ตอนที่ 108 สะกดจิต
ไม่เหมือนกับการสะกดจิตในภาพยนตร์และโทรทัศน์ การสะกดจิตแบบนี้ไม่ได้ทําให้ใครสับสนหรือหวาดกลัว สมองของผู้ถูกสะกดจิตยังคงตื่นตัวอยู่เสมอ แต่ฟังก์ชันการคํานวณตามปกติจะลดน้อยลง และเมื่อจิตวิญญาณของผู้เข้าร่วมมีความเข้มข้นสูงและความสนใจของเขาก็จะชัดเจนขึ้น เขาไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกอีกต่อไป แต่ไวต่อความถามทั้งหมดของนักสะกดจิต!
เกี่ยวกับประสิทธิภาพของคลื่นสมอง สภาวะที่ถูกสะกดจิตนั้นแตกต่างจากการนอนหลับหรือตามการทํางานของสมองตามปกติโดยสิ้นเชิง เพราะมันจะอยู่กึ่งกลางระหว่างหลับและตื่น ดังนั้นจึงเรียกว่าสภาวะที่สงบก็ไม่แปลก
“ อืม…” พี่สาวเหลียงมองค่าบนหน้าจอตรวจคลื่นสมองบนโต๊ะทํางานและรู้ว่ากู้จวินกําลังอยู่ในสภาวะที่ถูกสะกดจิตอยู่โดยสมบูรณ์แบบ
ตามหลักการแล้วบุคคลที่มีจิตวิญญาณสูงอย่างกู้จวินนั้นอ่อนไหวต่อการสะกดจิตมากที่สุด แต่กู้จวินนั้นถือว่าเป็นเคสที่ผิดปกติอย่างมาก ทั้งๆที่เป็นคนอื่นถือว่าเป็นเคสที่ควรระวังแท้ เพราะแค่พูดไม่ดี อาจจะทําให้จิตใจของบุคคลที่มีจิตวิญญาณสูงพังทลายได้ อย่างไรก็ดีสําหรับเขาคนนี้จะเป็นข้อยกเว้น เธอไม่ต้องระแวดระวังเลยว่าจะทําร้ายจิตใจของเขาโดยไม่จําเป็น เพราะแค่การจะสะกดจิตเขาเธอยังเหนื่อยแทบคางเหลือง
พี่สาวเหลียงรู้ว่าเธอต้องทํางานอย่างระมัดระวังและพูดช้าๆเพื่อไม่ให้เขาตื่นตระหนก “ อาจขึ้นที่จริงการตรวจสอบค่า S นั้นตรงไปตรงมามาก ฉันจะให้เธอตอบคําถามตามที่ฉันถามและทําอะไรตามที่ฉันบอกเพื่อตรวจสอบว่าแท้จริงแล้วร่างกายของเธอเป็นอย่างไร หากเธอไม่ชอบหรือกลัวก็ยกเลิกได้ดีไหม? ไม่ต้องกังวล
“ ได้ครับ” กู้จวินพึมพําเบา ๆ ตอบรับพี่สาวเหลียง
ตอนนี้ในมือของพี่สาวเหลียงมีแบบทดสอบทางจิตวิทยาอยู่มากมายนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีตารางคะแนนผลกระทบอยู่ด้วย ซึ่งมันจะแสดงสถานะการทั่วไปบางอย่างที่เกิดกับตัวผู้ถูกทดสอบตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงระดับรุนแรง
นอกจากนี้คําถามยังเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและน่ากลัว โดยคําถามทั้งหมดล้วนอิงเหตุการณ์ร้ายบางอย่าง อาทิ
“ คุณได้พบเห็นอุบัติเหตุที่น่าเศร้า” ซึ่งคําถามอาจจะน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วมันคือคําถามในระดับต่ำสุด!
และ คุณฆ่าเพื่อนและญาติของคุณ” อันนี้เป็นคําถามระดับค่อนข้างสูง
สถานการณ์เหล่านี้จะทําให้ผู้เข้าทดสอบอยู่ในภาวะวิตกกังวล ตื่นตระหนกและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
จากนั้นเธอก็จะสามารถตรวจสอบข้อมูลการมีชีวิตทางกายภาพของผู้ถูกประเมินโดยละเอียดโดยใช้เครื่องมือที่เตรียมไว้นานาชนิด
เมื่อค่า S ของผู้เข้าประเมินต่ำเกินไป ผู้เข้าประเมินจะหวาดกลัวอย่างมากแม้ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ที่มีผลกระทบเพียงเล็กน้อยก็ตาม บางครั้งอาจมีอาการอาเจียนตัวสั่นและร้องเสียงหลง
และนี่เป็นขั้นตอนแรกของการทดสอบ จะทําได้โดยการประเมินการตอบสนองของผู้เข้าประเมินและระยะเวลาที่เขาจะเอาชนะความตื่นตระหนกและสงบสติอารมณ์ได้ การเอาชนะความตื่นตระหนกก็เป็นวิธีบําบัดเช่นกัน) และจากนั้นก็ประเมินชุดคําถามที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก
ขั้นตอนที่สองคือการมีส่วนร่วมในการรักษาผู้เข้าประเมินและประเมินผลของการรักษาเพื่อให้ได้ค่าอื่น ๆ
จากนั้นคะแนนของทั้งสองขั้นตอนจะถูกรวมเข้าด้วยกันเพื่อคํานวณค่า S ของผู้เข้าประเมินในครั้งนี้
โดยปกติในช่วงแรก พี่สาวเหลียงจะเปิดเผยข้อมูลบางอย่างให้แก่ผู้เข้าประเมินที่มีสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อความเสี่ยงสูง ตัวอย่างเช่น หวังรั่วเซียง ซึ่งเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงานแต่ได้ผ่าตัดจริงแล้ว ดังนั้นสภาพจิตใจของเธอย่อมแตกต่างนักศึกษาปกติที่ไร้ความเสี่ยง ดังนั้นพี่สาวเหลียงจึงนําเสนอสถานการณ์ให้เธอในเรื่อง “ เมื่อเห็นว่าญาติสนิทของเธอติดโรคมนุษย์ต้นไทร และการตัดแขนล้มเหลว”
หวังรั่วเซียงแสดงสีหน้าทรมานอย่างมาก ดังนั้นดูเหมือนว่าประสบการณ์ของเธอในห้องผ่าตัดจะส่งผลกระทบต่อเธอพอสมควรแม้ปากจะบอกว่าทําใจได้แล้วก็ตาม โชคดีที่ค่า S ของเธอยังคงสูงมากที่ 90
อย่างไรก็ตามเนื่องจากลักษณะเฉพาะของกู้จวินที่ทางเบื้องบนเน้นย้ำ พี่สาวเหลียงจึงไม่กล้าทําตามขั้นตอนปกติ เพราะกลัวว่าเขาจะถูกทําให้สติแตกในครั้งเดียว และค่า S ของเขาก็จะต่ำมาก
อีกอย่างหนึ่งแฟ้มคดีของเขามีคําเตือนในเรื่องนี้และสภาพจิตใจของเขาก็แปลกมาก การนําเสนอผลกระทบที่สูงตั้งแต่เริ่มต้นอาจทําให้เขาเป็นบ้าและสติแตกได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นพี่สาวเหลียงจึงตัดสินใจที่จะเริ่มต้นด้วยสถานการณ์ที่มีผลกระทบเล็กน้อยก่อน พอตัดสินใจได้เธอก็กล่าวอย่างผ่อนคลาย
“ กู้จวิน…เธอกําลังเดินอยู่ที่ทางเดินด้านในของห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลและเห็นเตียงผ่าตัดสองเตียงอยู่ข้างหน้า เธอค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ ๆ และเห็นร่างสองร่างนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดทั้งสองเตียง เธอมีส่วนร่วมในการผ่าตัด แต่ผู้ปวยสองรายนั้นเสียชีวิตเนื่องจากความล้มเหลวของการผ่าตัด คนหนึ่งเป็นหญิงชราและอีกคนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ”
ลมหายใจของกู้จวินเร่งขึ้นอย่างกะทันหันทันที และเปลือกตาที่ปิดเล็กน้อยของเขาก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้
และเมื่อมองไปที่หน้าจอของเครื่องมือวัดหลายชิ้น พี่สาวเหลียงก็พลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที สถานการณ์ดูเหมือนแย่เกินกว่าที่เธอคํานวณไว้มหาศาล
“ อาจขึ้นเธอรู้สึกอะไรบอกฉันได้ ทุกอย่างปกติดี บอกฉันว่าเธอกําลังคิดอะไรอยู่ ไม่ต้องกังวลมันเป็นแค่ความฝัน เธอยังพูดคุยกับฉันได้ อย่ากังวล..เธอทําได้แน่นอน” เสียงอันไพเราะของพี่สาวเหลียงยังวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา แต่มันไม่ได้ช่วยบรรเทาความตึงเครียดของเขาได้เลย
ภาพของกระบวนการตายของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขา
เริ่มจากการผ่าตัดของหญิงชรา เธออาการแย่มากถึงขั้นที่ต้องใช้เลื่อยตัดกระดูกคอของเธอและตอนนั้นศัลยแพทย์จี้กําลังทําการเลือยในขณะที่เขาจับแขนที่ผิดรูปของหญิงชราเอาไว้ เสียงกรีดร้องของเลื่อยที่ขูดกระดูกดังไปทั่วห้องในขณะที่เสียงครวญครางของหญิงชราเริ่มจะอ่อนแรงลง แรงดิ้นของหญิงชราที่เคยทรงพลังก็ค่อยๆอ่อนแรงลงจากนั้นก็นิ่งเงียบ…ในที่สุดหญิงชราก็หยุดเคลื่อนไหวโดยสิ้นเชิง…ลมหายใจของเธอขาดห้วงไปในมือของเขา
พอจบภาพนั้นแล้วก็มีภาพของเด็กผู้ชายที่น่าสงสาร เพราะร่างกายของเขานั้นเล็กจึงใช้แรงมากไม่ได้ ไม่อาจจะสู้แรงจับของกู้จวิน แต่เขาก็ดิ้นและร้องไห้จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
“ตาย!!?
“ตาย!!”
พวกเขา “ตาย!!”
พวกเขา “ตาย!!”
กู้จวินมองเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของวิญญาณทั้งสอง วิญญาณทั้งหมดนั้นน่าเวทนามาก พวกเขามีใบหน้าที่ซีดเซียว รูม่านตาขยายจนแทบจะดําไปทั่วเบ้าตา แม้แต่ความเย็นยะเยือกของบรรยากาศโดยรอบเขาก็สัมผัสมันได้
“คุณไม่ใช่หมอเหรอ? ทําไมคุณไม่ช่วยเรา ทําไมคุณถึงทําให้เราต้องทรมานมากขนาดนี้? แล้วยังฆ่าเราอีก โฮ!!”
“แกฆ่าเราทําไม! ว้ากกกกกก!?”
“ อาจจวิ้น อาจวิ้น?” เสียงของพี่สาวเหลียงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เสียงของเธอนั้นแผ่วเบาและน่าเชื่อถือกว่าทุกที “ หากเธอรู้สึกไม่สบายใจ โปรดหยุดคิดถึงมัน ปล่อยมันไปซะ ถอยมาเถอะ และทําให้จิตวิญญาณของตัวเองกลับเข้าสู่ร่างกายเถอะ มันไม่ยาก ปล่อยตัวตามสบาย ก้าวออกไปจากสถานการณ์ที่น่ากลัวนั่น หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้า หายใจออก ผ่อนคลาย…”
“ ไม่!” กู้จวินพึมพําและขัดขืนไม่ฟังคําของพี่สาวเหลียงอย่างสิ้นเชิง “ ฉันมีบางอย่างที่อยากจะบอกพวกเขา ปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ งั้นเหรอ? งั้นเธอก็ไปเถอะ เดินต่อไปข้างหน้าและทํามันตามที่เธอต้องการ” เมื่อได้ยินคําตอบนั้น พี่สาวเหลียงก็ไม่ได้ตัดจบ แต่เปลี่ยนเข้าสู่โหมดบําบัดอย่างเต็มตัว “ พวกเขาอยู่ที่นั่น ฉันแน่ใจว่าพวกเขาได้ยินคําพูดของเธอแน่”
กู้จวินเงียบไปชั่วขณะก่อนที่คําพูดนั้นจะพรั่งพรูออกมา “ ฉันเสียใจมากที่ไม่สามารถช่วยพวกคุณได้ ฉันรู้ว่านี่เป็นความคิดรักษาแบบโบราณ แต่ศัลยแพทย์ฐทีมที่เหลือพวกคุณและฉันพยายามกันอย่างเต็มที่ เราเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทําให้คุณเจอความเจ็บปวดทั้งหมดนั้น…ฉันหวังว่าตอนนี้พวกคุณจะได้พักผ่อนอย่างสงบสุขในโลกที่เงียบสงบนั้น”
“ ฉันแน่ใจว่าพวกเขาจะเข้าใจ พวกเขาจะเข้าใจเธออย่างแน่นอน” พี่สาวเหลียงกล่าวคําพูดปลอบใจออกมา เสียงนั้นเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เชื่อถือได้และเพิ่มความมั่นใจให้แก่กู้จวิน และมันจะช่วยไล่เงาในใจของเขาออกไป
“ อาจขึ้น เธอต้องเข้าใจว่าหมอไม่ใช่เทพเจ้า พวกเราเป็นแค่คนธรรมดา ในระหว่างการรักษาผู้ป่วยบางครั้งอาจต้องเจ็บปวดบ้าง แต่เธอก็แค่ทํางานของเธอเท่านั้น โปรดอย่าโทษตัวเอง”
แม้ว่าสิ่งนี้จะฟังดูเหมือนความคิดโบราณอีกครั้ง เมื่อบุคคลอยู่ภายใต้อิทธิพลของการสะกดจิตการชี้นําของคําพูดจะมีผลสูงกว่า บางครั้งผู้ถูกสะกดจิตจะยอมรับคําพูดของผู้สะกดจิตโดยไม่มีการต่อต้านใด ๆ
ดังนั้นคําพูดที่พี่สาวเหลียงกล่าวออกมา มันจะช่วยให้กู้จวินยอมรับคําพูดคําสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มันจึงบรรลุเป้าหมายของการรักษานั่นคือช่วยเปลี่ยนการรับรู้และล้างความวิตกกังวลของเขาออกไป
พี่สาวเหลียงทําการรักษาต่อไป “ การมีความเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งที่ดี แต่เธอต้องมองข้ามมันไปบ้าง เนื่องจากเธอเป็นหมอ เธอจะยิ่งต้องเผชิญกับธรรมชาติที่แท้จริงของชีวิตในอนาคตมากขึ้นเท่านั้น การทําให้หัวใจของคุณแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ดี ท้ายที่สุดเธอจะต้องดูแลตัวเองก่อนจึงจะสามารถดูแลคนอื่นได้” คําสอนของพี่สาวเหลียงดังขึ้นเรื่อยๆ
พี่สาวเหลียงเห็นกล้ามเนื้อบนใบหน้ารอบ ๆ ของกู้จวินค่อยๆผ่อนคลายลง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการรักษากําลังได้ผล จากนั้นเธอก็มองไปที่ข้อมูล GSR และแผนภูมิ EEG ที่ด้านข้าง จากข้อมูลทั้งสองแสดงให้เห็นว่ากู้จวินกําลังสงบลง ในขณะนั้นเธอได้ข้อสรุปและได้เพิ่มอีกประโยคในรายงานการทบทวนในใจของเธอแล้ว
“ผู้ทดลองกังวลมากเกี่ยวกับผลการผ่าตัด (ระดับ 8/10) เขารู้สึกผิดต่อการเสียชีวิตของผู้ป่วยทั้งสอง เขามีความเห็นอกเห็นใจ แต่ไม่มีวี่แววของอารมณ์ชั่วร้าย
การผ่าตัดที่ล้มเหลว…เหตุการณ์นี้สําหรับเขานี้เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อจิตใจ นั่นคือทั้งหมดของการทดสอบจิตใจช่วงแรก