคไหม?”
“ได้ครับ” กู้จวินกล่าวขณะที่เขาเดินไปนั่งทําบนเก้าอี้ผ้าใบจากนั้นก็นอนราบอย่งว่าง่าย